ปดิพัทธ์

ก้าวต่อไปของ ‘ก้าวไกล’ และภารกิจของสภาฯ ที่ยังต้องไปต่อ กับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา

จากกรณีที่พรรคก้าวไกลถูกยุบ ส่งผลให้ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี พร้อมปิดฉากการทำหน้าที่รองประธานสภาฯ ไปด้วย เป้าหมายระยะยาวที่จะยกระดับกระบวนการนิติบัญญัติจึงต้องสะดุดลงกลางคัน

น่าสนใจว่าเมื่อไร้ตำแหน่งทางการเมือง ความท้าทายที่จะสร้างรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงตามที่ตั้งใจไว้จะดำเนินต่อไปในรูปแบบใด? และจะทำอย่างไรหากไม่มีใครเข้ามาสานต่อ?

101 ชวน ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และอดีต ส.ส. พิษณุโลก พรรคเป็นธรรม มาร่วมพูดคุยกันว่ามีภารกิจอะไรบ้างที่ผลักดันจนสำเร็จ ภารกิจใดบ้างที่ยังไม่สามารถทำได้ลุล่วง และอุปสรรคสำคัญอยู่ที่ตรงไหน?

หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาจากรายการ 101 One-on-One Ep.336 – เช็คลิสต์ภารกิจ ยกระดับสภา กับ ปดิพัทธ์ สันติภาดา ออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ 13 สิงหาคม 2567 ดำเนินรายการโดย อินทร์แก้ว โอภานุเคราะห์กุล

YouTube video
ปดิพัทธ์

ถึงเวลาสร้างประชาธิปไตยในสภาฯ

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องกรณีที่พรรคก้าวไกลอาจมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้ยุบพรรคก้าวไกลและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี ประกอบด้วยกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลทั้งชุดที่ 1 และ 2 ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2564 จนถึง 31 มกราคม 2567 รวมทั้งสิ้น 11 คน เป็นเวลา 10 ปี รวมถึง ปดิพัทธ์ สันติภาดา ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ ในสมัยนี้ด้วยเช่นกัน

เมื่อถามถึงความรู้สึกหลังถูกยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองนานถึง 10 ปี ปดิพัทธ์บอกตามตรงว่าเป็นความเสียดายอย่างมาก พร้อมบอกเล่ามุมมองของตนเองเมื่อได้เข้ามาทำงานในสภาฯ ว่าปัญหาสำคัญของการเมืองไทยคือรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่มีปัญหา มีบทบัญญัติที่ทำให้อำนาจในการทำงานของ ส.ส. อ่อนแอ ถูกแทรกแซงง่าย และอยู่ในกำมือขององค์กรอิสระ จึงไม่สามารถสร้างสภาฯ ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้โดยง่าย เทียบกับสภาฯ สมัยรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เน้นการตรวจสอบอันมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ทว่าปัจจุบันกลไกกรรมาธิการกลับกลายเป็นเพียง ‘เสือกระดาษ’ ทางการเมืองเท่านั้น

เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด ในแง่หนึ่ง การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้สะท้อนอำนาจในมิติของฝ่ายนิติบัญญัติ แต่อาจสะท้อนภาพว่าต่อไปนี้ศาลรัฐธรรมนูญคือผู้ควบคุมว่าใครทำอะไรได้หรือไม่ได้ เพราะแม้แต่ฝ่ายบริหารอย่างนายกรัฐมนตรีก็ได้รับผลไปด้วย เห็นได้ชัดจากกรณีการถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน

“จนถึงวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ขาดการตรวจสอบมากขึ้นเรื่อยๆ และมีใบสั่งของผู้มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในพิมพ์เขียวของรัฐธรรมนูญ ถามว่าสภาฯ ตอนนี้เราต่างจากยุค คสช. ไหม ผมมองว่าไม่ต่าง”

นอกจากนี้ ปดิพัทธ์ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบัน ส.ส. มีอำนาจน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ไม่มีอำนาจในการควบคุมงบประมาณ ทั้งที่มาจากการเลือกของประชาชน อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้เป็นผลพวงจากข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งต้องการถ่วงดุลอำนาจของ ส.ส. ที่มีมากเกินไปจนเป็นที่มาของปัญหาบ้านใหญ่ คอร์รัปชัน และการดึงงบประมาณโดยมิชอบในยุคนั้น จึงมีการบัญญัติข้อกฎหมายให้ลดอำนาจ ส.ส. โดยให้องค์กรอื่นมาควบคุม แต่ถึงตอนนี้กลายเป็นว่าอำนาจระหว่าง ส.ส. และองค์กรอิสระไม่สมดุลกัน

“ถ้าเป็นการเมืองยุค 2540 ต้องมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลกว่านี้ ครั้งนี้อุกอาจกว่ายุคนั้นมาก พรรคก้าวไกลใช้สิทธิการเป็น ส.ส. เสนอกฎหมายอาญามาตราเดียว แต่กลับถูกตัดสินลงโทษอย่างรุนแรง ผมว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติที่ยอมรับได้” ปดิพัทธ์ให้ความเห็น

ปดิพัทธ์เน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไขตั้งแต่ฐานราก คือต้องแก้รัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยจัดสรรอำนาจใหม่สมดุลกันโดยไม่มีอำนาจอื่นนอกรัฐธรรมนูญมากำกับหรือแทรกแซง และเสนอว่าศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่เป็นรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง ควรใช้พื้นที่ของสภาฯ วินิจฉัยรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กลไกในปัจจุบันที่องค์กรอิสระมีสิทธิพิจารณาว่า ส.ส. แก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่ จนกลายเป็นว่าผู้ชี้ถูกผิดในการร่างกฎหมายคือกฤษฎีกาเพียงเท่านั้น

“สภาฯ อยู่ใต้กลไก คสช. มากว่า 20 ปีแล้ว ความเป็นประชาธิปไตยในสภาฯ ไม่มีเหลือ เราอยู่ภายใต้การรัฐประหาร วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่ประชาธิปไตย นิติบัญญัติจึงอยู่ใต้ผู้มีอำนาจ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องสร้างประชาธิปไตยในสภาฯ ก่อน”

“สถานการณ์ตอนนี้ก็เหมือนความหวังในการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ เมื่อตอนปี 2562 เราเข้ามาในกติกาที่เรารู้ดีว่าถึงอย่างไรเราก็แพ้ เราเลือกตั้งกันแบบรู้อยู่แล้วว่าชื่อนายกรัฐมนตรีในปีนั้นต้องเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่สุดท้ายเราก็ต้องลงเลือกตั้ง ต่อให้โอกาสชนะไม่มี รู้ว่าอยู่ใต้อุ้งมือขององค์กรอิสระ แต่อย่างน้อยเราต้องได้เข้ามาทำงานในสภาฯ” ปดิพัทธ์กล่าว

ปดิพัทธ์

ภารกิจที่ต้องไปต่อของ ส.ส. ที่ถูกตัดสิทธิ

เมื่อถามถึงแผนงานที่ลงทุนลงแรงไปก่อนจะมีมติยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง ปดิพัทธ์กล่าวว่างานหลักที่คาดหวังให้มีผู้ดำเนินการต่อคือ แผนพัฒนาสภาดิจิทัล (Digital Parliament) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนรัฐสภาโปร่งใสและสมรรถนะสูง เพราะถ้าโครงสร้างพื้นฐานของข้อมูลมีประสิทธิภาพอย่างชัดเจนแล้วนั้น การพัฒนาและดำเนินการต่อเพื่อผลักดันให้เกิดรัฐสภาอัจฉริยะ (Smart Parliament) ก็สามารถเห็นผลได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ทว่าระหว่างการดำเนินการที่ผ่านมา เขาพบว่าปัญหาในการผลักดันเรื่องนี้คือไม่มีธรรมาภิบาลข้อมูล (Data Governance) และสารสนเทศที่เหมาะสม จึงมีการจัดทำธรรมาภิบาลข้อมูลเพื่อให้รัฐสภาไทยมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อการใช้งานด้านข้อมูลของรัฐสภาไทยสำหรับประชาชน ซึ่งก็พบว่าที่ผ่านมา มักมีการใช้งบประมาณด้านไอทีบานปลายเกินความจำเป็น

“จริงๆ ประเทศเรามีเงินงบประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท แต่เรามีแต่โครงการซ้ำซ้อน ไม่มีความจำเป็น เช่น กกต. มี ราวห้าแอปพลิเคชัน แต่ละแอปใช้เงินหลายสิบล้าน เงินไม่ได้ถูกใช้เพื่อพัฒนาประเทศจริงๆ”

“เราพยายามผลักดันเรื่องการเปิดเผยผลโหวต วันลา และวันประชุมของ ส.ส. รวมถึงโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ อันที่จริงแล้วในทางเทคนิคนั้นทำไม่ยาก แต่ปัญหาคือเรายังทำไม่ได้ เพราะเราไม่มีธรรมาภิบาลข้อมูล และผู้บริหารที่มีเจตจำนงในการพัฒนาข้อมูลเปิด (Open Data)” ปดิพัทธ์อธิบาย

เมื่อถามถึงความกังวลต่องานในสภาฯ ในมุมมองของปดิพัทธ์ เขามองว่าสภาฯ เริ่มปฏิรูปรากฐานช้าเกินไป ทั้งที่เรื่องที่ควรเน้นย้ำมากที่สุดคือการปฏิรูปโครงสร้างข้าราชการรัฐสภา เนื่องจากภารกิจหลายอย่างทำไม่ได้เพราะโครงสร้างของคนทำงานภายในยังไม่พร้อม มากไปกว่านั้น ยังมีการแยกกันออกเป็นสองขั้วระหว่าง ส.ส. กับ สว. ทั้งที่ในความเป็นจริงควรจะเป็นสำนักเดียวกัน หากมองย้อนกลับไป สภาฯ เคยเป็นรัฐสภาเดียวที่แยกกันระหว่าง ส.ส. กับ สว. ทว่าปัจจุบันภายใต้ความไม่เป็นประชาธิปไตยของสภาฯ ส.ส. กับ สว. จึงแยกขาดกันแบบสิ้นเชิงเกินไป และส่งผลต่อเสถียรภาพการทำงานของสภาฯ ภาพรวม

“สภาฯ มีตัวชี้วัดที่ไม่จำเป็นเยอะมาก แต่พอเอาตัวชี้วัดสากลมาเทียบ เรายังไปไม่ถึงไหนเลย มีงานจำนวนมากที่เราแล้วเหนื่อยลงแรง แต่ผลลัพธ์กลับไร้ประสิทธิภาพ สิ่งนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างว่าถ้าอำนาจทั้งสามอยู่ภายใต้อำนาจและกำลังคนของรัฐบาล เราก็ต้องเชื่อฟังรัฐบาล เพราะกลัวกระทบต่ออำนาจ”

“เราเป็นผู้แทนราษฎร เราไม่ควรพูดแค่เรื่องเดียว ส.ส. ต้องพูดแทนประชาชนในญัตติ เช่น ญัตติเรื่องทุนจีนสีเทา ส.ส. ต้องสะท้อนเสียงว่าทุนจีนคุกคามประชาชนในพื้นที่ที่เขาดูแลอย่างไร หรือความสัมพันธ์ระหว่างสงครามพม่าที่กระทบจังหวัดภาคเหนือแทบทั้งเส้น ส.ส. ต้องพูดว่าประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างไร ส่งผลต่อผู้ลี้ภัยอย่างไร เราต้องพูดประเด็นระหว่างประเทศ (international issue) ในมุมของระดับท้องถิ่น (local level) ให้ได้”

อีกประเด็นที่ชวนมองคือความจริงที่ว่า กระทั่งสภาฯ ชุดปัจจุบันครบรอบหนึ่งปี แต่กลับออกกฎหมายสำเร็จไปเพียงแค่หนึ่งฉบับ ต่อประเด็นนี้ปดิพัทธ์ระบุว่า ปัญหาเกิดจากสามขาที่ร่วมเสนอกฎหมายได้ คือ ครม. ส.ส. และประชาชน กลับกลายเป็น ครม. ที่มีส่วนในการร่วมออกกฎหมายน้อยที่สุด แม้ที่ผ่านมาจะมีกฎหมายที่ ส.ส. เป็นผู้เสนอ ก็จะต้องผ่านด่านจาก ครม. ก่อน ทำให้กฎหมายจาก ส.ส. ถูกพิจารณาน้อย รวมไปถึงการประชุมของสภาฯ ที่เป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ

“เราประชุมกันแค่สองวัน แต่ละวันกว่าจะได้เริ่มพิจารณากฎหมายก็เสียเวลาไปมากแล้ว สุดท้ายหนึ่งปี ออกกฎหมายได้แค่ฉบับเดียว และ ส.ส. ส่วนใหญ่ก็ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ทั้งที่ปัญหานี้แปรออกมาได้เป็นต้นทุนอาหาร ต้นทุนสถานที่ ต้นทุนเงินเดือนข้าราชการ แปลว่าเราใช้งบประมาณมหาศาลในการออกกฎหมายแค่ฉบับเดียว”

“วันนี้ไม่ได้เป็นประธานสภาฯ แล้ว สิ่งที่วางพิมพ์เขียวไว้ก็กังวลว่าจะไม่มีใครสานต่อ หลายเรื่องทำไม่สำเร็จเสียทีเพราะถ้าทำได้จะมีคนเสียประโยชน์ ทุกอย่างที่เราวางแผนทำให้การตรวจสอบชัดเจนขึ้น เพราะถ้าประธานสภาทั้งสามคนทำตัวเป็นข้าราชการประจำที่ไม่คิดจะปกป้องศักดิ์ศรีของสภาฯ ไม่คิดจะคานอำนาจ ตัวตนและศักดิ์ศรีของสภาฯ ก็จะหายไป” ปดิพัทธ์กล่าว

เมื่อถามถึงภาพสภาฯ ในอุดมคติ ปดิพัทธ์ระบุว่าต้องเป็นสภาฯ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการออกกฎหมาย ไม่ใช่ภาพในปัจจุบันที่การรับฟังเสียงของสภาฯ ถูกตราหน้าว่าทำพอเป็นพิธี ซ้ำร้ายเสียงของประชาชนยังไม่ส่งผลต่อการอภิปราย การร้องเรียนของประชาชนไม่มีการรับฟังอย่างจริงจัง ทั้งนี้เป็นเพราะสภาฯ ไทยมีวัฒนธรรมและข้อบังคับของสังคมในการพินอบพิเทา ต่างจากสภาฯ ทั่วไปที่ต้องมีการปะทะทางความคิดได้ทุกเรื่อง การพัฒนาสภาฯ จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องต่อสู้กันต่อไป

“สภาฯ ที่ดีจะต้องถกเถียงกันได้ทุกเรื่อง แต่สภาฯ ตอนนี้มีความอ่อนไหวมาก อย่างข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในช่วงที่รุนแรงมากๆ ในปี 2563-2564 หรือมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ถ้าพูดจะโดนปิดไมค์ เราเลยไม่ได้เอาปัญหาใต้พรมจริงๆ ของสังคมมาพูดคุยกัน”

“เรามีตึกรัฐสภาที่ใหญ่โตอลังการ แต่ประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยต้องอยู่ในกรอบ ผมอยากเห็นภาพรัฐสภาที่เด็กเดินเข้ามาแล้วยิ้มแย้ม ได้ลองทำนู่นนี่ ประชาชนที่เข้ามาไม่ต้องใส่สูท แต่แต่งตัวตามวิถีชีวิตตัวเองได้” ปดิพัทธ์กล่าว

ก้าวต่อไปของก้าวไกลและพรรคประชาชน

“เราเตรียมแผนสำรองไว้เหมือนทำประกันชีวิตขั้นสุดไว้ก่อน เพราะเรารู้ว่าประเทศนี้มีมะเร็งในระบอบประชาธิปไตย”

เมื่อมองไปยังภาพอนาคตหลังถูกตัดสิทธิทางการเมือง ปดิพัทธ์กล่าวว่าเขาให้ความสำคัญกับการเตรียมทุกฉากทัศน์ที่จะเกิดขึ้นทางการเมือง ทั้งฉากทัศน์กรณีที่ไม่มีการยุบพรรค ฉากทัศน์โดนยุบพรรคและตัดสิทธิแค่บางคน กับกรณีร้ายแรงที่สุดที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไป ทั้งตัวเขาและพรรคพร้อมทำงานทางการเมืองต่อไปในทุกความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าผลตัดสินทำให้ประชาชนหลายคนเสียใจ ผิดหวัง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือประชาชนยังคงเชื่อมั่นในพรรคก้าวไกลมาก แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะดูสิ้นหวังขนาดไหนก็ตาม

“เรื่องที่อันตรายเรื่องหนึ่งคือ หากในอนาคตมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลจากพรรคที่ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง ประชาชนจะมีความรู้สึกว่าการเลือกตั้งไม่มีประโยชน์ เลือกใครมาก็ไม่สามารถขึ้นเป็นผู้นำประเทศได้ถ้าผู้มีอำนาจตัวจริงไม่ชอบ สิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้เรายังรักษาความหวังและความศรัทธาต่อเรื่องนี้ได้”

อีกประเด็นหนึ่งที่ก้าวไกลถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง คือการเสนอกฎหมายหรือนโนบายที่มักถูกมองว่าสุดโต่งเกินไป จนทำให้หลายนโยบายถูกปัดตกตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ต่อประเด็นนี้ ปดิพัทธ์ให้ความเห็นว่า ในความเป็นจริง สภาฯ เป็นเวทีประนีประนอมอยู่แล้ว ไม่ว่าร่างกฎหมายที่เสนอจะมีประเด็นแหลมคมขนาดไหน พอเข้าสภาฯ จะมีกรรมาธิการกรองอีกที แต่หากพรรคการเมืองพินอบพิเทาตั้งแต่ต้น โครงสร้างประเทศจะไม่มีวันเปลี่ยน และสิ่งสำคัญที่สุดไม่ว่าจะพรรคการเมืองไหน คือการร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียที

“ถ้าสภาฯ ต่อจากนี้จนครบวาระไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญเลย มีแค่การแก้เล็กๆ น้อยๆ ผมมองว่าพรรคใดก็ตามที่มีความชัดเจนที่สุดในการแก้ไขโครงสร้างอำนาจจะได้เสียงเป็นฉันทามติในการเลือกตั้งปี 2570”

“เพราะไม่ว่าพรรคการเมืองจะใช้นโยบายขายฝันแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่คิดจะแก้ไขโครงสร้างอำนาจของประเทศ เสียงประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่ นโยบายก็ไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตประชาชนได้ และสุดท้ายผลประโยชน์จะไหลไปที่คนกลุ่มเดียว ถ้าพรรคการเมืองไม่สามารถพูดถึงการแก้ไขโครงสร้างนี้ได้ ประชาชนคงไม่เลือก และผมเชื่อว่าพรรคประชาชนจะพูดเรื่องนี้แน่นอน” ปดิพัทธ์ทิ้งท้าย

ปดิพัทธ์

MOST READ

Thai Politics

6 Jun 2025

101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ

ร่วมซัพพอร์ตให้ ‘วันโอวัน’ ทำงานสื่อความรู้สร้างสรรค์แบบมืออาชีพ เปิดเบื้องหลังเบื้องหลังของปรากฏการณ์รอบตัวอย่างตรงไปตรงมา ชวนสังคมตั้งคำถามที่ ‘ใช่’ ในเรื่องสำคัญต่อชีวิต และเป็นตลาดวิชาคุณภาพให้สังคมไทย

กองบรรณาธิการ

6 Jun 2025

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save