เมื่อเอ่ยถึงคำว่า ‘ประชานิยม’ (populism) หนึ่งในภาพจำที่หลายคนนึกถึงมักผูกโยงกับนโยบายแจกเงิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประชานิยมคือปรากฏการณ์ทางการเมืองที่มีความซับซ้อนมากกว่านั้น
กล่าวกันว่าประชานิยมไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ เพื่อจูงใจประชาชน แต่มักมีบริบทแวดล้อมเมื่อประชาชนรู้สึกว่าถูกละเลยจากรัฐ ผู้นำประชานิยมจึงมักผงาดขึ้นหลังจากช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือความขัดแย้งทางการเมือง
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในลาตินอเมริกา อย่างฮูโก ชาเวซในเวเนซุเอลา หรือโดนัลด์ ทรัมป์ในสหรัฐอเมริกา ตลอดจนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างโรดริโก ดูเตร์เตในฟิลิปปินส์ จนถึงทักษิณ ชินวัตรของไทย ผู้นำเหล่านี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้นำประชานิยม
ท้ายที่สุดแล้ว ประชานิยมคืออะไร? อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดขึ้นของการเมืองแบบประชานิยม? เราจะทำความเข้าใจประชานิยมภายใต้บริบทที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศได้อย่างไร? และท้ายที่สุดแล้ว ประชานิยมจะบ่อนทำลายประชาธิปไตยจริงหรือไม่?
หมายเหตุ: เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจากงานเสวนา ‘Populisms in the Global South: Lessons from Latin America, Southeast Asia, and Thailand’ ร่วมเสวนาโดย การ์โลส เด ลา ตอร์เร (Dr. Carlos de la Torre) ศูนย์ลาตินอเมริกาศึกษา มหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐอเมริกา, ตรีเทพ ศรีสง่า นักศึกษาปริญญาเอก คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟลอริดา สหรัฐอเมริกา, ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.นิธิ เนื่องจำนงค์ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
เนื้อหาบางส่วนจากงานเสวนามาจากหนังสือ ‘Global Populism’ โดย การ์โลส เด ลา ตอร์เร และ ตรีเทพ ศรีสง่า ตีพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ Routledge แปลเป็นภาษาไทยในชื่อ ‘เมื่อประชานิยมครองโลก’ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Illuminations Editions
ประชานิยมคืออะไร? – การ์โลส เด ลา ตอร์เร
“เราสังเกตว่าประชานิยมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศซีกโลกใต้อีกต่อไป ไม่ใช่แค่ในแอฟริกา ลาตินอเมริกา หรือเอเชีย แต่เป็นปรากฏการณ์ระดับโลก ประเด็นสำคัญคือเราจำเป็นต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างประชานิยมกับกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย (democratization)” การ์โลส เด ลา ตอร์เร กล่าวเปิดประเด็น ก่อนอธิบายว่าหากต้องการสำรวจปรากฏการณ์ประชานิยมที่มีความเหมือนและแตกต่างกันทั่วโลก จำเป็นต้องคำนึงว่ามีหลากหลายมุมมองในการทำความเข้าใจประชานิยม เช่น
ประชานิยมในเชิงกรอบคิด (ideational perspective) มุมมองนี้มองว่าประชานิยมคืออุดมการณ์ เป็นการเมืองแห่งศีลธรรม กล่าวคือเป็นการต่อสู้ทางศีลธรรมระหว่างประชาชนที่มีคุณธรรมและชนชั้นนำที่ชั่วร้าย ข้อจำกัดของมุมมองนี้คือมองข้ามบทบาทของผู้นำ การมองประชานิยมในฐานะกรอบคิดจึงไม่เพียงพอที่จะอธิบายการเกิดขึ้นของประชานิยมที่เน้นผู้นำอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ในสหรัฐอเมริกา
ประชานิยมในเชิงกลยุทธ์ (strategic perspective) Kurt Weyland เสนอว่าประชานิยมคือกลยุทธ์ทางการเมืองในการได้มาและรักษาอำนาจ มุมมองนี้มุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ของผู้นำ ทั้งยังเชื่อว่าผู้นำประชานิยมจะดำเนินกลยุทธ์ได้สำเร็จเมื่อประชาชนกระจัดกระจาย ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองหรือสภาพแรงงาน ข้อจำกัดของมุมมองนี้คือละเลยเรื่องอุดมการณ์ และเน้นเพียงแค่เชิงปฏิบัตินิยม
มุมมองของเอิร์นเนสโต ลาโกล (Ernesto Laclau) ลาโกลคือนักทฤษฎีสังคมชาวอาร์เจนตินาที่ศึกษาว่าประชานิยมเชื่อมโยงกับกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตยอย่างไร ลาโกลมองว่าประชานิยมคือแนวคิดที่เป็นการไล่ระดับ (gradation) ซึ่งต่างจากมุมมองอื่นๆ ที่เชื่อประชานิยมเป็นปฏิปักษ์กับประชาธิปไตย
ผู้นำประชานิยมทำอะไรหลังจากขึ้นสู่อำนาจ
คำถามสำคัญต่อไปคือ แล้วผู้นำประชานิยมทำอะไรเมื่อครองอำนาจ? เด ลา ตอร์เรกล่าวว่า ประการแรกคือการแบ่งระบบการปกครอง (polity) กับผู้คนในสังคม (society) เป็นสองขั้วปฏิปักษ์ ประการที่สองคือการสร้างแนวคิดเรื่อง ‘ประชาชน’ สำหรับประชานิยมฝ่ายซ้าย เช่นในลาตินอเมริกา อย่างกรณีอูโก ชาเวซ ประชาชนที่แท้จริงคือคนยากจน ชนชั้นล่าง ส่วนศัตรูคือชนชั้นนำ คณาธิปไตย (oligarchy)
ขณะที่ประชานิยมฝ่ายขวา เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ ความเป็นประชาชนจะถูกกำหนดโดยเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรม ดังนั้น ศัตรูจึงคือผู้อพยพ ชนกลุ่มน้อย คนต่างศาสนา โดยประชานิยมฝ่ายขวามักมีแนวโน้มเผด็จการมากกว่า เพราะ ‘คนอื่น’ (other) ถูกตัดออกจากชุมชนการเมือง
“พวกเขา (ผู้นำประชานิยมฝ่ายซ้าย) นำเสนอตัวเองเป็นภาพแทนของประชาชน และมีภารกิจคือการช่วยเหลือประชาชนจากการถูกกดขี่ เช่น อูโก ชาเวซ มีภารกิจในการปกป้องชาวเวเนซุเอลาจากลัทธิจักรวรรดินิยมอเมริกา ลัทธิเสรีนิยมใหม่ และพรรคการเมืองที่ทุจริต”
“ในช่วงแรกๆ ของประชานิยม โดยเฉพาะประชานิยมฝ่ายซ้ายจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมของคนที่ถูกกีดกันทางการเมืองได้
“พวกเขานับรวมคนที่ถูกกดขี่ทางเชื้อชาติ ทางวัฒนธรรม และทางการเมือง แต่ไม่ได้ดำเนินกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย เพราะการนับรวมเช่นนี้เกิดขึ้นบนเงื่อนไขคือความจงรักภักดีต่อผู้นำ” เด ลา ตอร์เร กล่าว
เด ลา ตอร์เรอธิบายว่า เมื่อนักการเมืองประชานิยมแสวงหาตำแหน่งทางการเมือง พวกเขามักหยิบประเด็นที่นักการเมืองอื่นๆ หลีกเลี่ยงมาวิพากษ์วิจารณ์ ต่อมาเมื่อขึ้นสู่ตำแหน่งแต่ยังไม่ควบคุมรัฐทั้งหมด มักเกิดความขัดแย้งกับสถาบันอื่นๆ ของรัฐ เช่น ฝ่ายตุลาการหรือฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น ทรัมป์ในช่วงแรกขัดแย้งกับสภาคองเกรสและศาล
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีอำนาจเต็มที่ พวกเขาจะสถาปนาระบอบใหม่ เช่น ในเวเนซุเอลาที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ตลอดจนเปลี่ยนชื่อประเทศและตราสัญลักษณ์
ประชานิยม ประชาธิปไตย และฟาสซิสต์
อีกประเด็นสำคัญจากที่กล่าวมาช่วงต้นเรื่องความเชื่อมโยงระหว่างประชานิยมกับประชาธิปไตย หนึ่งในความเข้าใจผิดคือการมองแบบสองขั้ว ว่าหากประชานิยมไม่เป็นมิตรก็เป็นศัตรูของประชาธิปไตย ทั้งที่จริงแล้วอาจเป็นได้ทั้งสองอย่าง
“ผมคิดว่าเราต้องมีเสรีภาพพื้นฐานแบบประชาธิปไตยเพื่อให้ประชาธิปไตยมีความหมาย และประชาธิปไตยไม่ใช่โครงการที่เสร็จสมบูรณ์ เราต้องย้อนกลับไปเรียนรู้อดีตและกลับมาพิจารณาปัจจุบันใหม่”
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผู้คนมักตั้งคำถาม คือโดนัลด์ ทรัมป์จะนำกลายเป็นฟาสซิสต์หรือไม่ ต่อประเด็นนี้ เด ลา ตอร์เรเปรียบเทียบความเหมือนต่างระหว่างประชานิยมกับฟาสซิสต์ย่าทั้งสองมีลักษณะร่วมคือมองการเมืองเป็นการต่อสู้ระหว่างมิตรและศัตรู มีประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ถูกมองเป็นภาพแทนของประชาชนที่แท้จริง มีผู้นำเป็นตัวแทนของประชาชนเหล่านั้น มีภารกิจช่วยเหลือประชาชน
ส่วนความแตกต่างสำคัญคือ สำหรับฟาสซิสต์ ศัตรูต้องถูกกำจัดหรือทำร้ายทางกายภาพ ส่วนประชานิยม ศัตรูอาจถูกจำคุก แต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายหรือสังหาร ประชานิยมจะพยายามสร้างฐานเสียงเพื่อให้ได้รับการเลือกตั้ง แต่ฟาสซิสม์ไม่เลือกตั้ง ดังนั้น แม้ทรัมป์จะมีพฤติกรรมประชานิยมสุดโต่ง แต่ยังอยู่ในกรอบประชาธิปไตย เพราะยังมาจากการเลือกตั้งและไม่ได้กำจัดศัตรูโดยการทำร้ายทางกายภาพ
ด้านบริบททางประวัติศาสตร์ ประชานิยมเกิดขึ้นในหลายช่วงเวลาและหลายสังคม ส่วนฟาสซิสม์คลาสสิกเกิดในช่วงระหว่างสงครามโลก (Interwar period) ในยุโรป สิ่งที่เกิดหลังจากนั้น เรียกว่ายุคหลังฟาสซิสม์ (post-fascism) คำถามคือฟาสซิสม์จะกลับมาหรือไม่ ต้องเห็นการสร้างศัตรูที่ชัดเจน การกระทำความรุนแรงทางกายภาพ ประเด็นอย่างเรื่องเพศสภาพถูกจำกัด อย่างในสหรัฐฯ อาจไม่ได้กล่าวได้ว่าจะเป็นฟาสซิสต์ แต่อาจเป็นยุคหลังฟาสซิสต์หรือจุดจบของประชาธิปไตย
เข้าใจประชานิยมจาก ‘ลาตินอเมริกา’ ถึง ‘ไทย’ – ตรีเทพ ศรีสง่า
“เมื่อกล่าวถึงประชานิยมในไทย เรามักนึกถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจมหภาค นโยบายแจกเงิน หรือการไร้ความรับผิดชอบทางนโยบายการคลัง แต่ประชานิยมเป็นมากกว่านั้น มันคือการแบ่งแยกสังคมออกเป็นสองค่าย” ตรีเทพ ศรีสง่า กล่าว
เพื่อทำความเข้าใจหลากระดับและความแตกต่างหลากหลายของประชานิยม ตรีเทพเปรียบเทียบการเมืองประชานิยมลาตินอเมริกากับไทย โดยใช้กรอบวิเคราะห์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
- วิกฤตที่ปูทางให้ประชานิยมขึ้นสู่อำนาจ โดยส่วนมากคือวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจในเวเนซุเอลา วิกฤตคอร์รัปชันครั้งใหญ่ในลาตินอเมริกาทศวรรษ 1980 หรือวิกฤตความมั่นคงภายในเช่นในฟิลิปปินส์
- ความเชื่อมโยงระหว่างผู้นำประชานิยมกับผู้สนับสนุน ได้แก่คาริสมาของผู้นำ, พรรคการเมือง องค์กร หรือขบวนการภาคประชาชน เช่น ทักษิณ ชินวัตร กับขบวนการเสื้อแดงในไทย, ความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ตลอดจนนิเวศสื่อ เช่น สื่อดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์ วิทยุ หรือสื่อสมัยใหม่ เช่น โซเชียลมีเดีย หรือรายการโทรทัศน์บางประเภท
- การประกอบสร้างประชาชนและศัตรู เช่น ชนชั้น ภูมิภาค ศาสนา ศีลธรรม รุ่นอายุ (เริ่มใช้มากขึ้นในช่วงหลัง) และมีความเป็นปรปักษ์กันทางศีลธรรม (moralized antagonism)
- ความสัมพันธ์ระหว่างประชานิยมกับอัตตาธิปไตย (autocracy) เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประชานิยมกับการสร้างประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมทางการเมือง องค์ประกอบของความเป็นอัตตาธิปไตย ตลอดจนผลกระทบที่เกิดจากสถาบันการเมืองและฝ่ายค้าน
นอกจากกรอบวิเคราะห์ที่กล่าวมาข้างต้น คือการจัดประเภทของประชานิยม โดยเริ่มต้นจากประชานิยมในลาตินอเมริกา ซึ่งแบ่งได้เป็นสี่ระลอก ได้แก่
ระลอกที่หนึ่ง: Classical populism เกิดขึ้นราวทศวรรษ 1930-1970 ในบริบทที่ประชาชนที่ถูกกีดกันทางการเมือง
ระลอกที่สอง: Neoliberal populism เกิดขึ้นหลังทศวรรษ 1980 เช่น อัลเบอร์โต ฟูจิโมริ ของเปรู คาร์ลอส เมเนม ของอาร์เจนตินา สิ่งที่ย้อนแย้งคือผู้นำต้องการความนิยมสูงจากผู้สนับสนุน แต่กลับดำเนินนโยบายลดบทบาทของรัฐแบบเสรีนิยมใหม่
ระลอกที่สาม: Radical left populism เกิดขึ้นปลายทศวรรษ 1990 จนถึงปลายทศวรรษ 2010
ระลอกที่สี่: Far-right populism เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ฌาอีร์ โบลโซนาโร ผู้นำบราซิล
ประชานิยมฝ่ายซ้าย-ประชานิยมฝ่ายขวา
“Radical left populism เกิดขึ้นหลังจากล่มสลายของเสรีนิยมใหม่ในลาตินอเมริกา เกิดการช็อกทางเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษ 1980 ถึงต้นทศวรรษ 1990 เกิดวิกฤตหนี้ บทบาทของรัฐหายไป ขาดบริการสังคม พรรคการเมืองดั้งเดิมหมดความชอบธรรม ผู้นำใหม่ซึ่งเป็นคนนอกระบบการเมืองก็เริ่มเข้ามา เช่น ฮูโก ชาเวซ, ราฟาเอล คอร์เรอา, อีโว โมราเลส” ตรีเทพกล่าว โดยอธิบายว่าผู้นำเหล่านี้เป็นภาพแทนของชนชั้นแรงงาน ชนชั้นล่าง กลุ่มชนพื้นเมือง และต่อต้านชนชั้นนำ
เขากล่าวต่อไปว่า “ตอนแรกดูมีความหวังว่าพวกเขาจะพาประชาธิปไตยกลับมาในประเทศที่ความเหลื่อมล้ำสูง จะสร้างชาติ และกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับขึ้นมา แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็แก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายเลือกตั้งเพื่อให้ตนได้ครองอำนาจได้นานขึ้น เช่นในเวเนซุเอลาหรือโบลิเวีย”
ในขณะที่ Radical Right Populism มีจุดเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาปี 2016 เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง หลังจากนั้นส่งอิทธิพลต่อฌาอีร์ โบลโซนาโรในบราซิล และฮาเวียร์ มิเลย์ในอาร์เจนตินา เส้นทางการขึ้นสู่อำนาจของผู้นำเหล่านี้มักมาจากการเกิดวิกฤต เช่น คอร์รัปชันในบราซิล หรือวิกฤตอัตราการเกิดอาชญากรรมในเอลซัลวาดอร์
ผู้นำประชานิยมฝ่ายขวามักมีความความสัมพันธ์กับผู้สนับสนุน ใช้แคมเปญหาเสียงดิจิทัลโดยยึดโยงกับตัวบุคคล เน้นนโยบายความมั่นคงเชิงลงโทษ และมักจะมีพรรคฝ่ายค้านที่อ่อนแอ
สำหรับประชานิยมฝ่ายขวา ประชาชนคือพลเมืองดี ผู้เสียภาษีที่ดี ส่วนศัตรูคือชนชั้นนำทางการเมืองที่คอร์รัปชัน อาชญากร เฟมินิสต์ กลุ่มคนที่เชื่อในโลกาภิวัตน์ โดยประชานิยมจะมีสัญลักษณ์ทางการเมืองคือชาตินิยมแบบเข้มข้น และผู้นำมีภาพลักษณ์ความเป็นชายเข้มแข็ง
‘ประชานิยมไทย’ จากทักษิณ สู่พรรคอนาคตใหม่/ก้าวไกล
“อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่ผู้คนมีต่อประชานิยม มักคือการมองข้ามการกระจายความเป็นธรรม (distributive justice) และข้อเสนอที่มีแบบแผนเป็นรูปธรรม (programmatic appeals) นอกเหนือจากแค่การแจกเงิน และบางครั้งนโยบายสังคมที่ก้าวหน้าก็ถูกสื่อแปะป้ายว่าเป็นประชานิยมขายฝัน” ตรีเทพกล่าว ก่อนอธิบายบริบทที่แตกต่างกันระหว่างพรรคการเมืองสองพรรคของไทยที่ได้ชื่อว่าดำเนินนโยบายประชานิยม คือพรรคไทยรักไทย/พรรคเพื่อไทย และพรรคอนาคตใหม่/พรรคก้าวไกล
สำหรับพรรคไทยรักไทย/พรรคเพื่อไทย ตรีเทพกล่าวว่า ทักษิณ ชินวัตรขึ้นสู่อำนาจหลังวิกฤตเศรษฐกิจ คือวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 1997 ช่วงแรกๆ ยังไม่ปรากฏชัดเจนว่าเป็นประชานิยมที่แบ่งชัดเจนระหว่างประชาชนกับชนชั้นนำ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในเวลาต่อมา
“หลังจากการชุมนุมของเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ก็เริ่มมีการแบ่งแยกโดยมีศัตรูคือพวกอำมาตย์ ทักษิณจึงเริ่มเป็นประชานิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ของสมัยที่สองของเขา”
ต่อมาหลังจากนั้น เขาเริ่มมีการใช้อำนาจในตำแหน่งใช้เสียงข้างมากในสภา ออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองกลุ่มตนเอง กระทบต่อกลไกการถ่วงดุลอำนาจ ยึดครองหน่วยงาน แก้ไขรัฐธรรมนูญ และจบลงด้วยรัฐประหาร 2006
ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่/พรรคก้าวไกล ปรากฏหลังรัฐประหารปี 2014 และการเปิดเสรีทางการเมือง (liberalization of politics) บางส่วนในปี 2019 โดยตรีเทพกล่าวว่าสมาชิกผู้ก่อตั้งสร้างพรรคโดยมีฐานคิดจากประชานิยมตามแบบ Laclau และพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายในยุโรปใต้
หนึ่งในปัจจัยการที่นำไปสู่ฐานเสียงผู้สนับสนุนพรรคคือ “ความไม่พอใจระหว่างรุ่นระเบิดขึ้นในการประท้วงครั้งใหญ่เมื่อปี 2020” ซึ่งพรรคเองก็มีวิธีมีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงพรรคกับผู้สนับสนุนแตกต่างกันกับพรรคเพื่อไทยหรือไทยรักไทยในอดีต
“พรรคอนาคตใหม่เชื่อมโยงพรรคกับผู้สนับสนุนโดยใช้เครือข่ายแกนนำ การระดมพลทางโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มนโยบายที่การระดมความคิดจากมวลชน ช่วยให้เชื่อมกับคนรุ่นที่เกิดในยุคดิจิทัล ซึ่งแตกต่างจากยุคทักษิณที่พึ่งพาสื่อดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ เช่นรายการทักษิณพบประชาชน หรือรายการทัวร์นกขมิ้น” ตรีเทพกล่าว
อีกประการหนึ่งที่พรรคการอนาคตใหม่แตกต่างจากพรรคเพื่อไทยคือวิธีการประกอบสร้างศัตรู โดยนิยามประชาชนเป็นพลเมืองที่เท่าเทียมกัน แทนที่จะเน้นเฉพาะชนชั้นหรือฐานเสียงแบบทักษิณ โดยในยุคของพรรคอนาคตใหม่ ศัตรูที่ชัดเจนคือกองทัพและระบอบเผด็จการ ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคของพรรคก้าวไกล ก็กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างการเมืองใหม่กับการเมืองเก่า
“คำถามคืออนาคตการเมืองไทยการเกิดขึ้นของประชานิยมระลอกใหม่ จะนำไปสู่ประชาธิปไตยมากขึ้น เผด็จการเอกาธิปไตยที่เข้มแข็งขึ้น หรือระเบียบการเมืองรูปแบบใหม่ที่ต่างออกไปเลย” ตรีเทพทิ้งท้าย
กล่าวโดยสรุปคือประชานิยมมักเกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตความชอบธรรมทางการเมือง หรือความเหลื่อมล้ำระหว่างรุ่น ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้นำประชานิยมเข้ามามีบทบาท โดยคำอธิบายและทางออกที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และดึงดูดใจประชาชน แม้ประสิทธิภาพของแนวนโยบายเหล่านี้จะยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ก็ตาม
ความยั่งยืนของประชานิยมขึ้นอยู่กับรูปแบบการเชื่อมโยงกับฐานมวลชน ไม่ว่าจะผ่านเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัว ระบบอุปถัมภ์ การระดมมวลชนผ่านสื่อดิจิทัล หรือกลไกการมีส่วนร่วมในรูปแบบใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่กำหนดความอยู่รอดของประชานิยมคือความแข็งแรงของสถาบันทางการเมือง หากสถาบันเข้มแข็ง เช่นในสหรัฐอเมริกาหรืออาร์เจนตินา ประชานิยมมักถูกจำกัดบทบาท และในบางกรณีอาจช่วยให้ประชาธิปไตยเปิดกว้างขึ้น แต่หากสถาบันอ่อนแอ ประชานิยมสามารถบ่อนทำลายประชาธิปไตยได้
ประชานิยมทั่วโลกและบทบาทของสถาบันการเมือง – ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์
“ประชานิยมโดยพื้นฐานมักเกิดขึ้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่มีอยู่แล้ว มันไม่ได้อยู่ได้ด้วยตนเอง” ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ กล่าว ก่อนจะเสริมว่าเรารู้แล้วว่าโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้นำประชานิยม แต่ประชานิยมแบบทรัมป์ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น ย้อนกลับไปก่อนทศวรรษ 1980 มีนักการเมืองประชานิยมในสหรัฐ เช่น แพท บูแคนัน ผู้มีแนวคิด ‘America First’ และนโยบายต่อต้านผู้อพยพ ซึ่งคล้ายกับนโยบายของทรัมป์ อันที่จริงแล้ว ในช่วงสงครามเย็น กลุ่มอำนาจเก่า (establishment) ของพรรครีพับลิกันมีการถกเถียงกัน โดยฝ่ายหนึ่งเสนอนโยบายที่ว่ามาข้างต้น ในขณะที่ส่วนมากต้องการคงไว้ซึ่งระเบียบเดิมที่เน้นทุนนิยมและประชาธิปไตย
“แต่ในช่วงระหว่างนั้น สังคมอเมริกาเปลี่ยนไปด้วยการเปลี่ยนแปลงเช่นเทคโนโลยี โลกาภิวัตน์ ผู้คนเริ่มรู้สึกแปลกแยกไปจากสังคม ถูกทำให้เป็นชายขอบ ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ หลังจากนั้นจนราวทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา ทรัมป์ก็ชนะเป็นครั้งแรกในที่สุด หลังจากนั้น โจ ไบเดน ก็เข้ามาหยุดชะงัก แล้วทรัมป์กลับมาอีกครั้งด้วยประชานิยมเต็มรูปแบบ”
ในขณะที่ของกรณีไทย ประชานิยมแบบทักษิณเมื่อ 25 ปีก่อน ใช้วิธีเชื่อมโยงกับผู้คนที่เคยถูกกีดกันออกจากระบบการเมืองที่กองทัพ ราชการ หรือสถาบันกษัตริย์ มีบทบาทสำคัญ
นอกจากนี้ ฐิตินันท์เสนอประเด็นเรื่องเพศสภาพ ผ่านคำว่า ‘machismo’ อันสะท้อนถึงลักษณะผู้นำแบบชายผู้แข็งแกร่ง (strongman) ซึ่งน่าตั้งคำถามว่า “ทำไมผู้นำประชานิยมมักเป็นผู้ชาย ผู้หญิงสามารถเป็นประชานิยมได้ไหม ตัวอย่างที่อาจพิจารณาได้คือ ออง ซาน ซู จี” ฐิตินันท์ยกตัวอย่าง พร้อมกล่าวต่อไปว่าแม้ออง ซาน ซู จีจะได้รับความนิยมและชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย เธอเป็นผู้นำประชานิยมประเภทหนึ่ง แต่รูปแบบและวิธีการใช้อำนาจของเธออาจไม่ตรงกับประชานิยมที่มีความเป็นชาย
ส่วนประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณีฟิลิปปินส์อย่างเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ถือว่าเป็นประชานิยมที่อำนาจมาจากกฎหมายทหารและโครงสร้างรัฐที่เข้มแข็ง ขณะที่โจโก วิโดโดของอินโดนีเซีย อาจถือได้ว่าเป็นประชานิยมในระบบที่มีการเลือกตั้ง กระนั้น “การที่เขาจะอยู่ในอำนาจต่อเนื่องเกินสองวาระนั้นถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ถ้าเขาแก้ให้เป็นสามวาระได้ อาจจะมีลักษณะของผู้นำประชานิยมมากขึ้น”
ในทางกลับกัน ผู้นำอย่างลี กวน ยูของสิงคโปร์ แม้จะมีความชอบธรรมทางการเมือง และได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ไม่มีใครนิยามว่าเขาเป็นผู้นำประชานิยม เช่นเดียวกับมหาธีร์ โมฮาหมัดแห่งมาเลเซีย ในขณะที่อันวาร์ อิบราฮิมอาจถูกมองว่าเป็นประชานิยมได้มากกว่า
สำหรับกัมพูชา ฐิตินันท์มองว่า “ฮุน เซนไม่ใช่ประชานิยม เขาแค่อยากได้รับความนิยม” ก่อนจะอธิบายว่าแม้ในบางช่วง เช่นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ฮุน เซนจะปลุกกระแสชาตินิยม แต่สิ่งนั้นไม่ใช่การดำเนินนโยบายประชานิยมแต่อย่างใด
“อินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมา ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย มีเฉดของประชานิยมที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมันปฏิบัติการ มันจะต่อต้านอะไรบางอย่าง”
นอกจากนี้ ฐิตินันท์ยังกล่าวในหลายประเทศอาจมีผู้นำที่เราไม่รู้จัก ซึ่งเขามองว่า “ถ้าเราไม่รู้จักชื่อ พวกเขาก็อาจจะไม่ใช่ผู้นำประชานิยม”
ประเด็นถัดมาคือประเทศไหนที่ไม่เคยผ่านผู้นำประชานิยม ฐิตินันท์ตั้งข้อสังเกตว่าประเทศที่สถาบันการเมืองเข้มแข็ง เช่น ประเทศแทบนอร์ดิก แคนาดา และญี่ปุ่น แม้ประชานิยมอาจปรากฏขึ้น แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนระบบการเมืองได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลและประชาชนมีความเชื่อมั่นสูง
“การเกิดประชานิยมมักมีความเกี่ยวข้องกับความอ่อนแอหรือเปราะบางของสถาบันรัฐ และบางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสาเหตุที่ประชานิยมผงาดขึ้นด้วยซ้ำ เพราะว่าสถาบันการเมืองไม่สามารถแก้ปัญหาของประชาชนได้” ฐิตินันท์กล่าว
‘วิกฤตที่ถูกสร้าง’ เส้นทางผู้นำประชานิยมในฟิลิปปินส์ – นิธิ เนื่องจำนงค์
“ฟิลิปปินส์คือประเทศที่ทำลายมายาคติเกี่ยวกับประชานิยมโดยเฉพาะของไทย” นิธิ เนื่องจำนงค์ กล่าว ก่อนจะเปิดประเด็นสู่การทำความเข้าใจประชานิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างประเทศฟิลิปปินส์ ผ่านกรอบความคิดของศาสตราจารย์เบน แอนเดอร์สัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นสองช่วงสำคัญ ได้แก่
ประชานิยมระลอกแรก เกิดขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ขับเคลื่อนโดยกระแสต่อต้านจักรวรรดินิยม ตัวอย่างสำคัญคือ ซูการ์โนในอินโดนีเซีย และอู นุของเมียนมา ในระลอกแรกนี้ ศัตรูคืออำนาจจากต่างชาติ และแนวคิดของประชานิยมคือการปลดปล่อยชาติและการต่อต้านการครอบงำจากภายนอก
ประชานิยมระลอกที่สอง เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เมื่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น ประชาชนยังมีความเหลื่อมล้ำด้านดินและรายได้ ตัวอย่างผู้นำประชานิยมในระลอกนี้คือ โจเซฟ ‘เอรัป’ เอสตราดา ที่มุ่งเน้นมิติเศรษฐกิจ และหันมาโจมตีคณาธิปไตยชนชั้นนำภายในประเทศ ซึ่งเป็นมรดกจากยุคอาณานิคมสเปน ที่ก่อให้เกิดตระกูลการเมืองใหญ่ควบคุมสภาเสียงข้างมาก
ในประชานิยมระลอกสองนี้ ผู้นำที่สำคัญคือ โจเซฟ ‘เอรัป’ เอสตราดา และ โรดริโก ดูแตร์เต ที่มีความแตกต่างกันในบางลักษณะ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “การผงาดขึ้นของประชานิยมของสองคนนี้ เกิดโดยไม่มีวิกฤตทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจริง” นิธิย้ำ
โจเซฟ ‘เอรัป’ เอสตราดา: ประชานิยมซูเปอร์สตาร์
โจเซฟ ‘เอรัป’ เอสตราดา เป็นพระเอกภาพยนตร์ยอดนิยม เขามีชื่อเสียงจากการได้รับบทบาทพระเอกที่ต่อสู้เพื่อชนชั้นล่าง ภายหลังเขาผันตัวเป็นนักการเมืองท้องถิ่น โดยมีแคมเปญคือ ‘War Against Poverty’ เขาใช้ชื่อเล่นว่า Erap เป็นการสะกดกลับหลังของคำว่า Pare ซึ่งแปลว่าเพื่อนในภาษาตากาล็อก โดยใช้ชื่อนี้ในหลายแคมเปญ แต่กระนั้นก็ไม่ได้มีนโยบายชัดเจน
“เขาเอาชื่อเขาไปอยู่ทุกที่ แม้กระทั่งตามร้านสะดวกซื้อ และพยายามอ้างตนว่าเป็นพ่อของมวลชน (Father of the mass)” แต่กระนั้นก็มีความย้อนแย้งคือ “เขาสร้างให้ชนชั้นนำคณาธิปไตยเป็นศัตรูของประชาชน แม้ว่าตัวเขาเองจะร่วมมือกับตระกูลการเมืองก็ตาม” นิธิกล่าว
หลังจากดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1998-2001 เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งจากคดีคอร์รัปชัน แม้ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นจากกลุ่มคนจน แต่สุดท้ายกลับถูกโค่นล้มโดยขบวนการ People Power II (EDSA II) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของชนชั้นนำ ชนชั้นกลางในเมือง และสถาบันคริสตจักรคาทอลิก ซึ่งนิธิให้ความเห็นว่า “สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงขบวนการกลุ่มเสื้อเหลืองในประเทศไทย ที่พยายามจะล้มระบอบทักษิณ”
ทั้งนี้ ปัจจัยชี้ขาดที่นำไปสู่การล่มสลายของเอสตราดาคือการที่กองทัพถอนการสนับสนุน ซึ่งนิธิให้คำจำกัดความว่ารัฐประหารเงียบ (silent coup) ส่งผลให้เอสตราดาต้องก้าวลงจากตำแหน่งในที่สุด ความน่าสนใจคือหลังจากนั้น มีขบวนการชื่อ People Power III (EDSA III) ซึ่งมีความคล้ายกับกลุ่มเสื้อแดง ออกมาให้การสนับสนุนเอสตราดา
โรดริโก ดูแตร์เต: คาริสมาด้านมืด
อีกเรื่องราวหนึ่งคือการขึ้นสู่อำนาจของโรดริโก ดูแตร์เต เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งของประชานิยมในฟิลิปปินส์ ซึ่งแตกต่างจากเอสตราดาตรงที่ประชานิยมของเขาสร้างขึ้นจากคาริสมาด้านมืด (dark charisma)
ดูแตร์เตเคยเป็นอดีตนายกเทศมนตรีนครดาเวาในมินดาเนา มีชื่อเสียงจากการใช้มาตรการรุนแรงต่ออาชญากรรม มีรายงานว่าเขาเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ต้องสงสัยอาชญากรรมมากกว่า 1,500 คน เมื่อเขาลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี เขาใช้ชื่อเสียงนี้สร้างวิกฤตระดับชาติโดยรายงานตัวเลขปัญหาอาชญากรรมและยาเสพติดในประเทศให้ดูรุนแรงกว่าความเป็นจริง ดังที่นิธิกล่าวว่าคือ “หนึ่งในกลยุทธ์ของเขาคือการสร้างสถานการณ์ให้ดูเป็นวิกฤต (performing crisis)”
และหากเอสตราดาใช้บุคลิกแบบ ‘พ่อของมวลชน’ ดูแตร์เตกลับใช้คาริสม่าด้านมืดดึงผู้สนับสนุน เขาใช้คำพูดรุนแรงและหยาบคายโจมตีฝ่ายตรงข้ามหลายกลุ่ม ทั้งคริสตจักรคาทอลิก นักธุรกิจชั้นนำ นักการเมือง และแม้แต่ผู้นำต่างประเทศ เช่น ประธานาธิบดีโอบามา และสหภาพยุโรป
คำพูดของเขา เช่น “ลืมกฎหมายสิทธิมนุษยชนไปเถอะ พวกค้ายาเสพติด เพราะฉันจะฆ่าพวกแก” เป็นตัวอย่างชัดเจนว่าดูแตร์เตดึงดูดประชาชนที่รู้สึกผิดหวังกับการใช้กฎหมายและระบบของรัฐที่ไม่ได้ผล แม้นโยบายเศรษฐกิจของเขาจะยังคงเป็นแนวเสรีนิยมใหม่ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าประชานิยมไม่ได้ผูกติดอยู่กับอุดมการณ์เศรษฐกิจเสมอไป
“เมื่อเปรียบเทียบ จะพบว่าสองคนมีสิ่งที่คล้ายกันคืออำนาจรวมศูนย์สูงและพึ่งพาระบบอุปถัมภ์ และใช้คำว่า ‘สงคราม’ เหมือนกัน แต่เอสตราดา คือสงครามกับความยากจน ส่วนดูแตร์เต คือสงครามกับยาเสพติด ทั้งคู่มีนโยบายเศรษฐกิจแนวเสรีนิยมใหม่เหมือนกัน และมีศัตรูคือชนชั้นนำคณาธิปไตย (oligarchy) ที่ทุจริต แต่การขึ้นสู่อำนาจของพวกเขายังเกี่ยวข้องกับการใช้เครือข่ายครอบครัวทางการเมืองด้วยเช่นกัน” นิธิกล่าวสรุป
….
จากประเด็นทั้งหมดที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าประชานิยมแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน บ้างนำไปสู่การปกครองแบบเผด็จการ บางพยายามสร้างประชาธิปไตย ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าประชานิยมไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประชาธิปไตยเสมอไป
“ประชานิยมเกิดขึ้นเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำให้เป็นประชาธิปไตย” เด ลา ตอร์เร กล่าว พร้อมย้ำว่าแม้ประชานิยมจะวิพากษ์ความเหลื่อมล้ำจากโลกาภิวัตน์ แต่ก็ต้องพิจารณาข้อเสนอของนักการเมืองด้วย เพราะแม้ข้อเสนอจะดี แต่อาจนำไปสู่เผด็จการอำนาจนิยมได้ ประชานิยมสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยได้เช่นกัน
ด้านฐิตินันท์ชวนมองไปข้างหน้าว่า ระลอกต่อไปของประชานิยมในไทยต่อไปอาจไม่ใช่แค่การกระจายรายได้ หรือนโยบายอย่างการรักษาพยาบาลราคาถูกและโครงการสินเชื่อขนาดเล็ก แต่อาจเป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง และอาจเป็นการประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเก่า แต่ปัจจุบันผลยังเป็นในทางตรงข้าม และในอนาคตอาจนำไปสู่ความคับข้องใจของประชาชน และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และอันตราย
ท้ายที่สุด ตรีเทพเสนอว่าบทบาทภาคประชาสังคมและสื่อก็มีความสำคัญ ในบางกรณี ผู้นำประชานิยมสามารถดึงภาคประชาสังคมมาเป็นเครื่องมือสนับสนุนวาระของตนได้ แต่ประชาสังคมที่มีพลังและเป็นอิสระสามารถทำหน้าที่เป็นตัวถ่วงอำนาจของผู้นำประชานิยมได้ เช่น ขบวนการ Black Lives Matter ในสหรัฐอเมริกาที่ต่อต้านบางนโยบายที่มีความเป็นเผด็จการของรัฐบาลทรัมป์ แสดงให้เห็นว่าองค์กรประชาสังคมมีบทบาทในการตรวจสอบและถ่วงดุลผู้นำประชานิยม
นอกจากนี้ ผู้นำประชานิยมมักมองว่าสื่อเสรีเป็นภัยคุกคาม หนึ่งในมาตรการแรกๆ ที่พวกเขาทำหลังจากขึ้นสู่อำนาจคือการออกกฎหมายควบคุมสื่อ ดังนั้น สื่อที่เข้มแข็งและเป็นอิสระซึ่งต่อต้านการถูกควบคุมจึงมีความสำคัญ