fbpx

สิ่งที่พรรคก้าวไกลทำให้ประชาชนได้รับรู้

อันที่จริงก่อนเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลประเมินคะแนนเสียง ส.ส.ที่จะได้ทั้งแบบเขตและปาร์ตี้ลิสต์จากโอกาสความเป็นไปได้ทุกๆ เรื่อง และคาดว่าคะแนนเสียง ส.ส. น่าจะได้เกินหลักร้อยต้นๆ ยกเว้นเรื่องเดียวที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ คือพรรคตัวเองจะได้ที่นั่งจำนวนมากจนกลายเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และไม่เคยคิดว่าพิธา ลิ้มเจริญรัตน์จะกลายเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี

สิ่งที่ทำให้พรรคก้าวไกลกลายมาเป็นพรรคอันดับหนึ่งคือ พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียง ส.ส.น้อยกว่าที่คาดมาก จากระดับคาดการณ์ 200 เสียงขึ้นไป กลายเป็นว่าได้แค่ 141 เสียง เพราะโดนเจาะฐานเสียงเดิมจากพรรคก้าวไกล และโดนเจาะทางภาคอีสานจากพรรคภูมิใจไทย 

ถ้าย้อนกลับไปดูเลือกตั้ง 2562 เพื่อไทยได้ ส.ส. ภาคอีสาน 84 เสียง ภูมิใจไทยได้แค่ 16 เสียง แต่เมื่อเลือกตั้ง 2566 เพื่อไทยได้ ส.ส. ภาคอีสานลดลงเหลือ 73 เสียง ภูมิใจไทยได้มากถึง 35 เสียง

ในขณะที่จำนวน ส.ส. พรรคก้าวไกลได้ที่นั่ง 151 เสียงขึ้นมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ชนะพรรคเพื่อไทยที่ได้ ส.ส. 141 เสียง แน่นอนว่า พรรคก้าวไกลก็ต้องอยู่ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไปอย่างไม่คาดคิด แต่ก็รู้อยู่แล้วว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคก้าวไกลอาจโดนยุบพรรคในอนาคต

ด้วยเครื่องมือสำคัญที่เคยประสบผลสำเร็จมาแล้วในอดีตคือ นักร้อง, กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ 

12 กรกฎาคม 2566 ก่อนรัฐสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรีเพียงวันเดียว กกต. นำคำร้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมติของ กกต. ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล กรณีถือครองหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ตามมาตรา 82 วรรค 4 ห้าม ส.ส. ถือครองหุ้นสื่อ โดยคำร้องดังกล่าวมาจากนักร้องชื่อดัง ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ ที่ยื่นหลักฐานหุ้นสื่อของพิธาให้ กกต. ก่อนหน้านี้

19 กรกฎาคม 2566 ขณะที่รัฐสภามีการประชุมเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง (หลังจากโหวตไม่ผ่านรอบแรกเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7 ต่อ 2 รับคำร้องคดีถือครองหุ้นสื่อไอทีวี โดยให้พิธาชี้แจ้งข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน พร้อมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. มีผลทันที

ส่งผลให้คุณพิธาได้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.ในวันนั้น และที่ประชุมรัฐสภาได้ปิดสวิตซ์ เสนอชื่อ ‘พิธา’ โหวตนายกฯ รอบสอง ด้วยมติ 395 เสียง ต่อ 312 เสียง หลังถกมาราธอน 8 ชั่วโมง เท่ากับเป็นการตอกฝาโลงปิดโอกาสให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นนายกรัฐมนตรี

และในอนาคต โอกาสที่พรรคก้าวไกลจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน และอาจจะถูกยุบพรรคก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนดูเหมือนเป็นวิบากกรรมของพรรคน้องใหม่

แต่อีกด้านหนึ่งสองเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่พรรคก้าวไกลได้ทำให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ และส่งผลสะเทือนไปในวงกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อน คือ

1. การเปลือยให้เห็นว่า ฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายขวาจัดได้ใช้ ส.ว. องค์กรอิสระ และข้อกฎหมายที่ฝ่ายตัวเองเป็นผู้ร่างจัดการคู่ต่อสู้อย่างเป็นระบบโดยไม่สนใจกับความยุติธรรม โดยมีการจัดการพิธาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยปราศจากความละอาย ทั้งๆ ที่พิธามีคุณสมบัติพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกของประชาชน ครั้งนี้ฝั่งอนุรักษนิยมทำให้คนได้เห็นความอยุติธรรมชัดเจนที่สุด แจ่มแจ้งกว่าเมื่อครั้งทำให้คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องออกจาก ส.ส. และสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่เมื่อสี่ปีก่อน

2. เป็นครั้งแรกในช่วงการเมืองร่วมสมัยไทยที่มีการพูดถึงมาตรา 112 ในรัฐสภาอย่างจริงจัง ตั้งแต่การพูดคุยของ ส.ว.ยัน ส.ส. และเหตุผลจากฝั่งเสนอแก้ที่ชี้แจงว่ามีการเสนอแก้ไขมาตรานี้เพราะอะไร ไม่ใช่ข่าวลือที่ว่าพรรคก้าวไกลต้องการยกเลิกมาตรา 112 และในความเป็นจริงก่อนการเลือกตั้ง ก็มีหลายพรรคการเมืองพูดถึงการแก้มาตรา 112 ด้วย อาทิ แพทองธาร ชินวัตรแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยเคยพูดว่า “ไม่ยกเลิก 112 แต่ควรถกกันในสภา กำหนดบทลงโทษ ไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง” ขณะที่เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยเคยพูดว่า “พร้อมที่จะแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรม”

3. สองเดือนที่ผ่านมา ก้าวไกลทำให้ผู้คนจำนวนมากได้เข้าใจปัญหาสังคมไทยได้ชัดเจนขึ้นว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้สังคมตกต่ำลงไปเรื่อยๆ และปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่ชาวบ้านเจอมาตลอด ไม่ได้เกิดจากฝีมือห่วยของพวกเผด็จการเท่านั้น แต่แท้จริงคือปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดทับผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมายาวนาน ตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรม การใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม การเลือกปฎิบัติ อภิสิทธิ์ชนของเหล่าชนชั้นนำ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้นายทุนที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลทหารได้ผลประโยชน์มากเพียงใด

4. พรรคก้าวไกลชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า ขณะนี้การเป็นรัฐบาลไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป็นการต่อสู้กันทางความคิด เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า การเมืองแบบใดที่พวกเขาต้องการ อาทิ ไม่มีการซื้อเสียง ที่ก้าวไกลพิสูจน์จากการเลือกตั้งให้เห็นแล้ว โดยพังทลายของ ส.ส. บ้านใหญ่ในหลายจังหวัด, การเปลือยตัวตนที่แท้จริงขององค์กรอิสระ บรรดาส.ว. และกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหลายฉบับ และเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่ไม่สนใจการเมือง ต่างแสดงออกถึงความไม่พอใจของการเล่นเกมทางการเมืองของฝ่ายอนุรักษนิยม

อันที่จริงพรรคก้าวไกลควรขอบคุณบรรดา ส.ว. บรรดาองค์กรอิสระ ที่เปลือยตัวตนที่แท้ออกมาอย่างล่อนจ้อนทุกซอกทุกมุมจนทำให้ชาวบ้านทั่วไปตาสว่างกันทั้งแผ่นดิน ด้วยบทสรุปสั้นๆ ว่า

“มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า…มันไม่เกี่ยวกับเรื่องจงรักภักดีอะไรหรอก……พวกมึงเล่นจะลดกองทัพ ลดนายพล ลดข้าราชการ ลดกฎหมาย ลดอำนาจ ลดทุนผูกขาด ลดทุกอย่างของอภิสิทธิ์ชน เพิ่มแค่อย่างเดียว คือ ภาษีคนรวย…ใครเขาจะยอมมึง… “[1]

References
1 จากเฟซบุ๊คของ Banyong Pongpanich ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save