fbpx

วิกฤตฯ ที่รอ ‘รัฐบาลนิดหนึ่ง’

เมื่อวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้เปิดเผยว่าตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของปีนี้ เติบโตต่ำกว่าที่ได้มีการคาดการณ์กันไว้มาก โดยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าในอัตราเพียงแค่ร้อยละ 1.8 เท่านั้น

ความผิดหวังที่เกิดขึ้นนี้มีผลมาจากตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกที่สภาพัฒน์ได้แถลงไว้เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมนั้นแสดงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าพึงพอใจ โดยอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ซึ่งส่งผลให้ทุกฝ่ายต่างมีความคาดหวังกับเศรษฐกิจไทยในปีนี้อย่างมาก

ณ เวลานั้น ทางสภาพัฒน์ก็ดูจะมั่นใจว่าสามไตรมาสที่เหลือของปีนี้ จะเติบโตในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.6 แน่ๆ ดังเห็นได้จากประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจตลอดปี 2566 ที่ปรากฏในเอกสารประกอบการนำเสนอรายงานฯ เดือนพฤษภาคม ซึ่งระบุช่วงของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจทั้งปีไว้ที่ร้อยละ 2.7-3.7

เมื่อตัวเลขการขยายตัวจีดีพีในไตรมาสที่ 2 หล่นฮวบมาที่ร้อยละ 1.8 เป้าการเติบโตทั้งปีที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนพฤษภาคมจึงดูห่างความเป็นจริง ดังนั้นในรายงานสภาวะเศรษฐกิจรายไตรมาสฉบับล่าสุด สภาพัฒน์จำต้องปรับลดประมาณการแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2566 ลงมาเหลือแค่ร้อยละ 2.5-3.0

แม้จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจในปีนี้ลงจากเดิม แต่เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้แล้ว โอกาสที่จะได้เห็นจีดีพีในปีนี้บรรลุเป้าหมายการเติบโตในอัตราร้อยละ 2.5 (ซึ่งเป็นขอบล่างของช่วงพยากรณ์) ก็ยังดูยากเอาการ เพราะตัวเลขการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกนี้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.2 เท่านั้น ดังนั้นหากจะดันให้จีดีพีเติบโตทั้งปีในอัตราร้อยละ 2.5 การเติบโตของจีดีพีในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้จะต้องขยายตัวในอัตราเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.8!

ตัวเลข 2.8 นี้อาจดูไม่ใช่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงเกินเอื้อมสำหรับการบริหารจัดการเศรษฐกิจช่วงสองทศวรรษก่อน แต่ในสภาพปัจจุบันที่ประเทศไทยเราถูกเรียกขานว่าเป็น ‘คนป่วยประจำภูมิภาค’ เราคงได้แต่สวดมนต์และส่งกำลังใจให้รัฐบาลใหม่สามารถพิชิตภารกิจ ‘เข็นครกขึ้นภูเขา’ นี้ได้สำเร็จ

ในเอกสารที่สภาพัฒน์นำเสนอประกอบการแถลงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 นั้น ได้แจกแจงให้เห็นองค์ประกอบสำคัญของ ‘อุปสงค์มวลรวม’ ที่ทำหน้าที่เสมือนเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่

  1. การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครัวเรือน
  2. การบริโภคของรัฐบาล
  3. การลงทุนรวม
  4. ปริมาณส่งออก

ทั้งสี่องค์ประกอบหลักนี้ร่วมกันกำหนดอุปสงค์มวลรวมของระบบเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลา และเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคการผลิต เพิ่มการจ้างงานและปัจจัยการผลิตต่างๆ เพื่อตอบสนองอุปสงค์ ก่อเกิดเป็น ‘อุปทานมวลรวม’ ซึ่งสร้างให้เกิดมูลค่าผลผลิตในประเทศหรือจีดีพีนั่นเอง

ในรายงานฯ ของสภาพัฒน์ระบุว่า ตัวขับเคลื่อนที่ ‘แบก’ ให้จีดีพีไตรมาสสองเติบโตถึงระดับร้อยละ 1.8 ได้ นั่นคือการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครัวเรือน โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ การใช้จ่ายภาคเอกชนเติบโตในอัตราร้อยละ 7.8! ซึ่งไม่เพียงแสดงอัตราการขยายตัวที่มั่นคงต่อเนื่องจากการเติบโตในไตรมาสแรก (ซึ่งเติบโตในอัตราร้อยละ 5.8) แต่ยังเป็นอัตราการเติบโตที่สูงมากจนแม้แต่นักวิเคราะห์ยังหาต้นเหตุไม่ได้อีกด้วย

ในขณะที่ตัวขับเคลื่อนอื่นๆ ไม่สามารถคงโมเมนตัมของการเติบโตในไตรมาสแรกไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนรวมหรือ ปริมาณส่งออก

ตัวเลขที่ปรากฏชวนให้คิดต่อว่า หากการใช้จ่ายภาคเอกชนไม่ได้เติบโตในอัตราสูงเช่นนี้ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 คงออกมาน่าผิดหวังกว่านี้เพียงใด

 ไตรมาสที่ 2 ปี 2566ไตรมาสที่ 1 ปี 2566
การบริโภคภาคเอกชน7.85.8
การบริโภคภาครัฐบาล-4.3-6.8
การลงทุนรวม0.43.1
ปริมาณส่งออก0.72.1
ตารางที่ 1: องค์ประกอบสำคัญของจีดีพี ในช่วงครึ่งปีแรก 2566
ที่มา: เอกสารประกอบการแถลงภาวะเศรษฐกิจรายไตรมาส วันที่ 21 สิงหาคม 2566

หลังจากที่ได้เห็นสภาพห้องเครื่องของเศรษฐกิจไทยแล้ว หลายท่านอาจเริ่มกังวลว่าหากการบริโภคภาคเอกชนต้องชะงักงัน ไม่ขยายตัวได้อย่างในช่วงครึ่งปีแรก เศรษฐกิจไทยและจีดีพีในปีนี้จะแผ่วปลาย และไม่สามารถเติบโตได้ดังที่คาดการณ์เป็นแน่แท้

ความกังวลนี้ใช่ว่าจะไร้เหตุปัจจัย เพราะในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผู้อ่านคงได้ยินเสียงเตือนเกี่ยวกับหนี้ระดับครัวเรือนของประเทศไทยที่ได้แตะระดับร้อยละ 90 ของจีดีพีไปแล้ว การที่ครัวเรือนมีภาระหนี้ต่อรายได้สูง ย่อมเป็นปัจจัยฉุดรั้งการจับจ่ายใช้สอยของเอกชนในระดับจุลภาค ที่เมื่อนับรวมกันทั้งระบบจะส่งต่อให้การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของเอกชนในระดับมหภาคชะลอตัวหรืออาจถึงขั้นถดถอยลดลงได้

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานสถานการณ์หนี้ครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี 2566 นี้ว่าครัวเรือนไทยมีหนี้สินกับสถาบันการเงินในระบบรวมทั้งสิ้น 16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 90.6 ของจีดีพี

สัดส่วนที่ปรากฏนี้ไม่ใช่ระดับสูงสุดที่ประเทศไทยเคยมี กล่าวคือในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 นั้น สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเคยพุ่งสูงถึงร้อยละ 94.3 อย่างไรก็ดียอดหนี้คงค้าง ณ เวลานั้นมีมูลค่าเพียง 15.3 ล้านล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าตัวเลขล่าสุด แต่เหตุที่ทำให้สัดส่วนมีค่าสูงถึงร้อยละ 94.3 นั้นเป็นเพราะจีดีพีในขณะนั้นยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ในปีก่อนหน้านั่นเอง

อย่างไรก็ดี สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่สูงกว่าร้อยละ 90 ส่งให้ประเทศไทยติดอันดับท็อปเทนของตารางประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงสุดในโลก โดยประเทศสวิตเซอร์แลนด์รั้งอันดับจ่าฝูงด้วยตัวเลข ร้อยละ 128 ตามด้วยประเทศออสเตรเลียที่มีสัดส่วนหนี้เท่ากับร้อยละ 112

อันดับประเทศสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี (ร้อยละ)ข้อมูลล่าสุด
1สวิตเซอร์แลนด์128ธค. 2565
2ออสเตรเลีย112ธค. 2565
3เกาหลีใต้105ธค. 2565
4แคนาดา102มีค. 2566
5ฮ่องกง96ธค. 2565
6เนเธอร์แลนด์95ธค. 2565
7นิวซีแลนด์94.5ธค. 2565
8ไทย90.6มีค. 2566
9สวีเดน87.9ธค. 2565
10เดนมาร์ก86ธค. 2565
ตารางที่ 2: ประเทศที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีสูงสุด 10 อันดับแรกของโลก
ที่มา: Trading Economics และรายงานหนี้ครัวเรือน ธนาคารแห่งประเทศไทย

เห็นได้ว่าในตารางอันดับข้างต้นนี้มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่เป็นประเทศระดับรายได้ปานกลาง ท่ามกลางนานาประเทศจากกลุ่มรายได้ระดับสูง!

เราอาจกล่าวได้ว่า ในเวทีนานาชาติ ประเทศไทยเรา “มีหนี้สินสูง ก่อนจะรวย” ซึ่งข้อสังเกตนี้ก็สอดคล้องกับข้อค้นพบจากรายงานสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ซึ่งมาจากผลสำรวจระดับจุลภาคของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่พบว่าคนไทยเป็นหนี้เร็ว กล่าวคือจากกลุ่มตัวอย่าง 4,600 ราย มีมากกว่าร้อยละ 58 ของคนในวัยเริ่มทำงาน (อายุ 23-29 ปี ซึ่งมีจำนวนประมาณ 4.8 ล้านคน) มีหนี้สิน และมากกว่าร้อยละ 25 เป็นหนี้เสียไปแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นผลสำรวจยังชี้ด้วยว่า คนไทยมีหนี้เกินตัว กล่าวคือราวร้อยละ 30 ของลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล มีหนี้มากกว่า 4 บัญชี โดยวงเงินรวมต่อคนสูงถึง 10-25 เท่าของรายได้ในแต่ละเดือน ดังนั้นกลุ่มตัวอย่างนี้ใช้รายได้เกินกว่าครึ่งไปกับการชำระคืนหนี้

ในรายงานได้ให้ความเห็นด้วยว่าวงเงินบัตรเครดิตต่อรายได้ในประเทศไทยนี้ สูงกว่าที่ปรากฏในต่างประเทศ โดยในต่างประเทศนั้นจะให้วงเงินรวมต่อคนจะอยู่ที่ราว 5-12 เท่าของรายได้เท่านั้น นอกจากนี้ร้อยละ 42 ของกลุ่มตัวอย่างจากทั่วภูมิภาค ยังเป็นหนี้นอกระบบอีกด้วย โดยในรายงานพบว่าโดยเฉลี่ยแล้วมีหนี้นอกระบบกันคนละ 54,300 บาท

อีกข้อค้นพบหนึ่งในรายงานนี้คือ ภาระหนี้นี้ไม่ได้จำกัดวงไว้เพียงกลุ่มคนทำงานเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงกลุ่มประชากรสูงวัย จนปรากฏเป็นภาวะติดหนี้นาน กล่าวคือมากกว่าร้อยละ 25 ของกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุเกิน 60 ปี ยังมีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระ โดยมีหนี้เฉลี่ยสูงกว่า 415,000 บาทต่อคน นอกจากนี้เกือบร้อยละ 40 ระบุว่ามักผ่อนจ่ายหนี้เพียงขั้นต่ำเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นที่น่ากังวลว่ากลุ่มตัวอย่างนี้ยังต้องผ่อนชำระหนี้ไปอีกยาวนานเลย

เมื่อมีหนี้เยอะและติดหนี้นาน หากมีเหตุให้กระแสรายได้ชะงักงัน ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้เสียได้ไม่ยาก

ดังที่ปรากฏในฐานข้อมูลเครดิตบูโร ซึ่งพบว่าในช่วงการระบาดของโควิด-19 เกิดหนี้เสียจำนวนมาก เงินกู้ 82 ล้านบัญชี ได้กลายมาเป็นหนี้เสียถึง 10 ล้านบัญชี

อันที่จริงหนี้ครัวเรือนจะไม่สร้างปัญหากับระบบเศรษฐกิจ หากครัวเรือนนำเงินกู้นั้นไปใช้ในสิ่งจำเป็น หรือใช้สำหรับเป็นเงินทุนสำหรับการประกอบอาชีพ แต่หากพิจารณาข้อมูลหนี้ครัวเรือนโดยแยกตามประเภทของการกู้จะพบว่า มีเพียงร้อยละ 28 เท่านั้นที่เป็นการกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ (ซึ่งรวมถึงหนี้ กยศ. ไว้ด้วย) ในส่วนที่เหลือนั้นสามารถแจกแจงตามประเภทหลักๆ ได้ดังนี้

  • ร้อยละ 34 ของหนี้ครัวเรือนเป็นสินเชื่อบ้าน
  • ร้อยละ 27 เป็นหนี้จากสินเชื่อส่วนบุคคลและหนี้บัตรเครดิต
  • ร้อยละ 11 เป็นสินเชื่อรถยนต์/จักรยานยนต์

เห็นได้ว่าเมื่อรวมทั้งสามส่วนนี้เข้าด้วยกัน จะมีน้ำหนักคิดเป็นร้อยละ 72 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

ไม่เพียงเท่านั้น ลูกหนี้ในสามกลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีปัญหาหนี้เสีย (หรือ NPL คือหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 90 วัน) และหนี้กำลังจะเสีย (หนี้ที่ค้างชำระนานกว่า 30 วันแต่ยังไม่ถึง 90 วัน) มากที่สุดอีกด้วย

จากข้อมูลของเครดิตบูโร พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ยอดหนี้เสียในการดูแลของเครดิตบูโรมีมูลค่าทั้งสิ้น 1 ล้านล้านบาท โดยจำแนกเป็น

  • หนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์ 2 แสนล้านบาท
  • หนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย 1.8 แสนล้านบาท
  • หนี้เสียจากสินเชื่อบุคคล (รวมหนี้เกษตรกรด้วย) 3.3 แสนล้านบาท

สำหรับหนี้ค้างชำระที่สุ่มเสี่ยงว่าจะกลายเป็น NPL ได้นั้น มียอดรวม 4.8 แสนล้านบาท ซึ่งจำแนกตามประเภทได้ดังนี้

  • หนี้ค้างชำระจากสินเชื่อรถยนต์ 2 แสนล้านบาท
  • หนี้ค้างชำระจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย 1.3 แสนล้านบาท
  • หนี้ค้างชำระจากสินเชื่อส่วนบุคคล 8.6 หมื่นล้านบาท

ข้อมูลเชิงลึกของหนี้ครัวเรือนทำให้เห็นได้ว่า สถานะทางการเงินของครัวเรือนไทยจำนวนไม่น้อยนั้น มีความเปราะบาง และสุ่มเสี่ยงที่จะกลายเป็นครัวเรือนที่มีเงินไม่พอใช้จ่ายเพื่อยังชีพ เพราะรายได้ส่วนใหญ่ในแต่ละเดือนต้องหมดไปกับการจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ยิ่งในภาวะที่ค่าครองชีพสูงควบคู่กับดอกเบี้ยขาขึ้นอีกด้วย น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งว่าภาคครัวเรือนจะไม่สามารถช่วยผลักดันจีดีพีให้เติบโตได้ดังที่เห็นในช่วงครึ่งปีแรก

เมื่อการผลิตและรายได้ในระดับมหภาคที่ขยายตัวในอัตราต่ำเตี้ย ย่อมเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ย้อนกลับมาสู่ครัวเรือนระดับล่างอีก เพราะเมื่อรายได้เติบโตไม่ทันรายจ่าย ครัวเรือนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะกู้เงินเพิ่ม ก่อหนี้ทั้งในและนอกระบบ เป็นแบบนี้วนไป

หากปล่อยให้ภาวการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป โดยไม่ตัดตอนเสียก่อน ในที่สุดจะต้องเกิดการผิดนัดชำระหนี้ และกลายเป็นหนี้เสียของสถาบันการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มาถึงบรรทัดนี้ ดูเหมือนว่าวิกฤติของประเทศได้มายืนรอหน้าปากซอยเสียแล้ว ดังที่พรรคเพื่อไทยได้ใช้อ้างเพื่อเร่งตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว แต่เราต้องไม่ลืมว่า ที่ประเทศเรามาถึงจุดนี้นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน แต่เป็นผลพวงจากการที่รัฐบาลในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา บริหารเศรษฐกิจอย่างผิดพลาด ดังนั้นหากต้องการแก้ไขหรือปัดเป่าวิกฤติฯ อย่างเบ็ดเสร็จ พรรคเพื่อไทยไม่ควรไปนำบรรดาพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่มีส่วนในการนำพาประเทศไทยมาถึงจุดนี้มาร่วมรัฐบาลด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลคุณนิด-เศรษฐา ทวีสิน หรือรัฐบาล ‘นิดหนึ่ง’ นี้ยังเป็นรัฐบาลที่มี ‘ทุนทางการเมือง’ น้อยนิดอีกด้วย

ทุนทางการเมือง หรือ Political Capital นั้นไม่ใช่เม็ดเงินหรือกระสุน แต่เป็นแรงสนับสนุนจากมวลชนที่สามารถช่วยส่งให้พรรครัฐบาลฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในการผลักดันนโยบายสำคัญๆ ได้

อนิจจา รัฐบาลนิดหนึ่งนี้มีทุนทางการเมืองต่ำ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ไม่ได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนมากที่สุด ไม่เพียงเท่านั้น ผลโพลก่อนเลือกตั้งทุกสำนักก็บ่งชี้ชัดว่า เศรษฐา ทวีสิน ไม่เคยติดอันดับแคนดิเดตนายกฯ ที่ประชาชนอยากได้มากที่สุดเลย

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลนิดหนึ่งจะต้องสู้กับทั้งวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติศรัทธาไปพร้อมๆ กัน

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save