“ข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น มากกว่าที่จะถูกค้นพบ” ภารกิจแสวงหาข้อเท็จจริงในพื้นที่วิกฤตมนุษยธรรม กับ Ken MacLean

ภารกิจแสวงหาข้อเท็จจริง

ตลอดปี 2024 นี้ การโจมตีและความสูญเสียที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซ่า อันเป็นผลสืบเนื่องจากความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสที่ปะทุขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วยังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การโจมตีพื้นที่พลเรือนและ ‘เขตมนุษยธรรม’ โดยกองทัพอิสราเอล ได้ฉายภาพชัดว่ากฎหมายระหว่างประเทศกำลังถูกละเมิดอย่างโจ่งแจ้ง แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) จะมีคำตัดสินให้อิสราเอลยุติปฏิบัติการทางทหาร พร้อมระบุว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับความขัดแย้งที่ปะทุเป็นการสู้รบในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก สถานการณ์เหล่านี้ทำให้มนุษยชาติต้องกลับมาตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับความรับผิดชอบและหลักการพื้นฐานของโลกใบนี้?”

ท่ามกลางความพยายามของหน่วยงานสิทธิมนุษยชนและองค์กรด้านมนุษยธรรมทั่วโลกในการนำกรณีนี้เข้าสู่กลไกความยุติธรรมระหว่างประเทศ ‘ภารกิจแสวงหาข้อเท็จจริง’ (Fact-Finding Mission) กลายเป็นกลไกสำคัญในการคลี่คลายให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริงพื้นที่ ที่ผ่านมา การแสวงหาข้อเท็จจริงมีบทบาทในการตรวจสอบและเปิดเผยอาชญากรรมต่อพลเรือนหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ถูกปกปิดมาแล้วหลายกรณี เหตุการณ์ที่ใกล้ตัวไทยที่สุดคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวโรฮิงญาในเมียนมา

ตลอดหน้าประวัติศาสตร์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การบังคับสูญหาย หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนในมิติอื่นๆ ผู้ได้รับผลกระทบหรือครอบครัวต่างต้องการคำตอบว่า “เกิดอะไรขึ้น?” และ “ใครเป็นผู้กระทำ?” เพื่อจะได้ทวงถามความยุติธรรมที่ควรได้รับ แม้บางครั้งความจริงที่ถูกเปิดเผยจะไม่ได้นำไปสู่กระบวนการยุติธรรมโดยตรง แต่การได้รู้ข้อเท็จจริงก็ช่วยคลี่คลายความไม่รู้ในใจ และเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการเรียกร้องความรับผิดชอบ  

ในวันที่ภารกิจ Fact-Finding ถูกพูดถึงบ่อยครั้งขึ้น ท่ามกลางวิกฤตมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก วันโอวัน สนทนากับ ดร.เคน แมคลีน (Ken MacLean) จาก Strassler Center for Holocaust and Genocide Studies มหาวิทยาลัยคลาร์ก (Clark University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้มีบทบาทในกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งด้านการปฏิบัติและในทางวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เกิดขึ้นในพม่า จากประสบการณ์หลายสิบปีของแมคลีน กว่าจะได้มาซึ่ง ‘ข้อเท็จจริง’ มีความท้าทายอะไรบ้าง และกระบวนการนี้เชื่อมโยงกับการสร้างความยุติธรรมอย่างไร

อยากให้คุณช่วยให้นิยามพอสังเขปว่า ‘การแสวงหาข้อเท็จจริง’ (Fact-Finding) ในกรณีที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้น คืออะไร

เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะอธิบาย ‘fact-finding’ ด้วยนิยามใดเพียงหนึ่งเดียว เพราะกระบวนการการแสวงหาข้อเท็จจริงมีความซับซ้อนอยู่มาก ถ้าพิจารณาแบบตรงตัว คำว่า ‘fact-finding’ ในภาษาอังกฤษ อาจให้ภาพทำนองว่าข้อเท็จจริงมีอยู่แล้วโดยทั่วไป เพียงแค่คุณต้องออกไปค้นหา นำกลับมาใส่ในรายงาน จากนั้นก็ผลักดันการรณรงค์ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในแต่ละระดับต่อไป แต่การเข้าใจแบบนี้ก็เป็นการมองแบบลดความซับซ้อนมากไปหน่อย (oversimplify)

สิ่งที่ผมอยากชวนมองคือกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น เพราะมีการตัดสินใจหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบวิธีวิจัย วิธีรวบรวมข้อมูล ประเภทของข้อมูลที่สำคัญและจำเป็น การเลือกให้ความสำคัญกับประเด็นหนึ่งและละเลยประเด็นอื่น รวมไปถึงเรื่องคนที่อยู่ในกระบวนการทำงาน เช่น มีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานไหม พวกเขาเจออุปสรรคระหว่างเก็บข้อมูลบ้างหรือเปล่า หรือถ้ามีปัญหาแล้วจะแก้อย่างไร

คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงในทุกขั้นตอน ทั้งการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล จนกระทั่งขั้นตอนการเขียนรายงาน กระบวนการทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือและการวางแผนการดำเนินงานของคนจำนวนมาก ซึ่งผมอยากชวนมองว่าแทนที่จะให้ความสำคัญกับผลผลิตสุดท้ายคือรายงานที่ออกมาเป็นรูปเล่ม ก็อยากให้สนใจกระบวนการและการได้มาของข้อเท็จจริงนั้นด้วย

ในหนังสือ Crimes in Archival Form: Human Rights, Fact Production, and Myanmar (2022) คุณกล่าวไว้ว่าข้อเท็จจริงเป็นสิ่งที่ถูก ‘สร้างขึ้น’ มากกว่าที่จะถูก ‘ค้นพบ’ (facts are produced rather than found) อยากให้ช่วยขยายความมุมมองนี้

ผมจะอธิบายด้วยการยกตัวอย่างว่า ตอนนี้คุณกำลังสัมภาษณ์ผม โดยที่คุณก็เตรียมคำถามมาเพื่อถามผมในบางประเด็น และไม่ถามในบางประเด็น ดังนั้น คุณก็จะได้ฟังความเห็นผมในบางประเด็น ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมด แล้วหลังจากนั้นคุณก็จะไปเรียบเรียงบทสัมภาษณ์ การทำให้บทสัมภาษณ์กระชับขึ้น คุณก็ต้องเลือกอีกว่าจะคงประเด็นไหนไว้และตัดประเด็นไหนทิ้ง ทั้งหมดนี้ คุณไม่ได้แค่รับสารในสิ่งที่ผมพูด แต่คุณกำลัง ‘สร้าง’ มันขึ้นมาในรูปแบบที่คุณคิดว่าคนจะสนใจอ่าน และเมื่อคุณเผยแพร่บทสัมภาษณ์ ขั้นตอนการตัดสินใจและการเลือกทั้งหมดที่คุณทำมาก็จะหายไป คนจะเห็นเพียงแค่ผลงานสุดท้ายก็คือบทสัมภาษณ์

ที่เล่ามานี้ ผมกำลังจะโยงให้เห็นว่าคำถามหรือขั้นตอนแรกในการทำงานสามารถนำไปสู่ข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่งได้ ดังนั้น ถ้าคุณจะอ้างว่ามีคนกระทำความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวโรฮิงญา คุณต้องมีความชัดเจนว่าข้อสรุปนี้ตั้งต้นมาอย่างไร คุณต้องพิสูจน์ได้ว่านี่ไม่ใช่เพียงข้ออ้างทางการเมือง ต้องอธิบายได้ว่ากระบวนการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำรายงานเป็นอย่างไร พูดง่ายๆ คือการแสดงให้เห็นความโปร่งใสในการได้มาซึ่งข้อเท็จจริงบางอย่าง

บนฐานคิดแบบนี้ ผมก็เลยไปศึกษางานวิจัย เอกสาร หรือสิ่งพิมพ์ขององค์กรต่างๆ ทั้งองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรด้านกฎหมาย เพื่อดูว่าพวกเขาสร้างหลักฐาน สร้างความน่าเชื่อถือในข้อมูลอย่างไร โดยโฟกัสไปที่วิธีที่พวกเขาพยายามโน้มน้าวเราว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความจริง และควรใช้เป็นฐานอ้างอิงในการเรียกร้องให้เกิดมาตรการบางอย่างที่จะทำให้เกิดความยุติธรรม นั่นคือแนวคิดหลักในหนังสือเล่มนี้

กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงถูกนำไปใช้ในกระบวนการยุติธรรมอย่างไร โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

เราทราบกันดีว่ามีวิธีการที่แตกต่างหลากหลายในการแสวงหาความยุติธรรม หากเลือกใช้เส้นทางทางกฎหมาย เช่น การนำเรื่องเข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) ก็จะต้องผ่านขั้นตอนมากมายในกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งหนึ่งในตัวแปรสำคัญในการพิจารณาคือพยานหลักฐาน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีเอกสารจำนวนมากเพื่อให้พยานหลักฐานมีน้ำหนักในศาล ซึ่งจะมีคำถามมากมายตามมาว่า หลักฐานมาจากไหน ใครเป็นคนรวบรวม รวบรวมที่ไหน เมื่อไหร่ และถูกบันทึกภายใต้เงื่อนไขใด นั่นหมายความว่าข้อมูลเหล่านี้ต้องมีที่มาหรือมีการจดบันทึกว่าถูกจัดการอย่างไร ตั้งแต่ขั้นตอนการรวบรวมไปจนถึงขั้นตอนการเขียนรายงาน

ดังนั้น กระบวนการ fact-finding จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแสวงหาความยุติธรรมเพียงแค่การบันทึกปัญหาหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่คุณยังต้องบันทึกการบันทึก (document the documentation) ข้อมูลเหล่านั้นด้วย หากต้องการให้ข้อมูลนั้นสามารถใช้ได้ในชั้นศาล

อย่างไรก็ตาม มี NGO ด้านสิทธิมนุษยชนเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องบันทึกข้อมูลอย่างไรเพื่อให้งานที่พวกเขาทำอยู่สามารถใช้ในการพิจารณาคดีได้ ในหลายครั้ง เอกสารที่พวกเขาจัดทำขึ้นจึงมีประโยชน์ในแง่การให้ภาพรวมสถานการณ์หรือบริบท แต่ไม่เหมาะในการใช้พิสูจน์ความบริสุทธิ์หรือความผิดในชั้นศาล ถึงกระนั้น NGO ก็ยังมีบทบาทสำคัญในแง่ที่ว่า ICC อาจได้อ่านรายงานและติดต่อขอสัมภาษณ์บุคคลที่ถูกอ้างถึงในรายงานเพื่อทำการสืบพยานนอกศาล (deposition) และนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการพิจารณาคดีได้

จากที่คุณเล่ามา ดูเหมือนว่าการแสวงหาข้อเท็จจริงจะมีกระบวนการคล้ายๆ กับการทำงานของสื่อมวลชนอยู่เหมือนกัน เช่น การลงพื้นที่ สัมภาษณ์ผู้คนเพื่อเก็บข้อมูล คุณเห็นความเหมือน-ความต่างอย่างไรต่อประเด็นนี้

อย่างที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ว่าเวลานักข่าวสัมภาษณ์ ก็จะมาพร้อมคำถามชุดหนึ่ง และกลับไปเขียนโดย ‘เลือก’ สิ่งที่น่าสนใจ แต่ในกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง คุณจะต้องเขียน ‘ทุกอย่าง’ ไม่สามารถเลือกจดบันทึกหรือเขียนแค่เรื่องที่น่าสนใจได้ แต่ในกรณีส่วนใหญ่ คณะทำงานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงไม่สามารถบันทึกทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ได้ เนื่องจากมีเวลาและทรัพยากรจำกัด ดังนั้นต้องตัดสินใจว่าจะเน้นไปที่แง่มุมใด

เช่น กรณีที่ Fortify Rights จัดทำรายงานเกี่ยวกับชาวโรฮิงญาที่ถูกย้ายจากค็อกซ์ บาซาร์ (Cox’s Bazar) ไปยังเกาะบาซัน ชาร์ (Bhasan Char) ซึ่งพบว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายรูปแบบเกิดขึ้นที่นั่น คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงได้พยายามรวบรวมข้อมูลอย่างครอบคลุมที่สุด แต่พวกเขาตระหนักได้ว่ารายงานนั้นอาจยาวเกินไป และผู้กำหนดนโยบายจะไม่ยอมอ่าน จึงต้องมาทบทวนกันใหม่ว่าจะทำให้แง่มุมใดชัดเจนขึ้น พวกเขาจึงเลือกจะโฟกัสไปที่การกักขัง ว่าด้วยผู้ลี้ภัยที่ต้องการออกจากเกาะเพื่อไปเยี่ยมครอบครัว แต่ไม่สามารถออกไปได้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วนี่คือการกักขัง ดังนั้น เมื่อเลือกแล้วว่านี่จะเป็นประเด็นหลักในการนำเสนอ ข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดอื่นๆ ก็จะถูกละเว้นจากรายงาน ผมต้องการจะสื่อว่าในบางครั้งเราก็ต้องเลือกเหมือนกัน

ผมคิดว่าอีกหนึ่งความแตกต่างระหว่างนักข่าวและคนทำงานองค์กรสิทธิฯ คือนักข่าวเข้ามาในพื้นที่ เขียนข่าว แล้วก็ออกไป ตอนมาเก็บข้อมูล พวกเขาอาจมีหรือไม่มีพื้นฐานความรู้ก็ได้ พวกเขาอาจไม่พูดภาษาท้องถิ่นและอาจต้องใช้ล่าม และโจทย์สำคัญคือพวกเขาต้องเขียนเรื่องราวที่บรรณาธิการจะตีพิมพ์ ดังนั้น งานของนักข่าวจึงมุ่งเป้าไปที่ผู้ชมหรือผู้อ่าน แต่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน พวกเขามีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในพื้นที่มาหลายสิบปี หลายคนพูดภาษาท้องถิ่นได้ เข้าใจบริบทสังคม วัฒนธรรม และการเมืองเฉพาะพื้นที่ และมีสายสัมพันธ์กับคนในหลายระดับ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จึงเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าคนที่ไปเก็บข้อมูลแล้วก็กลับแน่นอน

เมื่อมีวิกฤตมนุษยธรรมเกิดขึ้น หลายครั้งการส่งคนไปพื้นที่เกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐานด้วยตัวเองก็ไม่สามารถทำได้ เช่น ในสถานการณ์ที่มีกองกำลังปิดล้อมพื้นที่ ทำให้เดินทางเข้าสู่พื้นที่ไม่ได้ ในสถานการณ์แบบนี้ คุณจะสืบค้น สืบสวน หรือหาคำตอบถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร

ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายมากๆ เหมือนกัน จากประสบการณ์ของผมที่ได้ทำงานร่วมกับ Fortify Rights ในภารกิจเกี่ยวกับชาวโรฮิงญา เราอุดช่องโหว่การเข้าถึงข้อมูลด้วยการฝึกอบรมการสัมภาษณ์-การเก็บข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ NGO ท้องถิ่น พวกเขามีความสำคัญมากในการเข้าถึงข้อมูลที่เราไม่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งข้อมูลภาคพื้น ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ เบอร์ติดต่อแหล่งข้อมูล อีกทั้งเข้าถึงหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรอื่นๆ ได้ แต่ในสถานการณ์อย่างเมียนมาในปัจจุบัน ที่มีการแบนโซเชียลมีเดีย แบน VPN การเข้าถึงข้อมูลที่อยู่บนพื้นที่ออนไลน์ก็ยากยิ่งขึ้นไปอีก และการนำข้อมูลออกมาก็ยากเช่นกัน หรือในประเทศอย่างซีเรีย ซูดาน การเข้าถึงข้อมูลก็มีข้อจำกัดเยอะมาก ทำให้เราเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริงๆ ได้น้อยมาก

นอกจากนี้ เราสามารถใช้ข้อมูลระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ได้ในบางสถานการณ์ เช่น ในปี 2017-2018 ตอนที่กองทัพพม่าเผาหมู่บ้านชาวโรฮิงญาหลายร้อยแห่ง เหตุการณ์ดังกล่าวปรากฏให้เห็นบนภาพถ่ายดาวเทียม ตอนนั้นเรามีการเปรียบเทียบก่อนและหลัง คือเราเคยเห็นภาพที่คาดว่ามีหมู่บ้านตั้งอยู่ที่นี่ แต่สามเดือนต่อมาพื้นที่นั้นกลับกลายเป็นสีดำ ไม่มีหมู่บ้านอีกต่อไป ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูฝนพอดี เลยแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกเผาด้วยไฟป่าในฤดูนี้ เว้นแต่ว่าจะถูกเผาโดยตั้งใจ

พอเป็นข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตการณ์ทางไกล หรือข้อมูลที่อยู่บนโลกออนไลน์ก็น่าจะมีข้อจำกัดในการนำไปใช้หรือเปล่า

ใช่ หลายครั้งเรามีช่องว่างขนาดใหญ่ในการพิสูจน์ข้อมูล หลักๆ แล้วก็ต้องถามตัวเองว่าคนที่แบ่งปันข้อมูลมีวาระทางการเมืองซ่อนเร้นอยู่หรือเปล่า จะประเมินน้ำหนักของแหล่งข้อมูลอย่างไร จะตรวจสอบได้อย่างไรว่าข้อมูลนั้นถูกต้อง ข้อมูลนั้นเป็นคำให้การของพยานโดยตรงหรือแหล่งข้อมูลแค่พูดในสิ่งที่คนอื่นบอกมา หรือมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นในการส่งต่อข้อมูลหรือไม่ และมีอีกหลายคำถามที่ต้องใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล

ในกรณีที่ใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายทางดาวเทียม คุณอาจสามารถระบุตำแหน่งของเรือนจำได้ แต่คุณไม่สามารถมองเห็นกรณีที่มีคนถูกทรมาน หรือคุณอาจสังเกตเห็นจำนวนฐานทัพทหารที่เพิ่มขึ้น แต่คุณก็ไม่สามารถมองเห็นว่าทหารเหล่านั้นไปทำอะไรกับประชาชนต่อ มีคนถูกทรมานหรือเหยียบกับระเบิดบ้างไหม และเราก็ไม่สามารถมองเห็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ อาจมีประโยชน์ในบางบริบท แต่ใช้ไม่ได้ในบางบริบท

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีก็มีข้อดีอยู่เยอะ เพราะในโลกยุคดิจิทัล การปกปิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนทำได้ยากขึ้น เช่น ตอนมีการประท้วงเกิดขึ้นในไทย ภาพและคลิปการสลายการชุมนุมถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกผ่านโซเชียลมีเดีย ถามว่าจะมีคนเอาไปใช้บิดเบือน สร้างความเข้าใจผิดๆ ไหม ผมว่ามีแน่ละ แต่ในทางหนึ่ง ข้อมูลที่อยู่บนพื้นที่ออนไลน์เหล่านี้อาจนำมาใช้เป็นหลักฐานในการแสวงหาข้อเท็จจริงได้ แต่สิ่งสำคัญที่ผมย้ำอยู่เสมอคือ ไม่ว่าคุณจะเอามาจากไหนก็ตาม ต้องตอบให้ได้ว่าคุณจะยืนยันความถูกต้องของข้อมูลอย่างไร และทำไมถึงต้องใช้ข้อมูลนี้ เพราะฉะนั้น การพิจารณาว่าข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกอย่างไรจึงสำคัญมากในกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริง

อันที่จริง ต่อให้เป็นข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นเหยื่อ ผู้กระทำ หรือเป็นทั้งสอง ก็ย่อมมีความเอนเอียงหรืออคติ (bias) อยู่ในคำบอกเล่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะจัดการกับความจริงข้อนี้อย่างไร

คนทุกคนมีอคติ คุณก็มี ผมก็มี แต่สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงหากคุณทำงานเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ fact-finding ในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็คืออคติของตัวคุณเองนั่นแหละ คือต้องตระหนักว่าอคตินี้จะส่งผลต่อการแสวงหาข้อมูล การวิเคราะห์ และสรุปเป็นรายงานอย่างไร

พ้นไปจากตัวคุณเองก็ต้องไตร่ตรองว่าคนที่ให้ข้อมูลเป็นใคร มีบทบาทอย่างไรต่อประเด็นที่คุณกำลังสืบหาข้อเท็จจริง แล้วก็พยายามหาข้อมูลบุคคลนี้จากคนอื่นด้วย เพื่อที่คุณจะได้พยายามทำความเข้าใจผู้ให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน จะได้ประเมินได้ถูกว่าเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าเราไม่สามารถขจัดอคติออกไปได้ แต่เราต้องพยายามคำนึงถึงมันให้ได้มากที่สุด

ในตอนต้น คุณกล่าวว่ากระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงต้องมีความโปร่งใสในการทำงานและในกระบวนการเก็บข้อมูล แต่หากพื้นที่ที่คุณต้องไปเก็บข้อมูลหลักฐานนั้นเป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลอำนาจนิยม มีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือมีการสอดส่องทุกการเคลื่อนไหวของประชาชน กรณีแบบนี้ความโปร่งใสยังจำเป็นอยู่ไหม

คำถามนี้ไม่น่าจะมีแค่คำตอบเดียวนะ ผมว่ามันแปรเปลี่ยนไปตามบริบท เช่น ถ้าผมทำงานในเมียนมาหลังเกิดการรัฐประหาร ผมต้องทำงานภายใต้ข้อจำกัดที่เยอะมากๆ บางอย่างต้องปิดเป็นความลับเลย มิเช่นนั้นอาจถูกจับหรือถูกฆ่าได้ แต่สถานการณ์จะแตกต่างออกไปถ้าผมทำงานในไทย สิงคโปร์ หรือเยอรมนี

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าความโปร่งใสไม่ใช่ทุกอย่างเสมอไป ผมไม่ได้บอกว่ารายงานที่มีความโปร่งใส 100% จะดีกว่ารายงานที่มีความโปร่งใส 50% แต่อย่างน้อยที่สุด NGO ต้องมีความโปร่งใสภายในองค์กร ในวิธีการทำงาน และผลที่ตามมาจากการตัดสินใจต่างๆ จะต้องสามารถตรวจสอบย้อนไปยังที่มาได้ นี่คือขอบเขตความโปร่งใสที่คนทำงานพอทำได้

การแสวงหาข้อเท็จจริงในเขตสงครามหรือพื้นที่ความขัดแย้ง มักจะมีผู้คนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและมีความบอบช้ำทางจิตใจ คุณรับมือกับความท้าทายในการสัมภาษณ์พวกเขาในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนแบบนี้อย่างไร

หลักการสำคัญที่สุด คือ ‘Do No Harm’ หมายความว่าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์บอบช้ำทางจิตใจซ้ำอีกครั้ง (re-traumatization) และนั่นหมายความว่าเราไม่สามารถพูดคุยกับบางคนได้เพราะสิ่งที่พวกเขาเคยประสบมาอาจเป็นเรื่องหนักหนาจนไม่อยากเล่าอีก ก็ต้องเคารพความต้องการของเขา

สิ่งที่ผมทำอยู่เสมอคือคุยกับคนในพื้นที่ เช่น NGO ท้องถิ่น ว่าผมกำลังมองหาผู้ที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้และอาจ ‘ยินดี’ จะพูดคุยด้วย พวกเขามักจะรู้จักคนเหล่านี้เป็นการส่วนตัวและสามารถจัดการเรื่องการสัมภาษณ์ให้ได้ จากนั้นคุณก็เริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเองว่าคุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ กำลังมองหาข้อมูลอะไร ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้อย่างไร และมันจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไร ที่สำคัญคือต้องขอความยินยอมอย่างชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมจะพูดถึงกรณีการถูกทรมาน การถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือเหตุการณ์การถูกโจมตีทางอากาศ อีกประเด็นสำคัญคือคุณต้องพร้อมจะหยุดการสัมภาษณ์ทันทีหากเห็นได้ชัดว่าผู้ให้สัมภาษณ์เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ในมุมมองของผม เรื่องเหล่านี้เป็นพื้นฐานของจริยธรรมในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน

หากขยับจากแนวทางการทำงาน ไปสู่การนำไปใช้ ต้องย้อนไปว่ากระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงเกิดขึ้นมาพร้อมๆ กับแนวคิด ‘ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน’ (transitional justice) ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้ช่วงหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านกลไกศาลพิเศษต่างๆ ที่ใช้ตัดสินโทษผู้ก่ออาชญากรรมร้ายแรงต่อพลเมือง คุณมองแนวคิดนี้สัมพันธ์กับงานที่คุณทำอย่างไร

ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านเป็นแนวคิดที่กว้างมากและมีหลายวิธีในการแสวงหาความยุติธรรม แนวทางแรกๆ ที่คนนึกถึงมักจะทำผ่านกฎหมายและการพิจารณาคดี เช่น การพิจารณาคดีที่นูเร็มเบิร์ก (Nuremberg trials) หลังสงครามโลกครั้งที่สอง การพิจารณาคดีในรวันดา หรือการพิจารณาคดีอาชญากรรมที่กระทำในดินแดนอดีตยูโกสลาเวีย กลไกเหล่านี้พยายามดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือคนที่มีความรับผิดชอบสูงสุดต่อการกระทำความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าการจับกุมและลงโทษคนบางคนไม่ได้หมายความว่าเหยื่อหรือผู้สูญเสียได้รับความยุติธรรมจริงๆ

ยกตัวอย่างกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคเขมรแดง (Khmer Rouge) ที่กัมพูชา การพิจารณาคดีในกรณีนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ผ่านไปมากกว่า 20 ปี โดยจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ 10 คน มี 5 คนที่เข้าสู่กระบวนพิจารณาคดี มีเพียง 3 คนที่ถูกตัดสินโทษและต้องโทษจำคุก ซึ่ง 2 ใน 3 คนนั้นเสียชีวิตในช่วงการพิจารณาคดีเพราะอายุมากแล้ว ตลอดการพิจารณาคดีนี้ ศาลพิเศษใช้งบไปเกือบ 250 ล้านเหรียญฯ ผมอยากชวนให้คิดว่าสิ่งนี้เรียกว่าความยุติธรรมหรือไม่? และถ้าใช่ นั่นคือความยุติธรรมในทัศนะใคร?

นอกจากคนระดับสูง แล้วทหารเขมรแดงที่สังหารผู้คนหรือคนที่เป็นผู้กระทำความผิดระดับล่างที่ไม่ได้ถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมล่ะ? หากคุณเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับคนที่ฆ่าครอบครัวของคุณ การแสวงหาความยุติธรรมจากคนกลุ่มนี้อาจมีความสำคัญมากกว่าคนระดับสูง ดังนั้น เราต้องถามตัวเองเสมอว่า ความยุติธรรมสำหรับใคร? และพวกเขาให้คำจำกัดความมันว่าอย่างไร?

ในแง่หนึ่ง ความยุติธรรมอาจเป็นการปรองดองในระดับชาติหรือการทำให้คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน มีกระบวนการในการก้าวไปข้างหน้า เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในอีกแง่หนึ่ง ความยุติธรรมอาจเป็นสิทธิในการรู้ความจริง หมายถึงการเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญของความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน เช่นในบริบทของลาตินอเมริกาที่ผู้คนนับพันถูกอุ้มหายในช่วงสงครามเย็น โดยที่ครอบครัวไม่เคยรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกหลานหรือพ่อแม่พวกเขา หลายครอบครัว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีก็ยังหวังเสมอว่าคนที่รักที่หายไปจะยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น ความยุติธรรมสำหรับคนในลาตินอเมริกาอาจเป็นการค้นหาข้อเท็จจริงว่าคนของพวกเขาถูกกระทำอย่างไรบ้าง หากถูกฆ่าแล้วถูกฆ่าที่ไหน เพราะที่ตรงนั้นอาจมีกระดูกหรือร่างของพวกเขาอยู่

ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่าไม่มีคำตอบที่ตายตัวเมื่อเราพูดถึงความยุติธรรม สำหรับผม การคลี่คลายความขัดแย้งที่โฟกัสไปที่ความยุติธรรมเพียงรูปแบบเดียว นั่นถือเป็นความยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม เพราะความยุติธรรมที่แท้จริงต้องมีความหลากหลาย

หากมองถึงการสร้างแรงกระเพื่อมในระยะยาว กระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงมีบทบาทในการส่งเสริมความรับผิดชอบ (accountability) หรือป้องกันการก่ออาชญากรรมร้ายแรงในอนาคตได้บ้างไหม

ผมไม่คิดว่าการแสวงหาข้อเท็จจริงจะนำไปสู่สิ่งนั้นได้นะ เพราะมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่วันยังค่ำ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจะยังเกิดขึ้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็จะยังเกิดขึ้น การหาข้อเท็จจริงเป็นเพียงความพยายามเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้คน (ที่กระทำผิด) เหล่านั้นรับผิดชอบ และเป็นการแสวงหาความยุติธรรมหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว อย่างน้อยที่สุด การแสวงหาข้อเท็จจริงจะสร้างรากฐานในการดำเนินคดีหรือนำไปสู่การแสวงหาความยุติธรรมในรูปแบบอื่นๆ ได้

อย่างวิกฤตมนุษยธรรมที่เข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซ่า หลายคนมองว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของเนทันยาฮู (นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล) โดยสมบูรณ์ เพราะเขาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งหากต้องการให้เขารับผิดทางกฎหมายก็จำเป็นต้องจัดทำเอกสารเพื่อพิสูจน์บางอย่าง เช่น เจตนาของเขาที่รู้ว่าจะมีเด็กและผู้หญิงนับพันเสียชีวิตแต่ก็ยังสั่งโจมตี คุณต้องมีข้อมูลนั้น ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีการพิจารณาคดีเนทันยาฮูที่ศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่ ในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แต่การจัดทำรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนก็ยังมีความสำคัญในการบอกโลกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าจะไม่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการศาลเลยก็ตาม

เช่นนั้นแล้ว ก้าวที่สำคัญที่สุดคือต้องทำให้ประชาคมโลกเห็นความสำคัญของรายงานเหล่านี้ใช่ไหม? สุดท้ายแล้ว เราจะโน้มน้าวให้พวกเขาเห็นความสำคัญจนนำไปสู่การผลักดันมาตรการที่ปฏิบัติใช้จริงได้อย่างไร

อาจจะฟังดูสิ้นหวังหน่อยนะ แต่ผมจะตอบว่ารายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ไม่มีผลกระทบใดในทางปฏิบัติเลย ผู้คนไม่ได้อ่านมัน และนั่นก็เป็นความจริงที่จริงมากขึ้นเรื่อยๆ ผมมองว่าผู้กำหนดนโยบายอาจดูแค่บทสรุปผู้บริหารในตอนต้นหากพวกเขาสนใจหัวข้อนั้น แต่พวกเขาคงไม่ได้อ่านรายงานทั้งหมด แต่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายหรือไม่ ผมว่าคงตอบยาก

แต่อย่างน้อยที่สุด ความพยายามที่ไม่ยิ่งหย่อนในการแสวงหาข้อเท็จจริงก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้บ้าง แม้จะเล็กๆ ก็ตาม เช่น กรณีของเมียนมา ตลอดหลายสิบปีมานี้ องค์กรต่างๆ ได้เผยแพร่รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงการละเมิดสิทธิมนุษยชนในมิติต่างๆ แต่ละรายงานอาจไม่สมบูรณ์ ไม่แม่นยำในการสร้างข้อสรุป แต่จากสิบเป็นร้อย ก็ย่อมมีฐานข้อมูลบางอย่างให้ต่อยอดการศึกษาไปได้อีก และเมื่อคุณมีรายงานพันฉบับในรอบ 30 ปี คุณก็เริ่มพูดได้แล้วว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างมีแบบแผน บางทีเราควรทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับประเด็นนี้” และบางทีองค์การสหประชาชาติหรือศาลอาญาระหว่างประเทศอาจจะพิจารณาข้อเรียกร้องเหล่านี้อย่างจริงจังขึ้นก็ได้

หากพิจารณาบนพื้นฐานความเป็นจริงแล้ว ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะมหาอำนาจจะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในประเทศหนึ่งๆ ก็ต่อเมื่อประเทศนั้นมีความสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือการทหารเท่านั้น ดังนั้น ต่อให้คุณจัดทำรายงานได้เป็นร้อยฉบับ แต่มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่ารวันดาหรือเมียนมาไม่ใช่ประเทศยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

4 Apr 2023

เปลี่ยน ‘ผี’ ให้เป็น ‘คน’ : เหตุผลที่คนเลือกเป็น ‘ผีน้อย’ และปัญหาเชิงระบบของการส่งแรงงานไปเกาหลี

รีนา ต๊ะดี เขียนถึงปัญหาในระบบการส่งแรงงานไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมาย เปิดเหตุผลว่าทำไมแรงงานไทยยังเลือกไปแบบ ‘ผีน้อย’

รีนา ต๊ะดี

4 Apr 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save