จากภูผาถึงทะเล: ข้อพิจารณาผลกระทบด้านลบของวาทกรรมเสียดินแดน

“ประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอยเดิมเสมอ ครั้งแรกจะเป็นโศกนาฏกรรม ครั้งถัดมาจะกลายเป็นเรื่องชวนหัว”

                                                                                                                คาร์ล มาร์กซ์ (1852)

ความพยายามในการสร้างกระแสชาตินิยมอีกครั้งในปี 2024 นี้ เพื่อต่อต้านการเจรจาพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหนือไหล่ทวีปในอ่าวไทยภายใต้บันทึกความเข้าใจปี 2001 (MOU 2544) ชวนให้ระลึกถึงกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารระหว่างปี 2008-2011 ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศได้ถูกปลุกปั่นด้วยกระแสแห่งความรักชาติ จนลุกลามบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ถึงขั้นเกิดการปะทะกันตามแนวชายแดน ส่งผลให้ประชาชนและทหารจำนวนหนึ่งบาดเจ็บล้มตาย ทรัพย์สินเสียหายจนในที่สุดต้องมีการนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกครั้ง ซึ่งก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายกัมพูชาและความรู้สึกสูญเสียของฝ่ายไทย

ความจริง กระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกขึ้นมานั้นไม่ได้เกิดจากความรักชาติจริงๆ จังๆ แต่อย่างใด หากแต่เป็นความประสงค์ของกลุ่มทางการเมืองฝ่ายขวาที่ต้องการจะโค่นล้มกลุ่มการเมืองของทักษิณ ชินวัตรมากกว่า เนื่องจากประเด็นเดียวกันนี้จะไม่ได้รับการพูดถึงเลยหากผู้ที่เป็นแกนนำของรัฐบาลเป็นที่ชื่นชอบหรือถูกอกถูกใจของพวกเขา

กรณีปราสาทพระวิหารนั้น บรรดาผู้ที่อ้างว่ารักชาติทั้งหลายก่อหวอดประท้วงรัฐบาลไทยภายใต้การนำของสมัคร สุนทรเวช ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาในการนำปราสาทหินที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชื่อเดียวกันไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่ไม่ได้ให้ความสนใจเลยว่าความจริงแล้วรัฐบาลไทยสมัยที่สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้การสนับสนุนตั้งแต่มีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่เมืองไครสต์เชิร์ช (Christchurch) ประเทศนิวซีแลนด์ ระหว่างการประชุมสมัยที่ 31 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน-2 กรกฎาคม 2007 โดยมติของที่ประชุมครั้งนั้นเขียนว่า “กัมพูชาและไทยตกลงว่ากัมพูชาจะเสนอขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการในสมัยประชุมที่ 32 ของคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2008 โดยการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากไทย”[1]

ทั้งนี้ต้องกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทหินเป็นมรดกโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทหลังนั้นแต่อย่างใดเลย อีกทั้งรัฐบาลต่อมาภายใต้การนำของสมัครก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ารักษาความคงเส้นคงวาในการดำเนินโยบายต่างประเทศต่อเพื่อนบ้านเท่านั้นเอง

กรณีบันทึกความเข้าใจปี 2001 ก็เช่นกัน พรรคพลังประชารัฐที่เป็นหัวหอกในการขัดขวางการเจรจาและการใช้บังคับความตกลงฉบับนี้อย่างเอาการเอางานในเวลานี้ก็คือพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งได้เคยมีมติในเดือนมกราคม 2023 ให้รื้อฟื้นการเจรจาเรื่องพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกับกัมพูชา ภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับเดียวกันกับที่พรรคการเมืองเดียวกันนี้เห็นว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากขนาดที่จะทำให้ ‘เสียดินแดน’

แน่นอนถ้าจะมองในแง่ของเฉดความคิดทางการเมืองเราอาจจะจัดให้คนกลุ่มนี้เป็นพวกอนุรักษนิยมฝ่ายขวาหรืออาจจะถือว่าเป็นพวกชาตินิยมก็ได้ แต่พวกเขาเหล่านี้จะรู้สึกรักชาติขึ้นมาก็แต่ในเฉพาะเวลาที่ศัตรูทางการเมืองของตัวเองมีอำนาจหรือพวกเขาถูกกีดกันออกจากขั้วทางอำนาจเท่านั้น ดูเหมือนพวกเขาก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ชัดเจนเท่าใดนัก แม้แต่ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคที่เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการด้านเทคนิคฝ่ายไทย (Joint Technical Committee – JTC) เพื่อให้เป็นหัวหน้าคณะไปเจรจากับกัมพูชาเพื่อแบ่งเขตแดนทางทะเลและร่วมกันพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียม ยังสามารถพูดได้ว่าเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าบันทึกความเข้าใจจะเลวร้ายขนาดนี้ เพิ่งจะมารู้อีกทีก็ตอนถูกปฏิเสธไม่ให้ร่วมรัฐบาลนั่นแหละ นี่ทำให้ลิ่วล้อของเขาต้องแปลงกายเป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายทะเลดาหน้ากันออกมาอธิบายความแบบผิดๆ ถูกๆ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ 2001 และอาณาเขตทางทะเล

บางรายสร้างความสับสนปนเประหว่างสิทธิและอำนาจอธิปไตยตามกฎหมายของทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง เขตเศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีป บางรายพยายามจะบอกว่า กัมพูชาเคยอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูดเอาไว้เมื่อ 50 ปีก่อน บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ทำให้การอ้างสิทธิของกัมพูชาซึ่งพวกเขาก็ย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศเกิดความศักดิ์สิทธิขึ้นมาทันที ในขณะที่พวกเขาพยายามทำให้คนทั่วไปเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก แต่ไม่มีใครสักคนในหมู่คนเหล่านี้ตอบได้อย่างน่าเชื่อถือเลยว่า ทำไมไม่ยกเลิกไปเสียตั้งแต่พวกเขามีอำนาจอยู่ในมืออย่างเหลือล้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรัฐประหารในปี 2014

ในที่นี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์จะให้การปกป้องพรรคเพื่อไทยหรือนักการเมืองในกลุ่มนี้แต่อย่างใด แต่ต้องการที่จะทบทวนให้เห็นถึงความเสียหายในภาพรวมของประเทศ อันเกิดจากการปลุกปั่นกระแสชาตินิยมสุดโต่งเพื่อหวังทำลายล้างคู่แข่งทางการเมืองอย่างไร้ความรับผิดชอบโดยใช้กรณีปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวอย่าง และจะได้คาดการณ์ถึงความเสียหายอันจะเกิดขึ้นได้ในกรณีของการปลุกกระแสต่อต้านบันทึกความเข้าใจปี 2001 ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

ความเสียหายจากกรณีปราสาทพระวิหาร

กรณีปราสาทพระวิหารเกิดจากกลุ่มการเมืองภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อต้านทักษิณ ได้หยิบยกประเด็นเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกขึ้นมากล่าวหารัฐบาลสมัครว่าจะทำให้ประเทศไทยเสียสิทธิในการทวงคืนปราสาทพระวิหารจากกัมพูชา เพราะไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พวกเขาได้ร้องต่อศาลปกครองขอให้ระงับไม่ให้มีการนำแถลงการณ์ร่วมไปสนับสนุนกัมพูชาและร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้เพิกถอนเอกสารนี้เสียเพราะเห็นว่าเป็นหนังสือสัญญาที่จะทำให้ไทยเสียดินแดน ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญได้พิพากษาตามคำขอ ที่สุดรัฐบาลไทยในสมัยนั้นต้องเพิกถอนการสนับสนุน ถึงกระนั้นก็ตามเรื่องก็ไม่จบลงแค่นั้น คณะกรรมการมรดกโลกก็มีมติให้ปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกในเดือนกรกฎาคม 2008 ตามมติในการประชุมสมัยที่ 32 ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา

การประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลกกลายเป็นสิ่งที่กระพือความโกรธแค้นให้กับกลุ่มการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาลในเวลานั้นอย่างหนัก ซึ่งกลายเป็นแรงส่งสำคัญให้การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลตอนนั้นยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในกลางเดือนกรกฎาคม 2008 ผู้ที่อ้างตัวว่ารักชาติมากกว่าใครส่วนหนึ่งเดินทางไปชุมนุมถึงพื้นที่บริเวณบ้านภูมิซรอล อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ใกล้ปราสาทพระวิหารที่สุด และได้เกิดการกระทบกระทั่งกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เพราะทำให้เกิดความขัดแย้งกับกัมพูชา และทำให้ประชาชนในบริเวณนั้นซึ่งมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้าและการท่องเที่ยวต้องพลอยเสียผลประโยชน์ไปด้วย

เมื่อรัฐบาลสมัครและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องมีอันสิ้นสุดลงเพราะคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้วินิจฉัยว่าสมัครขาดคุณสมบัติและสมชายต้องยุติบทบาททางการเมืองเพราะพรรคพลังประชาชนถูกสั่งยุบ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งตั้งขึ้นในเวลาต่อมาด้วยความสนับสนุนของชนชั้นนำและกองทัพไม่มีความพยายามที่จะต้านทานกระแสชาตินิยมในเวลานั้น หากแต่ต้องการอาศัยมันเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลด้วย จึงดำเนินนโยบายต่อกัมพูชาอย่างแข็งกร้าว ทหารในพื้นที่พิพาทก็พลอยผสมโรงด้วยการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียดและการเผชิญหน้า จนนำไปสู่การปะทะกันตามแนวชายแดนที่ทำให้เกิดความสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย  

ในที่สุดรัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice – ICJ) ขอให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 1962 เพื่อให้ศาลชี้ว่าพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชานั้นมีขอบเขตเพียงใด ศาลได้เปิดการไต่สวนและมีคำสั่งในวันที่ 18 กรกฎาคม 2011 ออกมาตรการชั่วคราวให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากพื้นที่ซึ่งศาลกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหาร 17 ตารางกิโลเมตรรอบๆ ปราสาทพระวิหาร และให้กลุ่มอาเซียนส่งผู้สังเกตุการณ์ดูแลการถอนทหาร อีกทั้งห้ามไทยขัดขวางการบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในฐานะมรดกโลกอีกด้วย

ศาลได้ทำการไต่สวนคดีอีกครั้งโดยเปิดให้คู่ความให้การโดยวาจาเพื่อสรุปประเด็น ข้อโต้แย้ง และหลักฐานต่างๆ ต่อศาลในวันที่ 15-19 เมษายน 2013 และขอให้คู่ความส่งข้อมูลเพื่ออธิบายขอบเขตของพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหารตามความเข้าใจของตนต่อศาล และในที่สุดศาลมีคำพิพากษาในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2013 ด้วยมติเอกฉันว่า

ศาลมีอำนาจตามมาตรา 60 แห่งธรรมนูญศาลยุติธรรมที่ตีความคำพิพากษาปี 1962 ตามคำขอกัมพูชาและศาลรับคำขอไว้ตีความ” และ“โดยมติเอกฉันท์ ศาลประกาศว่า ผลแห่งการตีความคำพิพากษาปี 1962 ที่ตัดสินว่ากัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือภูเขาพระวิหารทั้งหมด ตามที่ได้นิยามเอาไว้ในย่อหน้า 98 ของคำพิพากษาปัจจุบัน และโดยผลแห่งการนั้น ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนทหาร ตำรวจ หรือ เจ้าหน้าที่อื่นใดที่รักษาพื้นที่อยู่ในบริเวณนั้นออกไป[2]

มองอย่างเป็นธรรม แม้ว่าศาลจะไม่ได้พิพากษาให้ตามที่ฝ่ายกัมพูชาขอทุกประการ เช่น ปฏิเสธที่จะตัดสินเรื่องความถูกต้องแม่นยำของแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 และไม่ได้ตัดสินเส้นเขตแดน แต่อาจจะสรุปความสูญเสียของฝ่ายไทยอันเกิดจากกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารครั้งที่ 2 (ครั้งแรกปี 1962) ได้ดังต่อไปนี้

แรกที่สุดเลย รัฐบาลไทยต้องเสียงบประมาณในการต่อสู้คดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ อันได้แก่ค่าจ้างที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศ ค่าดำเนินการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญทำแผนที่ ค่าใช้จ่ายด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและการเดินทางของเจ้าหน้าที่จำนวนมากซึ่งต้องไปศาลที่กรุงเฮกกันหลายรอบ รวมเป็นงบประมาณจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น 165 ล้านบาท[3]

ประการที่สอง เสียสิทธิที่จะอ้างเอาพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารที่ผู้รักชาติทั้งหลายเคยทึกทักเอาเองมาตลอดว่าเป็นของไทยเพราะเชื่อว่าศาลโลกตัดสินในปี 1962 ให้เฉพาะตัวปราสาท ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเพียงแค่ซากปลักหักพัง ส่วนที่ดินโดยรอบยังเป็นของไทย แต่เมื่อศาลได้ตีความคำพิพากษาเสียใหม่โดยชี้ว่า ภูเขาชื่อเดียวกับปราสาททั้งลูกนั่นแหละเป็นของกัมพูชา และคำอธิบายตามย่อหน้า 98 ที่ว่านั้นชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ด้านตะวันออก ด้านใต้ และตะวันตกเฉียงใต้ของตัวปราสาท ซึ่งโดยธรรมชาติเป็นหน้าผาสูงชันที่ต่อเนื่องกับที่ราบของกัมพูชา ส่วนทางด้านตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือลาดชันน้อยกว่าทอดตัวลงไปยังหุบเขาที่แบ่งระหว่างเขาพระวิหารและภูมะเขือ[4] นั้นถือว่าเป็นส่วนที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยกัมพูชาด้วย แต่ศาลไม่ได้พิจารณาส่วนที่เหลือที่อยู่นอกกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารในปี 1962 จึงบอกให้ทั้งไทยและกัมพูชาจะต้องหาทางเจรจาเพื่อปักปันเขตแดนกันเอง ซึ่งก็หมายรวมถึงพื้นที่ด้านทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของตัวปราสาท ตลอดไปจนถึงบริเวณภูมะเขือที่ศาลไม่ได้พิจารณาว่าเป็นของฝ่ายใด

เวลาผ่านไปกว่า 11 ปีแล้วทั้งสองประเทศก็ยังไม่สามารถดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ การจัดการชั่วคราวอย่างสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมชมหลายครั้ง พบว่า ทางขึ้นปราสาทพระวิหารด้านที่ติดกับฝั่งไทยถูกปิด เจ้าหน้าที่ไทยจะต้องถอยร่นจากตีนเขาทางขึ้นปราสาทหลายร้อยเมตรมาเฝ้าประจำการที่ผามออีแดง นักท่องเที่ยวไม่สามารถขึ้นชมปราสาทพระวิหารได้จากฝั่งไทย แต่มีบริการกล้องส่องดูปราสาทพระวิหารที่ผามออีแดง

ประการที่สาม เสียโอกาสทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว การศึกษาวิจัยของสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่า กรณีพิพาทปราสาทพระวิหารสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันจังหวัดศรีสะเกษไม่สามารถโปรโมตปราสาทพระวิหารว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดได้อีกต่อไป ที่ทำได้มากที่สุดคือส่งเสริมการท่องเที่ยวบริเวณผามออีแดงที่อยู่ติดกัน เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวไปชมทะเลหมอกในฤดูฝน ชมวิวประเทศกัมพูชาจากหน้าผา และภาพสลักนูนต่ำอีกเล็กน้อย เศรษฐกิจบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นทางขึ้นเขาพระวิหาร ปัจจุบันเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่ซบเซาและเงียบเหงา ประชาชนขาดรายได้จากการท่องเที่ยวมานานกว่าทศวรรษแล้ว

ประการสุดท้าย เสียความสัมพันธ์กับต่างประเทศและนำไปสู่ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยว่าความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับกัมพูชาทำให้เกิดการปะทะกันตามแนวชายแดน ครั้งแรกวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2011 ทำให้ประชาชนชาวบ้านภูมิซรอล 1 คนและทหารอีก 5 นายเสียชีวิต[5] จากนั้นมีการปะทะประปรายบริเวณภูมะเขือดำเนินต่อมาอีกหลายวันจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ การเจรจาสงบศึกไม่เป็นผล กัมพูชานำปัญหานี้เข้าที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และคณะมนตรีฯ ได้เปิดประชุม (private meeting) กับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชาเมื่อ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2011 เรียกร้องให้คู่กรณีหยุดยิงอย่างถาวรและเปิดการเจรจาเพื่อหาทางยุติปัญหา และให้กลุ่มอาเซียนเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย[6] 

หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายมีการลงนามสัญญาสงบศึกชั่วคราวและกลุ่มอาเซียนเปิดประชุมในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 เพื่อการเจรจาแก้ไขปัญหา โดยอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนตอนนั้นเสนอว่าจะส่งผู้สังเกตการณ์ไปยังพื้นที่พิพาทเพื่อดูแลการสงบศึกและถอนทหาร รวมทั้งขอให้ทั้งสองประเทศเรียกประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาในพื้นที่บริเวณนั้นอย่างถาวร มีการประชุมคณะกรรมการดังกล่าวในเวลาต่อมาแต่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ด้วยความรู้สึกอับอาย รัฐบาลไทยในสมัยนั้นใช้กลยุทธเตะถ่วงโยกโย้ไม่ให้ผู้สังเกตุการณ์จากอาเซียนเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ได้

ต่อมาได้เกิดเหตุปะทะกันทางทหารอีกในระหว่างวันที่ 22 เมษายน ถึง 1 พฤษภาคม 2011 ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือน ในเขตชายแดนด้านจังหวัดสุรินทร์ แม้ว่าพื้นที่จะห่างไกลจากปราสาทพระวิหารอยู่มาก แต่สถานการณ์เกิดขึ้นเพราะสาเหตุของการบาดหมางและความตึงเครียดในเวลานั้น สรุปแล้วการปะทะกัน 2 ครั้งในรอบ 3 เดือนของปี 2011 นั้นยังผลให้ทหารไทย 9 นายและพลเรือน 2 คนเสียชีวิต ประชาชนในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และ อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์หลายหมื่นคนต้องอพยพโยกย้ายออกจากหมู่บ้านเพื่อหนีภัยสงคราม[7]   

MOU 44: เหยื่อชาตินิยม

บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน วันที่ 18 มิถุนายน 2001 ร่วมลงนามโดยสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย และ ซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสกัมพูชาในเวลานั้น (บางครั้งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม MOU 44 เนื่องจากลงนามกันใน พ.ศ. 2544) ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าบอกให้ไทยและกัมพูชาตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคเพื่อเจรจาแบ่งเขตทางทะเลและร่วมกันพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมเท่านั้น พร้อมกับเขียนกำกับเอาไว้ชัดเจนว่า การดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปของทั้งสองฝ่าย

แต่มันกลับถูกวางพล็อตให้เป็นสิ่งเลวร้ายมาตั้งแต่มีการเคลื่อนไหวเรื่องปราสาทพระวิหารในช่วงปี 2010-2013 ในทำนองที่ว่ารัฐบาลที่ทักษิณหนุนหลังทั้งหลาย จะนำพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารไปแลกกับผลประโยชน์ปิโตรเลียมในทะเลอ่าวไทย เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีสนใจที่จะลงทุนในกิจการทางด้านพลังงานอย่างมาก ส่วนคำอธิบายที่ว่าอาจจะก่อให้เกิดการ ‘เสียดินแดน’ เฉพาะอย่างยิ่งเสียอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูดและทะเลอาณาเขตในบริเวณนั้นปรากฏขึ้นในภายหลัง 

แม้ว่ารัฐบาลไทยสมัยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ประกาศในเดือนพฤศจิกายน 2009 ว่าจะมีการยกเลิกบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชา เมื่อ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (ขณะนั้น) แต่งตั้งให้ทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของเขาและปฏิเสธที่จะส่งตัวมาให้รัฐบาลไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน แต่เนื่องจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้แจ้งความประสงค์ที่จะบอกเลิกบันทึกความเข้าใจดังกล่าวแก่คู่ภาคี คือกัมพูชา อีกทั้งรัฐบาลต่อๆ มา ทั้งสมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงเจตนาที่จะดำเนินการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยุติข้อพิพาทและร่วมมือกันพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมในอ่าวไทยตามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ต่อไป เอกสารนี้จึงมีผลบังคับใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

ข้อเรียกร้องในยุคสมัยต่อมาให้เพิกถอนบันทึกความเข้าใจด้วยเหตุผลที่ว่ามันขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่าเป็นหนังสือสัญญาที่อาจจะมีบทเปลี่ยนแปลงเขตแดนหรือกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ที่จำเป็นจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีผู้เห็นพ้องสักเท่าใด เพราะไม่เช่นนั้นรัฐบาลที่ผ่านๆ มารวมทั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐเองก็คงจะนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาไปแล้ว แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเคยมีท่าทีแข็งกร้าวในกรณีของแถลงการณ์ร่วมซึ่งนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศได้ลงนามร่วมกับ ซก อัน เพื่อสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี 2008 ยังตีตกคำร้องของไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2024 ด้วยเหตุผลว่าไพบูลย์ไม่ใช่ผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิจากการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว[8] ทั้งที่ความจริงศาลฯ อยู่ในวิสัยที่จะวินิจฉัยเนื้อหาของคำร้องได้เองอยู่แล้ว แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น ซึ่งก็พอจะอนุมานได้ว่าชนชั้นสูงฝ่ายอนุรักษนิยมของไทยยังไม่เห็นพ้องกับท่าทีของกลุ่มผู้ที่อ้างตัวเองว่าเป็นพวกชาตินิยม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะยังอยู่ยงคงกระพันผ่านการคัดค้านต่อต้านมาอย่างยาวนาน แต่ด้วยความที่ว่ามันถูกขัดขวางครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้การเจรจากับกัมพูชาในเรื่องดังกล่าวดำเนินไปอย่างล่าช้าจนไม่มีความคืบหน้าเอาเสียเลย ตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งในที่นี้จะทดลองประเมินโดยอาศัยข้อมูลของฝ่ายต่างๆ ถึงความสูญเสียในโอกาสทางเศรษฐกิจอันเกิดจากความล่าช้า

ความสูญเสียในโอกาสทางเศรษฐกิจ

จากการศึกษาของ Wood Mackenzie[9] บริษัทที่ปรึกษาทางด้านพลังงาน ชี้ให้เห็นว่าพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันนั้นมีศักยภาพทางด้านน้ำมันและก๊าซที่โดดเด่น ด้วยการประเมินปริมาณสำรองที่สามารถผลิตก๊าซธรรมชาติได้ประมาณ 11.8 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และน้ำมัน 700 ล้านบาร์เรลซึ่งเทียบเท่ากับน้ำมันดิบ 2.79 พันล้านบาร์เรล ปริมาณเหล่านี้ทำให้พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสุดในภูมิภาคเอเชีย (ตัวเลขนี้อาจจะแตกต่างไปจากแหล่งอื่นบ้าง เช่น คุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ประเมินว่าน่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 9 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต)

ในรายงานนั้นชี้ว่าการพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมเป็นโอกาสสำคัญที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยตรงได้ถึง 284,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดอายุการผลิต ซึ่งจะทำให้รัฐบาลไทยและกัมพูชามีรายได้ประมาณ 78,000 ล้านดอลลาร์ฯ ผ่านภาษีค่าภาคหลวง การแบ่งปันผลกำไร และภาษีเงินได้

ภาคเอกชนที่มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมต้นน้ำและกลางน้ำจากโครงการนี้จะได้รับรายได้ 62,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งรวมถึงผลกำไรจากการสำรวจและการผลิต นอกจากนี้ การจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมนี้จะกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ฯ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงาน และการพัฒนาโครงการ คาดว่าจะสร้างงานได้มากกว่า 112,000 ตำแหน่งทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา นอกจากนี้จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานที่มีต้นทุนสูง โดยประหยัดไปได้ประมาณ 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงอายุการผลิต เช่น ลดการนำเข้า LNG 6.5 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตในประเทศไทย จะประหยัดได้ 33,000 ล้านดอลลาร์ฯ และน้ำมันดิบ 334 ล้านบาร์เรล จะประหยัดได้อีก 187 ล้านดอลลาร์ฯ

ประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์นอกเหนือจากเศรษฐกิจคือความมั่นคงทางพลังงาน เนื่องจากพื้นที่นี้เป็นแหล่งพลังงานภายในประเทศที่สำคัญซึ่งสามารถลดการพึ่งพาตลาดพลังงานระหว่างประเทศที่มีความผันผวนได้ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการก๊าซธรรมชาติภายในประเทศของไทยได้ถึง 10% ตลอดอายุการผลิต ขณะที่กัมพูชาสามารถใช้ประโยชน์จากโครงการนี้เพื่อวางรากฐานระบบไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยก๊าซธรรมชาติ (ปัจจุบันกัมพูชาพึ่งพิงการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนเป็นหลัก ยังไม่มีการผลิตจากก๊าซ) นอกจากนี้การพัฒนาทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันจะส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำ เช่น การแยกก๊าซ และปิโตรเคมี รวมถึงการส่งผ่านท่อ ซึ่งจะส่งเสริมให้ไทยและกัมพูชาเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค

ความเสี่ยงที่เกิดจากความล่าช้าของโครงการนี้คือเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ในการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานพบว่า ความล่าช้า 5 ปีอาจลดมูลค่าทางการเงินโดยตรงของโครงการได้ถึง 36% หรือ 103,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ปัจจุบันมีการวางโครงสร้างพื้นฐาน เช่น แท่นขุดเจาะ ระบบท่อ และโรงงานแยกก๊าซขนาดเล็กเอาไว้ในอ่าวไทย บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก ความล่าช้าของโครงการจะทำให้โครงสร้างเหล่านี้เสื่อมสภาพหรือหมดอายุการใช้งานได้ ถ้าหากจำเป็นจะต้องเริ่มดำเนินโครงการในเวลาที่เนิ่นนานออกไปจะทำให้ต้องลงทุนเพิ่มเพื่อปรับปรุงให้ทันสมัยและใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพของมัน

สั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง

ความพยายามของกลุ่มชาตินิยมฝ่ายขวาที่จะกดดันรัฐบาลให้ยกเลิกเพิกถอนบันทึกความเข้าใจปี 2001 และยุติการเจรจากับกัมพูชาในเรื่องนี้ ด้วยการรวบรวมรายชื่อประชาชนกว่า 100,000 คน และมีการขู่สำทับว่าจะประท้วงตามท้องถนนถ้าหากรัฐบาลไม่ยินยอมตามความต้องการของพวกเขา กำลังจะกลายเป็นประเด็นที่สร้างความหวั่นไหวให้กับรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยจนอาจจะทำให้ยากที่จะตัดสินใจว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร ในด้านหนึ่ง แม้ว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และ รองนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย จะยืนยันกับสื่อมวลชนหลายครั้งว่าจะต้องดำเนินการต่อไป แต่ความล่าช้าในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค ก็สะท้อนให้เห็นความลังเลของรัฐบาลอยู่ไม่น้อย

ความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้มากถ้าหากพวกเขาสามารถสร้างอารมณ์ร่วมในสังคมได้ในระดับเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร รัฐบาลอาจเผชิญกับวิกฤตความชอบธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประชาชนจำนวนมากเชื่อว่ารัฐบาลละเลยผลประโยชน์ของชาติ มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือ ‘ขายชาติ’ เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวของคนในรัฐบาล นั่นก็คงจะทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยตกที่นั่งลำบาก

หากรัฐบาลตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวด้วยการใช้ความรุนแรงหรือการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก อาจยิ่งทำให้สถานการณ์บานปลาย ความล้มเหลวในการจัดการประเด็นข้อพิพาทนี้อย่างสงบและสร้างสรรค์ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และพันธมิตรระหว่างประเทศ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีปราสาทพระวิหาร

กล่าวโดยสรุป ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกให้รู้ว่า การสร้างกระแสชาตินิยมเพื่อหวังผลทางการเมืองในอันที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลหรือทำลายล้างศัตรูทางการเมืองของตัวเองนั้น มีแต่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในวงกว้างอีกด้วย

ยังไม่แน่นักว่า ความเคลื่อนไหวที่กำลังดำเนินการกันอยู่ในเวลานี้จะสามารถปลุกเร้ากระแสความคลั่งชาติและความคิดแบบชาตินิยมให้เกิดขึ้นได้มากหรือน้อยเพียงใด และเป็นการยากที่จะทำนายว่าจะส่งผลให้สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลได้แค่ไหน แต่หากประชาชนไทยใช้บทเรียนกรณีปราสาทพระวิหารเป็นเครื่องเตือนใจสำคัญแล้ว ก็เชื่อว่าคงจะสามารถใช้เหตุผลในการพิจารณาเรื่องนี้ได้ไม่ยากนักว่าจะร่วมผสมโรงไปกับขบวนการเหล่านี้ หรือจะปล่อยให้มันกลายเป็นเรื่องชวนหัวแบบที่มาร์กซ์ได้กล่าวเอาไว้  


[1] World Heritage Committee Decision 31:COM 8B.4

[2] The International Court of Justice Judgment on Request for Interpretation of the Judgment of 15 June 1962 in the Case Concerning the Temple of Preah Vihear Cambodia vs Thailand. November 11, 2013 p. 36

[3] “บัวแก้วของบฯ เพิ่มอีก 45 ล้าน ค่าทีมทนายสู้พระวิหาร 20 ล” แนวหน้า 8 พฤษภาคม 2556 [https://www.naewna.com/politic/51045]

[4] International Court of Justice Judgement p.34

[5] “Border clashes kill six” The Nation, February 5, 2011 [http://www.nationmultimedia.com/national/Border-clashes-kill-six-30148015.html]

[6] Security Council Report. Chronology of Event Thailand/Cambodia August 9, 2012 [https://www.securitycouncilreport.org/chronology/thailandcambodia.php] และ Update Report No.1 Thailand-Cambodia. February 9, 2011 [https://www.securitycouncilreport.org/update-report/lookup_c_glkwlemtisg_b_6552935.php]

[7] “1 troop killed, 4 injured in renewed skirmish”, The Nation (online), 5 February 2011; “What happen and when”, The Nation, 8 February 2011; “ทบ.ปูนบำเน็จ 9 ขั้นพร้อมเลื่อนยศพันตรีให้สิบเอกธนากร พูลเพิ่ม”, อส.มท., 9 กุมภาพันธ์ 2554, “10 Thai Troops injured in Surin after ‘soft weapon clash’ on border”, The Nation, 1 May 2011.

[8] คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ 49/2567 4 กันยายน 2567 [https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/download/article/article_20240927144830.pdf]

[9] Wood Mackenzie OCA Economic Studies Update: Consolidate Report 8 June 2023

MOST READ

Thai Politics

6 Jun 2025

101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ

ร่วมซัพพอร์ตให้ ‘วันโอวัน’ ทำงานสื่อความรู้สร้างสรรค์แบบมืออาชีพ เปิดเบื้องหลังเบื้องหลังของปรากฏการณ์รอบตัวอย่างตรงไปตรงมา ชวนสังคมตั้งคำถามที่ ‘ใช่’ ในเรื่องสำคัญต่อชีวิต และเป็นตลาดวิชาคุณภาพให้สังคมไทย

กองบรรณาธิการ

6 Jun 2025

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save