fbpx

อยู่เองได้ โตเองเป็น ตอนที่ 2

หลังจากการเสวนาถึงหนังสือเรื่อง ‘อยู่เองได้ โตเองเป็น’ เสร็จสิ้นแล้ว (เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565 ที่สำนักพิมพ์ Bookscape) ถึงเวลาเรียบเรียงคำพูดของตัวเองออกมาเป็นบันทึกให้เรียบร้อย ตามประสานักพูดที่ไม่สามารถพูดครบถ้วนในเวลาจำกัด

เริ่มจากเหตุผลที่เราจำเป็นต้องให้เด็ก ‘อยู่เองได้ โตเองเป็น’ เพราะนี่เป็นยุคสมัยใหม่ เราพ้นระยะที่จะจับเด็กอ้าปากแล้วป้อนมาเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่อยู่บ้านป้อนศีลธรรม ครูอยู่โรงเรียนป้อนความรู้ เราเชื่อว่าศตวรรษที่ 21 เด็กๆ จะไปไม่รอดด้วยศีลธรรมและความรู้

แม้แต่ป้อนอาหารเรายังเปลี่ยนเป็น BLW (baby-led weaning) ตั้งแต่ทารกอายุ 8 เดือนเลย เขาหยิบอาหารเข้าปากเอาเอง

เด็กๆ จะรอดได้ด้วยการเรียนรู้ตลอดชีวิต และมีความสามารถ executive function (EF) ซึ่งเป็นเรื่องที่หนังสือเล่มนี้เขียนถึงแต่ด้วยการใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกัน มีที่เหมือนกันจังๆ อยู่สองเรื่อง

เรื่องแรกคือความจำใช้งาน (working memory) มีตอนหนึ่งที่เขียนว่าความจำใช้งานจะเป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จที่ดีกว่าตัวเลขไอคิว ผมอธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นเพราะเด็กที่บริหารความจำใช้งานได้ดีกว่าและเร็วกว่ามักมีการตัดสินใจที่ใช้ได้มากกว่าใช้ไม่ได้ และถึงแม้ว่าจะใช้ไม่ได้ก็ยังสามารถคิดยืดหยุ่นต่อไปได้ดีกว่า เพราะความจำใช้งานรวดเร็วกว่านั่นเอง

เรื่องที่สองคือเรื่องความสำคัญของสมองส่วนหน้าของส่วนหน้าที่เรียกว่า prefrontal cortex ซึ่งมีลักษณะเป็นกลีบอยู่ตอนหน้าของ frontal lobe ซึ่งหนังสือเลือกคำแปลว่าคอร์เท็กซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า สมองส่วนนี้เป็นฐานปฏิบัติการของ EF คือที่ซึ่งออโตโนมี (autonomy) ของทารกก่อตัว ผมอธิบายเพิ่มเติมว่าการก่อตัวของวงจรประสาท EF นี้จะเป็นไปด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งค่อนข้างเรียบร้อยก่อนอายุ 9 ขวบที่ซึ่งกระบวนการตัดแต่งสมอง (synaptic pruning) จะเริ่มต้นหลังจากนั้น

ที่ผมพยายามจะบอกใครต่อใครเสมอคือนาทีทองอยู่ที่ 3 ขวบปีแรก ดีกว่านั้นคือ 7-8 ขวบปีแรก คือก่อนที่การตัดแต่งสมองจะเริ่มต้นขึ้นและก่อนที่เด็กจะขึ้นชั้นประถมอย่างสมบูรณ์ ที่ซึ่งเขาจะเลื่อนพัฒนาการไปที่ชั้นอินดัสตรี (industry) คือการเข้าสู่สังคมเป็นครั้งแรก

ที่อายุ 2-3 ขวบ เด็กๆ ควรได้รับโอกาสใช้และทดลองพลังของกล้ามเนื้อใหญ่ (gross motor) ส่วนที่ 4-7 ขวบ เด็กๆ ควรได้รับโอกาสใช้และทดสอบความสามารถของกล้ามเนื้อเล็ก (fine motor) ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง แต่เพื่อการสร้างวงจรประสาท EF

หรือเราอาจจะเรียกว่า ‘วงจรประสาทอยู่เองได้ โตเองเป็น’ ก็ได้

ประเด็นที่อยากชี้คือการทดลองกล้ามเนื้อใหญ่และการทดสอบกล้ามเนื้อเล็กที่อายุ 2-7 ขวบนี้เป็นเรื่องเล็กๆ และใกล้ตัวเสียมาก เช่น จะกระโดดได้กี่ฟุตโดยไม่ล้มคะมำ หรือจะปีนต้นไม้ได้สูงกี่เมตรโดยไม่ร่วงลงมา จะใช้ปากกาขีดเฟอร์นิเจอร์ในห้องรับแขกได้หรือเปล่า จะเอาแป้งทั้งกระป๋องโรยทั่วบ้านได้หรือไม่ นอกจากเป็นเรื่องใกล้ตัวและมีความเสี่ยงไม่มากแล้ว ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราพ่อแม่ยังมีอำนาจเหนือมากพอที่จะสั่งสอน จัดการ หรือวางกฎ กติกา มารยาทได้ 

ทั้งหมดนี้จะฟอร์มตัวเป็นวงจรประสาทอยู่เองได้ โตเองเป็น เพื่อเตรียมตัวเผชิญและตัดสินใจเรื่องที่ยากกว่ากับมีความเสี่ยงสูงกว่าในอนาคตที่ไม่นานเกินรอ

จบ ม.6 จะเลือกเรียนอะไรดี จบปริญญาตรีจะทำงานอะไรดี จะทนอยู่ต่อหรือหย่าดี จะทนทำงานต่อหรือลาออกดี จะทนถูกบูลลี่หรือรุกรานทางเพศหรือโต้กลับดี เป็นต้น อายุมากเท่าไรยิ่งพบเรื่องซับซ้อนมากขึ้น การตัดสินใจยากขึ้น เดิมพันสูงขึ้น และความเสี่ยงสูงขึ้น ถ้าเด็กไม่สามารถฝึกการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองตั้งแต่แรกจะไม่มีวงจรประสาทอยู่เองได้โตเองเป็นนี้ไว้ใช้งานในอนาคต 30-40 ปีข้างหน้า ไม่ซึมเศร้าตอนมัธยมก็ฆ่าตัวตายเมื่อวัยกลางคน

ปัญหาของพวกเราคือเราไม่มีเวลา พ่อแม่ชนชั้นกลางไม่มีเวลาเพราะไปทำงาน พ่อแม่ชนชั้นล่างไม่ได้เห็นหน้าลูกเลยสามเดือนเพราะจากไปทำงานแดนไกล พ่อแม่ชนชั้นไหนก็ส่งลูกไปโรงเรียนเรียนหนังสือและทำการบ้านไม่มีสาระ อีกทั้งอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่คับแคบเหลวไหลทำลายความสามารถอยู่เองได้โตเองเป็นจนหมดสิ้นในเวลา 12 ปีของชั้นประถมถึงมัธยม หรืออาจจะตั้งแต่ 3 ปีแรกของชั้นอนุบาล และบางที่มากไปกว่านั้นคือตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล

ผมพูดเสมอว่าเราเสวนาเรื่องทำนองนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2540 เมื่อมีดำริจะปฏิรูปการศึกษาแล้ว และเราจัดเวทีลักษณะนี้มา 25 ปีแล้ว จนวันนี้ก็ไม่เคยเห็นแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมจากนักการเมืองพรรคใดเลยว่าจะรื้อทิ้งระบบการศึกษาที่เป็นอยู่แล้วเริ่มต้นใหม่เป็นขั้นเป็นตอนอย่างไร รวมทั้งจะกระจายอำนาจการจัดการศึกษาให้แก่ส่วนท้องถิ่นเป็นขั้นเป็นตอนเมื่อไรและอย่างไร

ดังนั้นเรื่องจะกลับมาที่คุณพ่อคุณแม่ ‘เราทำเองได้ เราทำเองเป็น’

ในความเป็นจริงของชีวิต เด็กๆ ถูกแย่งเวลาวันละมากกว่า 10 ชั่วโมงทุกวัน รวมเวลาตั้งแต่การเดินทางบนท้องถนน ใช้ชีวิตที่โรงเรียน ทำการบ้านตอนเย็นและเรียนพิเศษวันหยุด แล้วเด็กก็โตขึ้นทุกวัน เวลาวิกฤตของแต่ละคนจะผ่านไปเร็วมากในเวลาเพียง 7-8 ปี ที่พ่อแม่ชนชั้นกลางควรทำคือช่วงชิงเวลาคืนมา ด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ เอาคืนมาทำอะไร เอามาให้เด็กได้ฝึกวิชา อยู่เองได้โตเองเป็น และวิชาที่ควรฝึกคือ อ่าน-เล่น-ทำงาน

ไม่ใช่สิ! (สำนวนการ์ตูนญี่ปุ่น) เราไม่ควรใช้คำว่า ‘วิชา’ (เพราะมันแย่) เอาใหม่ เอาคืนมาทำอะไร เอามาให้เด็กได้ฝึกฝีมือ อยู่เองได้โตเองเป็น และฝีมือที่ควรฝึกคือ อ่าน-เล่น-ทำงาน

สำหรับพ่อแม่ชนชั้นล่างสารภาพว่าเราคงได้แต่รอรัฐที่มีความสามารถมาเกิด รัฐที่จะช่วยให้พวกเขามีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ช่วยพัฒนาคุณครูศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลทุกแห่งให้มีความสามารถระดับสูง และปฏิรูปการศึกษาระดับประถมและมัธยมด้วยความรวดเร็ว

เวลาไม่คอยท่า ความบ้าไม่รอใคร  

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save