fbpx

‘การศึกษาเพื่อทุกคน’ ว่าที่รัฐบาลใหม่ตีโจทย์อย่างไร?

ผลการเลือกตั้งสะท้อนถึงความต้องการที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคมไทยของประชาชน ด้วยผลคะแนนของพรรคการเมืองรุ่นเล็กที่เฉือนพรรคการเมืองเก่าไปได้หลายล้านเสียงอย่างคาดไม่ถึง หลากหลายนโยบายที่ถูกมองว่าเป็นไปได้ยากกำลังจะถูกนำเข้าสู่รัฐสภาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าในฐานะรัฐบาลใหม่

ท่ามกลางกระแสความยินดีและความตึงเครียดของการจัดตั้งรัฐบาล ปัญหาคั่งค้างที่อยู่ในโครงสร้างยังคงไม่ถูกแก้ไขมีมากมายสารพัด หนึ่งในปัญหาที่คั่งค้างคือ ‘การศึกษา’ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเกี่ยวพันกับปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ อีกมากมาย

101 ชวน พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบาย ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ ไกรยส ภัทราวาส ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมแลกเปลี่ยนกันถึงปัญหาในวงการการศึกษา ไล่เรียงตั้งแต่การศึกษาไร้รอยต่อ การเพิ่มทางเลือกและยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ไปจนถึงภาพอนาคตทางการศึกษาไทยที่ทั้งสองอยากจะเห็นภายใต้การนำของรัฐบาลก้าวไกล

นโยบายการศึกษาใน 100 วันแรกของรัฐบาลน้องใหม่

นโยบายด้านการศึกษาที่จะได้เห็นจากว่าที่รัฐบาลใหม่ในเร็วๆ นี้มีเรื่องอะไรบ้าง

พริษฐ์: ในภาพรวม หลักๆ นโยบายการศึกษาของพรรคก้าวไกลออกบนฐานจากการที่ว่า การแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาที่ผ่านมาไม่สำเร็จเพราะขาด 2E

E ที่หนึ่งคือ Efficiency หรือประสิทธิภาพ ระบบการศึกษายังขาดประสิทธิภาพหลายอย่างในการแปรสิ่งที่เอาเข้าไปให้ออกมาเป็นผลสัมฤทธิ์อย่างที่ต้องการ เช่น จำนวนชั่วโมงเรียนที่เยอะเกินไป คือประเทศไทยกำหนดให้เด็กนักเรียนมีจำนวนชั่วโมงเรียนเยอะ แต่ไม่สามารถแปรจำนวนชั่วโมงเรียน ความขยันของนักเรียนเหล่านั้นออกมาเป็นทักษะที่แข่งกับนานาชาติได้ เราเห็นว่ากระทรวงศึกษาได้รับงบประมาณเป็นอันดับต้นๆ ทุกปี แต่ระบบงบประมาณไม่สามารถแปรเม็ดเงินออกเป็นการรับประกันสิทธิเรียนฟรีให้แก่นักเรียนทุกคนได้จริงๆ

E ที่สองคือ Empathy หรือความเห็นอกเห็นใจ หลายคนยังมองว่าการศึกษาที่ดีคือการศึกษาที่ใช้ระบบอำนาจนิยม บอกเด็กว่าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ แล้วเอาไม้บรรทัดแบบเดียวไปวัดกับทุกคน ทั้งที่เด็กแต่ละคนมีความต้องการ ความถนัด และความชื่นชอบที่แตกต่างกัน เราจึงอยากเห็นการศึกษาที่มีความเห็นอกเห็นใจ เห็นถึงความแตกต่างหลากหลายของเด็กแต่ละคน รวมถึงกระจายอำนาจทางการศึกษาให้การตัดสินใจไม่กระจุกอยู่ที่ส่วนกลางด้วย

เพราะฉะนั้น นโยบายด้านการศึกษาของก้าวไกลจึงจะแบ่งออกเป็น 6 เป้าหมายเบื้องต้น

เป้าหมายที่หนึ่งคือ รับประกันสิทธิทุกคนในการเรียนฟรีจริง ถึงแม้ประเทศเราจะมีนโยบายเรียนฟรีมาสักพัก แต่มันมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ทำให้ยังเรียนฟรีไม่จริง ตกอยู่ที่ประมาณ 2,000-6,000 บาทต่อคนต่อปี

เป้าหมายที่สอง เราต้องการให้ทุกโรงเรียนเป็นโรงเรียนที่ปลอดภัยไร้อำนาจนิยม ทั้งทางร่างกาย ไร้อุบัติเหตุ มีอาหารการกินที่ถูกสุขอนามัย ปลอดภัยในเชิงของสภาพจิตใจ และปลอดภัยจากการถูกละเมิดสิทธิ

เป้าหมายที่สามคือ ยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยการออกแบบหลักสูตรใหม่ หากเราเป็นรัฐบาล เราจะออกแบบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ เน้นทักษะและสมรรถนะที่เท่าทันโลก

เป้าหมายที่สี่คือ การคืนครูให้ห้องเรียน เพราะถึงแม้จะมีหลักสูตรที่ดี แต่ถ้าครูไม่มีเวลาให้สำหรับนักเรียน ก็อาจจะไม่สามารถยกระดับทักษะของนักเรียนให้ดีได้เท่าที่ควรจะเป็น เราจะลดเวลาที่ครูเสียไปกับกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนเพื่อเป็นการคืนเวลาให้กับครู คืนครูให้กับห้องเรียน

เป้าหมายที่ห้าคือ การส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นนอกห้องเรียนในช่วงสมัยเรียน หรือว่านอกห้องเรียนในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับคนหลังวัยเรียน เป็นต้น

เป้าหมายที่หกคือ ครูสามารถมีส่วนร่วมในการออกแบบการศึกษาหรือตัดสินใจมากขึ้น

หกเป้าหมายที่ผมพูดมาต้องทำตั้งแต่วันแรก เรายืนยันว่าเรามีความพร้อม เพราะว่าอะไรก็ตามที่ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย เราเตรียมไว้แล้ว 45 ฉบับ พร้อมยื่นตั้งแต่วันแรกที่สภาเปิด หนึ่งในนั้นคือ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ฉบับก้าวไกลด้วย แต่ที่เป็นประเด็นสำคัญคือ อะไรจะเห็นผลภายใน 100 วัน อะไรจะเห็นผลภายใน 1 ปี หรืออะไรจะต้องใช้เวลา 4 ปีเต็มมากกว่า

สิ่งที่ผมคิดว่าเราจะเห็นภายใน 100 วันแรก อย่างที่หนึ่งคือการแก้ไขปัญหาอำนาจนิยมในโรงเรียนเพื่อทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย โดยออกข้อกำหนดเป็นนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการว่า ทุกโรงเรียนจะต้องไม่ออกกฎระเบียบที่ขัดต่อหลักสิทธินักเรียน หรือสิทธิมนุษยชน การกระจายอำนาจการตัดสินใจต้องไม่อยู่บนฐานของการไปเปิดช่องให้มีการละเมิดสิทธินักเรียนในกรณีที่เป็นการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการรับประกันสิทธินักเรียน ถ้ามีการค้นพบว่าบุคลากรทางศึกษาไปละเมิดสิทธินักเรียนจริง ต้องมีการพักใบประกอบวิชาชีพ เป็นการปิดช่องให้ไม่มีการลงโทษนักเรียนเกินขอบเขต ทั้งทางร่างกายหรือทางวาจา เป็นต้น

อย่างที่สองที่คิดว่าจะเห็นผลภายใน 100 วันคือ การคืนเวลาให้กับครูและคืนครูให้กับห้องเรียน เช่น แก้ระเบียบและใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรียกเลิกภาระหน้าที่การเข้าเวรของครู แล้วหาวิธีอื่นในการรักษาความปลอดภัยให้กับโรงเรียน อีกเรื่องคือเรื่องของการลดงานธุรการ งานเอกสาร ตัดอะไรที่ไม่จำเป็นออก หรือสมมติว่ามีการตรวจราชการเข้ามาแล้วครูต้องเสียเวลาไปพบปะกับหน่วยงานราชการที่เข้ามาตรวจสอบก็ต้องตัดออกเช่นกัน ภารกิจของก้าวไกลคือ การยกเลิกกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนออกให้หมด จากข้อมูลในปัจจุบัน 42% ของเวลาครูถูกใช้ไปกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน ภายใน 100 วันแรกเราอาจจะตัดออกไม่ครบทั้ง 42% แต่บางเรื่อสามารถทำได้ทันที

อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องทำภายใน 100 วันแรกคือ การออกแบบหลักสูตรการศึกษาใหม่ เพราะสิ่งนี้เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ มีหลักสูตรทางสมรรถนะที่ผู้เชี่ยวชาญและหลายภาคส่วนด้านการศึกษาทำมาเป็นสารตั้งต้นอยู่ เพียงแต่ถูกชะลอไป เราคิดว่าจะเอาสารตั้งต้นตรงนั้นหยิบกลับขึ้นมา มีกระบวนการรับฟังความเห็น ร่วมกันออร่วมกันอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อให้หลักสูตรการศึกษาฉบับใหม่เสร็จภายในหนึ่งปี

ประสิทธิภาพ-เสมอภาค-คุณภาพ

สามสิ่งที่ต้องมีในระบบการศึกษา

แม้จะมีนโยบายการเรียนฟรี มีเงินสนับสนุนด้านการศึกษามาหลายรัฐบาล แต่ท้ายสุดก็ยังคงไม่พอ กลายเป็นปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะเหตุใดประเด็นดังกล่าวจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนในมุมมองของกสศ.

ไกรยส: อยากจะชวนมองภาพเชิงระบบของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาก่อนว่า จะต้องมีการสังคายนาระบบข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชากรไทยหรือคนที่มีสิทธิอยู่อาศัยในประเทศแต่ยังอยู่นอกระบบการศึกษาในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายลักษณะ เช่น เด็กเข้าเรียนช้า ย้ายตามพ่อแม่ กว่าจะเอาลูกไปลงหลักปักฐานแล้วได้เข้าเรียน การเข้าเรียนช้าจะกระทบกับพัฒนาการของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกล้ามเนื้อ ร่างกาย และการเรียนรู้หลายๆ อย่าง ถ้าให้เปรียบเทียบคือหน้าต่างหลายๆ บานมันปิดแล้วมันเปิดอีกไม่ได้

ถ้าเราให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทะเบียนราษฎร์ ทะเบียนนักเรียนได้มีโอกาสเข้ามาเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน แล้วกระจายออกไปยังกลไกพื้นที่ ตามตัวนักเรียนที่หลุดออกจากระบบให้เขามีโอกาสได้กลับมาเรียนหนังสือ แล้วถ้าใครตกหล่นตรงไหน ก็จะมีตัวเลขเป็น KPI ให้ตรวจสอบได้ ถ้าเราสามารถเริ่มต้นตรงนี้ได้เป็นจุดตั้งต้น สิ่งที่จะตามมาคือโจทย์ในการทำงานต่อว่า โรงเรียนจะต้องปรับตัวอย่างไร ที่ไม่ให้ปรับตัวเฉพาะกับเด็กทั่วไป แต่สำหรับเด็กที่มีความต้องการเป็นพิเศษเหล่านี้ด้วย แต่ถ้าจะทำเช่นนั้นได้ คำถามคือจะทำอย่างไรให้โรงเรียนได้รับการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรของตนเองได้

ก็จะมาถึงเรื่องของสูตรจัดสรรงบประมาณการศึกษา เราไปผูกทุกอย่างที่ฝั่งขวาของสมการคือจำนวนหัวของผู้เรียน กล่าวคือ เราใช้จำนวนหัวผู้เรียนในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่จะส่งผลให้โรงเรียนขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างมาก ทั้งๆ ที่ข้อมูลหลายๆ อย่างก้าวหน้าขึ้นเยอะ เราสามารถใช้ระยะทาง ใช้ตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียน ใช้สัดส่วนของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ เรามีอะไรหลายอย่างที่จะนำไปใส่ในสูตรจัดสรรเพื่อความเสมอภาคมากขึ้นได้

ถ้าเกิดเรามีการปรับระเบียบ ปรับกติกาต่างๆ โดยคำนึงถึงความเสมอภาคในสูตรการจัดสรรงบประมาณ ผลที่ตามมาจะยั่งยืน ไม่ใช่แต่เฉพาะรัฐบาลนี้ แต่รัฐบาลต่อๆ ไปด้วย การจัดสรรงบประมาณจึงเป็นประเด็นที่จะกระทบทั้งประสิทธิภาพ (Efficiency) ความเสมอภาค (Equity) และ คุณภาพ (Quality)

ในส่วนของความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) หลายๆ อย่างคนอาจจะมองว่าการลดความเหลื่อมล้ำคือการทำให้คนได้เท่ากัน แต่สิ่งที่กสศ. พยายามจะนำเสนอคือ ถ้าทุกคนเคยเห็นภาพที่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เด็กสามคนพยายามจะชะเง้อดูกีฬา แต่มีกำแพงขวางอยู่ จริงๆ ถ้าเอากำแพงนี้ออกไปให้ระบบการศึกษาปรับตัว ปรับให้เป็นระบบการศึกษาที่มีทางเลือกสำหรับทุกคน ทำให้เด็กที่มีความสามารถที่จะนำความก้าวหน้ามาสู่ประเทศได้ เราก็ไม่ควรจะให้ระบบประเมินผลทำเด็กรู้สึกท้อ ทำให้รู้สึกต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า มาถูกทางหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ระบบการศึกษาจะต้องปรับตัวเข้าหาผู้เรียน ไม่ใช่ให้ผู้เรียนต้องปรับตัวเข้ากับระบบ เพราะบางคนที่ปรับตัวไม่ได้จะถูกบีบให้หลุดออกนอกระบบไป

การจัดสรรงบประมาณอย่างมีคุณภาพสำคัญต่อการสร้างระบบการศึกษาที่ดีให้แก่ประเทศไทย

กสศ. มองเป้าหมายหกข้อว่าด้วยการศึกษาของพรรคก้าวไกลอย่างไร

ไกรยส: สิ่งที่คุณพริษฐ์พูดถือเป็นประเด็นสำคัญทั้งหมด เรื่องการกระจายอำนาจเป็นประเด็นที่ต้องลงไปดูในแต่ละพื้นที่ว่าจะทำอย่างไรให้องค์กรเอาเด็กเป็นตัวตั้ง กศส. ทำงานหลายประเด็น พอประชุมร่วมกันแล้วมันไปต่อไม่ได้ เพราะหลายๆ อย่างเพราะว่าติดที่องค์กรในระบบการศึกษาหรือกติกามันล็อก ถ้าเราสามารถเอาระเบียบเหล่านี้มาสังคายนาแล้วให้เด็กคือจุดตั้งต้น และครูต้องทำงานเพื่อเด็กให้ได้ความรู้อย่างเต็มที่ที่สุด ผมเชื่อว่าคำตอบหลายๆ คนในพื้นที่รู้มานานแล้ว พยายามผลักดันอยู่ แต่เขาอาจจะไม่มีกำลังเพียงพอที่จะทำได้ ถ้า 100 วันแรกเราสามารถเริ่มกระจายอำนาจได้ การแก้ไขประเด็นอื่นๆ ก็จะตามมา

พริษฐ์: อาจจะต้องแยกก่อนว่าอะไรที่ ‘จะทำ’ ใน 100 วันแรก และอะไรที่จะ ‘เห็นผล’ ใน 100 วันแรก เรื่องอำนาจนิยม คืนครูให้ห้องเรียน ผมว่าเป็นสิ่งที่จะเห็นผลภายใน 100 วันแรก แต่จะมีสิ่งอื่นๆ ที่ถึงแม้จะไม่เห็นผลใน 100 วันแรก แต่ก็ต้องทำภายใน 100 วันแรกเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่องงบประมาณ ผมเห็นด้วยกับคุณไกรยสในส่วนของการจัดสรรงบประมาณที่จะสร้างความเป็นธรรมให้กับนักเรียนทุกคน

หลักคิดของก้าวไกลเกี่ยวกับงบประมาณด้านการศึกษาจะแบ่งออกเป็นสามอย่างหลักๆ อย่างที่หนึ่งคือ ต้องมีการเพิ่มงบประมาณในการรับประกันสิทธิเรียนฟรีของนักเรียนทุกคน เราตั้งเป้าว่าต้องเพิ่มงบประมาณ 33,000 ล้านบาทต่อปี ในนั้น 4,000 ล้านบาท เป็นงบประมาณที่ต้องใช้ในการจำกัดค่าใช้จ่ายแอบแฝงทางการศึกษาของเด็กที่ถูกนิยามว่า มาจากครอบครัวยากจนหรือยากจนพิเศษ อีก 29,000 ล้านบาท เป็นการเพิ่มงบรายหัวของค่าอาหารและค่าเดินทาง เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับประกันสิทธิเรียนฟรี อาหารฟรีและมีรถรับส่ง

นอกจากการเพิ่มขนาดของเค้ก เราต้องการจัดงบประมาณให้มีความเป็นธรรมในโรงเรียนแต่ละแห่งเหมือนที่คุณไกรยสพูดว่า ที่ผ่านมา การจัดสรรงบประมาณใช้หลักจัดสรรแบบรายหัวในการคำนวณว่าแต่ละโรงเรียนจะได้รับงบประมาณเท่าไร ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กมีความเสียเปรียบพอสมควร พรรคก้าวไกลจะคำนึงถึงหลายปัจจัยมากกว่าแค่การจัดสรรรายหัว ส่วนงบก้อนที่เหลือจากการจัดสรรที่เป็นธรรมแล้ว จะเป็นงบก้อนที่ทำให้โรงเรียนมีอำนาจในการตัดสินใจใช้ทรัพยากรมากขึ้น นอกจากนี้ โรงเรียนแต่ละแห่งควรมีตัวแทนของครูที่มาจากการเลือกตั้งของครูด้วยกันเอง ตัวแทนของนักเรียนที่มาจากการเลือกตั้งของนักเรียนด้วยกันเอง เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อให้มีอำนาจในการดูแลออกความเห็น

ปีแรกที่รัฐบาลเริ่มงานเป็นช่วงการจัดทำงบประมาณปี 2567 งบประมาณส่วนการศึกษาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งคือ 4,000 ล้านบาทที่ตั้งใจจะจัดสรรให้ กสศ.ใช้แก้ไขปัญหาเด็กหลุดจากระบบ อีก 11,000 ล้านบาท คือโครงการคูปองเปิดโลก เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน นักเรียนระดับประถมจะได้ 1,000 บาทต่อปี ระดับมัธยมจะได้ 1,500 บาทต่อปี ส่วนอุดมศึกษาจะได้รับเงิน 2,000 บาทต่อปีให้นำไปใช้ในการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้

ไกรยส: ภาพรวมของประเทศไทยคือ ในเมื่อเด็กเกิดน้อยลงเรื่อยๆ งบประมาณส่วนของกระทรวงศึกษาจะค่อยๆ ลดลง เพียงแต่ว่างบประมาณที่แม้จะลดลงไปนั้นต้องถูกนำไปใช้ในจุดที่ควรจะใช้มานานแล้ว เช่น การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทาง กสศ.มีแผนที่ที่ระบุได้เลยว่ามีประมาณ 1,500 กว่าโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลหรือทุรกันดาร ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายให้คนจะมีการศึกษาได้ในพื้นที่เหล่านั้น เพราะฉะนั้น ต้องมีการใส่ทรัพยากรเข้าไปเพิ่มเติมให้สามารถจัดการศึกษาอย่างเสมอภาคได้

ส่วนเรื่องคูปองเปิดโลก ผมว่าน่าจะเป็นนโยบายที่เจาะไปที่กลุ่ม NEET (Not in Education, Employment, and Training) ซึ่งประเทศไทยมีประชากรกลุ่มนี้ในช่วงอายุ 15-24 ปี ประมาณ 15% ซึ่งจริงๆ มีศักยภาพที่จะขยับไปเป็นแรงงานฝีมือ (skilled labor) หรือสูงไปกว่านั้นได้ คูปองดังกล่าวจะช่วยพัฒนาทักษะที่เราเชื่อว่าตลาดแรงงานต้องการ 

กสศ.อยากเห็นวงจรชีวิตของคนๆ หนึ่งว่า ตั้งแต่ช่วงปฐมวัยยาวไปจนถึงวัยแรงงานช่วงต้นจะมีความสามารถแข่งขันทัดเทียมในระดับโลกได้ คำถามคือเราจะสามารถพัฒนาคนให้ตอบโจทย์ได้ไหม เพราะถ้าประเทศอื่นทำได้แล้วเรายังล่าช้า นั่นหมายความว่าอนาคตของประเทศไทยในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ประชากรจะยังคง ‘แก่ก่อนรวย’ อยู่

การลงงบประมาณอย่างที่คุณพริษฐ์อธิบายจะส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาสูงมาก ผมไม่อยากให้มองว่าการให้งบทางการศึกษาเป็นการสงเคราะห์หรือเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง แต่ให้มองว่าเป็นการลงทุน ถ้าการศึกษามีความเสมอภาคมากขึ้น ก็จะกลายเป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่จะพาคนไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางหรือกับดักของความยากจนได้เร็วขึ้น

การศึกษาไทยในระยะยาวผ่านสายตาของผู้กำหนดนโยบายและผู้ผลักดันการแก้ไขปัญหา

พริษฐ์: มองภาพไปข้างหน้า 4 ปีเราต้องการลดความเหลื่อมล้ำและทำให้การศึกษามีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้การศึกษาเป็นพื้นที่ที่เด็กได้พัฒนาศักยภาพของตนเองตามความถนัดหรือความชอบที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะเป็นการศึกษาที่มีความหลากหลายในหลายมิติ ได้แก่

มิติที่หนึ่งคือ ความหลากหลายของการศึกษา ความชอบ ความถนัดของเด็กแต่ละคนมากขึ้น อย่างการออกแบบหลักสูตรการศึกษาใหม่ โดยพรรคมองไปถึงเป้าหมายของการพัฒนาสมรรถนะที่เท่าทันโลกอนาคต ลดวิชาบังคับและเพิ่มวิชาเลือก ทำให้เด็กแต่ละคนมีศักยภาพในการเรียนรู้มากขึ้น

อย่างที่สองคือ ความหลากหลายในแต่ละโรงเรียน นอกจากอำนาจในการตัดสินใจทางการเงินแล้ว เราอยากกระจายอำนาจการศึกษาให้โรงเรียนมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกบุคลากรหรือการออกแบบหลักสูตร อาจต้องวางมีแกนกลางบางอย่างกำหนดเป้าหมายภาพรวมว่าหลักสูตรมุ่งสู่เป้าหมายอะไร แต่ท้ายสุด เราอยากให้โรงเรียนมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมกับบริบทของนักเรียนในโรงเรียน

อย่างที่สาม ความหลากหลายของรูปแบบการเรียนการสอน เพราะการศึกษาไม่ใช่แค่ชั่วโมงเรียนหรือระบบโรงเรียนเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอเป็นนโยบายคือ การตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกของการศึกษาทางเลือกที่ไม่ใช่ระบบโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น Home School ศูนย์การเรียน การศึกษานอกระบบ (กศน.) เพื่อให้เป็นที่อำนวยความสะดวกแก่การศึกษาในรูปแบบเหล่านี้ ไม่ว่าจะลงทะเบียน ประเมิน รับประกันการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการของนักเรียนในระบบเหล่านี้ การเชื่อมโยงกับอุดมศึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่มความหลากหลายได้เช่นกัน

อย่างสุดท้ายคือ ความหลากหลายของวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ท้ายสุดแล้วการศึกษาหรือการเรียนรู้ไม่ควรจำกัดอยู่แค่การศึกษาเพื่อวุฒิการศึกษาอย่างเดียว แต่ต้องส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย ถึงแม้บุคลากรรุ่นใหม่จะผ่านระบบการศึกษาที่ดีที่สุด แต่ความรู้ที่เราได้รับจากระบบในวัยเรียน อีก 5 ปี 10 ปีอาจจะตกยุคตกสมัยไปแล้ว เพราะโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพราะฉะนั้นต้องมีการพัฒนาทักษะใหม่ๆ อยู่ตลอด พรรคก้าวไกลจึงให้การส่งเสริมเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วยเช่นกัน เรามีนโยบายในการสร้างแพลตฟอร์ม 3 in 1 สำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตคล้าย Netflix, Linkedin และ JobsDB ในแพลตฟอร์มเดียว ส่วน Netflix เป็นการรวบรวมเนื้อหาการเรียนการสอน คอร์สทักษะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ แบบฝึกหัดให้กับผู้ใช้งาน ส่วน Linkedin เป็นระบบที่บันทึกว่าเรียนอะไรมาบ้างแล้ว ผ่านแบบฝึกหัดอะไรมา ได้คะแนนเท่าไร ส่วน JobsDB จะช่วยในการจับคู่กับผู้ประกอบการที่ต้องการบุคลากรที่มีทักษะเหล่านั้น

ท้ายที่สุด ระบบการศึกษาต้องเป็นการศึกษาที่เติมไฟในการเรียนรู้ แต่ในปัจจุบันเรายังอยู่ในระบบการศึกษาที่ดับไฟแห่งการเรียนรู้ เพราะการศึกษายังกำหนดชั่วโมงเรียนภาคบังคับเยอะ ภาระเยอะ การบ้านก็เยอะ สิทธิในการเลือกเรียนวิชาที่ต้องการก็ไม่ได้มีอิสระมากนัก ทำให้ผู้ที่ผ่านระบบการศึกษามารู้สึกว่า พอแล้วกับการศึกษา พอแล้วกับการเรียนรู้ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขเพื่อเติมไฟให้คนยังมีความต้องการการเรียนรู้อยู่

ไกรยส: ตอนนี้ทุกประเทศทั่วโลกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งถูกทำให้เสียระบบ (Disrupt) ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ขณะที่งานด้านการศึกษาเป็นงานที่ต้องอาศัยการมองและการคาดการณ์ไปในอนาคตสองสามขั้นข้างหน้า หากเราตั้งเป้าจะพัฒนาให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่มีความสามารถด้านการแข่งขัน เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และจะให้คนไทยจะเป็นหัวใจสำคัญในการพาประเทศออกจากกับดักความยากจนและกับดักรายได้ปานกลาง เราต้องมองว่ามีทักษะอะไรบ้างที่เราต้องการ ซึ่งทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ Hard Skills เท่านั้น แต่ยังมีทักษะอื่นๆ ที่ทวีความสำคัญขึ้น เช่น ทักษะทางอารมณ์และสังคม (Socio-Emotional Skill), ทักษะพื้นฐานการทำงานในโลกยุคใหม่ (Foundational Skill), ทักษะทางดิจิทัล (Digital Skill) ทั้งหลาย คำถามคือ สิ่งเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในหลักสูตรอย่างไร

ระบบการศึกษาเป็นระบบที่มีขนาดใหญ่ โจทย์คือเราจะบริหารการเปลี่ยนแปลงอย่างไรให้ได้รับความร่วมมือและแนวร่วม ส่วนตัวผมมองว่าอยู่ที่คน คือจะทำอย่างไรให้คนในกระทรวงต่างๆ เข้าใจทิศทางดังกล่าว เพราะหลายอย่างต้องมีการ Reskill หรือ Upskill ในหน่วยงานด้วยเพื่อที่จะมาสานต่อนโยบายที่ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการมากกว่า 4 ปีหรือ 8 ปีด้วยซ้ำไป นี่เป็นเกมระยะยาวที่ผู้ที่อยู่ในคณะกรรมการบริหารต้องคิดตั้งแต่ต้นว่า เราจะบริหารในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างไร การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะทำให้เราไปสู่ความสำเร็จ และถ้าเรามีหลักคิดร่วมกันก็จะนำไปสู่ความยั่งยืนได้

ปัญหาเก่าและโจทย์ใหม่ ความท้าทายที่รัฐบาลก้าวไกลพร้อมรับมือ

รัฐบาลควรจะมีวิธีการทำงานอย่างไรที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเก่าและรับมือกับโจทย์ใหม่ที่กำลังจะเข้ามา

พริษฐ์: ประเด็นที่หนึ่ง อนาคตของการศึกษาอยู่บนพื้นฐานการศึกษาอนาคต การศึกษาจะเป็นไปในทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับเราศึกษาว่าแนวโน้มของโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร และขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการให้บุคลากรในประเทศเรามีทักษะอะไรที่จะสามารถปรับตัวสู่โลกอนาคตได้ พอเราแปรส่วนนั้นมากำหนดเป็นรูปแบบของการทำงาน สิ่งที่ก้าวไกลพยายามจะทำจึงไม่ใช่แค่ออกแบบใหม่แล้วจบเลย แต่ต้องคำนึงให้ระบบมีความยืดหยุ่นเพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วย สมมติว่าผ่านไปอีก 4 ปีข้างหน้า ถ้าก้าวไกลไม่ใช่รัฐบาลแล้ว เราต้องทำให้ระบบสามารถรับรู้ถึงสัญญาณการปลี่ยนแปลงต่างๆ และปรับรูปแบบให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นได้

ประเด็นที่สอง เราเข้าใจดีว่าหากจะขับเคลื่อนให้สำเร็จ การทำงานร่วมกับระบบราชการเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ก้าวไกลประกาศนโยบาย 300 ข้อในการหาเสียง แทนที่จะเลือกเฉพาะข้อสำคัญ เรามองว่าการสื่อสารกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกเป็นการสื่อสารกับระบบราชการด้วย ประชาชนที่เลือกก้าวไกลมาอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับทั้ง 300 นโยบาย แต่ท้ายสุดแล้ว คะแนนเสียงที่ได้มาเป็นสิ่งที่บอกว่านี่คือภาพอนาคตที่ประชาชนอยากเห็น และเราสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปทำงาน เราชัดเจนกับระบบราชการว่าต้องการจะเข้าไปขับเคลื่อนอะไร

ไกรยส: ผมอยากสนับสนุนแนวคิดวัฒนธรรมการใช้ข้อมูล การใช้ผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในการออกแบบนโยบายและมีการประเมินผลต่อเนื่อง เป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของ กสศ. ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาวิจัยเรื่องในโรงเรียน ในชั้นเรียน เราให้นักวิจัยหลายคนเข้ามาทำงานวิจัยเชิงระบบ ในอนาคตถ้าอยากให้ระบบการศึกษามีความยืดหยุ่น เราต้องมีกลไกพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง และกลไกบริหารจัดการข้อมูลที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายเห็นแดชบอร์ด (Dashboard) ทำให้เห็นว่าทรัพยากรที่ใส่ไปในแต่ละปีการศึกษามีอะไร พอนำข้อมูลมาคุยกัน ก็สามารถจะดึงเอาข้อเท็จจริงมาสู่การกำหนดหรือการตัดสินใจเชิงนโยบายได้ และนำสิ่งนี้ลงมาสู่พื้นที่ เพื่อพัฒนาให้คนที่อยู่ในระบบการศึกษามีทักษะที่หลากหลายและนำไปสู่ความยั่งยืน

การทำให้การปฏิรูปในระบบการศึกษายั่งยืนได้นั้นอยู่ที่คน และการรักษาให้คนเหล่านี้อยู่ในระบบการศึกษาได้คือกลไกของข้อมูล หลายครั้งต่างคนต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่ถ้าความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้นสามารถมาอยู่ในจุดที่ลงตัวกันได้ด้วยข้อมูลที่ทุกคนเชื่อมั่นว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ข้อขัดแย้งก็อาจจะคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดีได้

สร้างระบบ All for Education เพื่อนำไปสู่ Education for All

มีความคาดหวังอย่างไรกับผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งในกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งในฐานะหน่วยงานที่ต้องร่วมงานด้วยและในฐานะผู้กำหนดนโยบาย และอยากฝากอะไรถึงรัฐบาลใหม่เพื่อให้การศึกษาเป็นการศึกษาเพื่อทุกคน

ไกรยส: สิ่งแรกที่ผมอยากเห็นคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการอยู่นานเกิน 10 เดือน รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการถูกเปลี่ยนบ่อยมาก เป็นหนึ่งในกระทรวงที่เปลี่ยนบ่อยที่สุด ในขณะที่ความเสถียรภาพของนโยบายด้านการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้ดำรงตำแหน่งได้เกิน 10 เดือน

อีกเรื่องคือคาดหวังว่าผู้ที่อยู่ในระบบราชการจะมีความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ ลำดับความสำคัญไปที่ตัวนักเรียน ตัวครู เป็นจุดตั้งต้น แก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในระบบการบริหารงานราชการ ถ้าตอบโจทย์เด็ก ครู โรงเรียน ครอบครัวได้ ประเทศก็จะปฏิรูปการศึกษาอย่างก้าวหน้าได้

พริษฐ์: ภาพรวมของสิ่งที่รัฐบาลก้าวไกลพยายามทำคือ การเอาวาระเป็นตัวตั้ง ที่ผ่านมามีการพยายามที่จะร่าง Memorandum Of Understanding (MOU) ขึ้นมา เพื่อที่อย่างน้อยจะมีวาระขั้นพื้นฐานที่พรรคร่วมรัฐบาลเห็นเป็นพื้นฐานร่วมกัน เอาวาระเป็นตัวตั้งและชี้วัดความสำเร็จของรัฐบาลชุดใหม่ หากใช้วาระเป็นตัวตั้ง สิ่งนี้จะไปทลายกำแพง 2 อย่างคือ หนึ่ง วาระจะไปทลายกำแพงระหว่างกระทรวง เช่น เรารู้ว่าวาระการศึกษาไม่ได้ถูกขับเคลื่อนแค่กระทรวงศึกษาอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงหลายกระทรวง การทำงานต้องไม่เป็นไปในลักษณะของกระทรวงใคร กระทรวงมัน ต้องมีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานมากขึ้น

อย่างที่สองคือ ทลายตำแหน่ง ผมไม่สามารถยืนยันได้ว่ารัฐมนตรีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งได้นานเท่าไร แต่เมื่อเราเอาวาระเป็นตัวตั้ง หากมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐมนตรีก็จะถูกกำหนดไว้ด้วยวาระ

ไกรยส: ถ้า กสศ.ได้รับการสนับสนุนตามพันธกิจที่ถูกตั้งขึ้นมาว่า เป็นหน่วยงานอิสระที่สามารถให้คำแนะนำรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เรามีข้อเสนอต่อรัฐบาลว่าจะต้องมีการลงทรัพยากรเท่าไหร่ในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้จบ มีผลต่อคนกี่คน กลุ่มเป้าหมายไหน ด้วยวิธีอย่างไร โดยที่งบประมาณไม่จำเป็นต้องมาที่ กสศ. โดยตรง เราแค่ชี้เป้าและให้วิธีการ นี่น่าจะเป็นการสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เราสามารถทำหน้าที่ในฐานะตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ รวมถึงช่วยสนับสนุนการทำงานอย่างอิสระ รายงานกับนายกรัฐมนตรีที่สามารถทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานได้

การศึกษาสำหรับคนทุกคนคืออนาคตของประเทศไทย เรามียังมีโอกาสก่อนที่เราจะมีคนเกิดน้อยกว่าคนที่ต้องดูแล เด็กคนหนึ่งมีศักยภาพแตกต่างหลากหลายและไปได้สุดทาง นั่นคือความเสมอภาคที่ผลลัพธ์ ถ้าเรารู้ได้ว่าผลที่หลากหลายเหล่านั้นจะทำให้เสมอภาคได้อย่างไร แล้วมาจัดสรรเรื่องระบบงบประมาณ นโยบายต่างๆ การทำงานที่ทุกภาคส่วนสามารถทำงานร่วมกัน นั่นจะเป็นหัวใจของการบริหารความยั่งยืนจากการเปลี่ยนแปลงนี้

พริษฐ์: การยกระดับการศึกษาเพื่อทุกคนเป็นวาระสำคัญ หลายปัญหาในประเทศนี้จะแก้ไขไม่ได้หากเราไม่แก้ไขปัญหาด้านการศึกษา ถ้าเราอยากยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน เราก็ต้องทำให้บุคลากรของประเทศเรามีศักยภาพที่ตอบโจทย์อนาคต ถ้าเราอยากจะลดความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างสังคมที่เป็นธรรม เราไม่สามารถมีสังคมที่เป็นธรรมได้ ถ้าเด็กสองคนเกิดที่ในประเทศนี้เข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพแตกต่างกัน ถ้าเราอยากมีประชาธิปไตยที่มั่นคง ไม่ใช่แค่ในเชิงระบบ แต่ในเชิงค่านิยม เราก็ต้องส่งเสริมค่านิยมเหล่านั้นในทุกห้องเรียน ทุกโรงเรียนของประเทศนี้ 

พรรคก้าวไกลไม่เพียงแต่จะยกระดับการศึกษาเพื่อทุกคนอย่างเดียว แต่เราต้องการจะเป็นรัฐบาลของคนทุกคน เพื่อคนทุกช่วงวัย ทุกภูมิภาค ทุกอาชีพ และเป็นรัฐบาลให้กับทั้งคนที่เห็นด้วยและเห็นต่างกับเรา


ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือระหว่าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และ The101.world

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save