จรัญ โฆษณานันท์ และนิติปรัชญาไทยนิพนธ์

เมื่อกล่าวถึงบุคคลที่มีส่วนในวางรากฐานความรู้ด้านนิติปรัชญาในสังคมไทย ชื่อของปรีดี เกษมทรัพย์ จะเป็นรายชื่อแรกๆ ที่มักถูกคำนึงถึงในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันและเป็นผู้สอนในวิชาดังกล่าวที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ในคราวปรับปรุงหลักสูตรเมื่อ พ.ศ. 2517 รวมทั้งได้กลายเป็นแนวทางการศึกษาที่ได้รับสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง

แต่บุคคลอีกคนหนึ่งที่มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งต่อการขยายพรมแดนความรู้ด้านนิติปรัชญาในสังคมไทยก็คือ จรัญ โฆษณานันท์ ซึ่งได้ตีพิมพ์ตำรานิติปรัชญาที่คณะนิติศาสตร์ รามคำแหง รวมทั้งมีตำรา หนังสือ และงานวิจัยอีกหลายเล่ม งานของจรัญ มิใช่เป็นเพียงแค่ ‘กระดาษเปื้อนหมึก’ หรือ ‘ตำราบังคับขาย’ แก่นักศึกษาที่ลงเรียนที่รามคำแหงเท่านั้น หากยังเป็นงานที่นักศึกษาในสถาบันอื่นๆ หรือบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจต่างต้องขวนขวายหามาอ่านเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ด้านนิติปรัชญา

อาจกล่าวได้ว่า ทั้งตำราของปรีดีและจรัญเป็นงานเขียนที่ผู้สนใจทางด้านนิติปรัชญาไม่อาจมองข้ามได้ จนกระทั่งทศวรรษ 2550 จึงปรากฏตำราและหนังสือนิติปรัชญาที่กว้างขวางและหลากหลายมากยิ่งขึ้น สำหรับบทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่างานเขียนของจรัญได้ต่อยอด ขยาย ท้าทาย และปรับเปลี่ยนแง่มุมความรู้ที่มีต่อนิติปรัชญาในสังคมไทยไปอย่างสำคัญในแง่มุมอย่างไรบ้าง

ในเบื้องต้น พึงประกาศให้เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าผู้เขียนบทความนี้มิใช่ลูกศิษย์ ‘โดยตรง’, ไม่ใช่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย, ไม่มีประโยชน์โภชผลทางด้านวัตถุใดๆ เกี่ยวข้องกัน (เท่าที่พอจะมีอยู่บ้างก็คือ จรัญ มักจะส่งงานเขียนชิ้นใหญ่มาเป็นของฝากอยู่บ่อยครั้ง ขณะที่ผู้เขียนมักจะตอบกลับแทนด้วยงานเขียนชิ้นเล็กๆ อันนับว่าเป็นการเอาเปรียบอยู่ไม่น้อย)

การประกาศเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าบทความนี้ไม่ใช่การเขียนขึ้นเพื่อ ‘อวย’ โดยมีประโยชน์ใดๆ แอบแฝงอยู่เบื้องหลัง หากเป็นความต้องการที่จะชี้ให้เห็นความหมายและความสำคัญที่อยู่ในงานเขียนด้านนิติปรัชญาของจรัญ ในสายตาของนักเรียนกฎหมายธรรมดาๆ คนหนึ่ง

จากท่าพระจันทร์ ถึงหัวหมาก

อาจกล่าวได้ว่านับตั้งแต่มีการบรรจุวิชานิติปรัชญาที่คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ตำรานิติปรัชญาของปรีดี ได้กลายเป็นงานเขียนชิ้นสำคัญต่อการวางแนวทางการศึกษา และไม่ใช่เป็นเฉพาะตำราสำหรับนักศึกษาหากยังเป็นกรอบแนวความคิดในการเรียนการสอนและการเขียนตำรานิติปรัชญาที่ธรรมศาสตร์มาอย่างต่อเนื่อง

ในเชิงเนื้อหา ตำรานิติปรัชญาของปรีดี เป็นการศึกษาแนวความคิดทางด้านปรัชญากฎหมายของตะวันตกด้วยการพิจารณาในมิติเชิงประวัติศาสตร์ซึ่งต้องการแสดงให้ถึงความคิดทางด้านกฎหมายที่สัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ยุคกรีก ยุคโรมัน ยุคกลาง ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการมาจนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ปรีดีให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับแนวคิดทางด้านนิติปรัชญา 3 สำนักด้วยกัน คือ สำนักกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) สำนักกฎหมายธรรมชาติ (natural law school) และสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ (historical school of law)

กรอบความคิดของปรีดีมีอิทธิพลอยู่ไม่น้อย ดังจะพบว่าเมื่อมีการตีพิมพ์ตำราเกี่ยวกับนิติปรัชญาออกมาในภายหลังก็จะเป็นไปตามกรอบที่ปรีดีได้วางแนวทางไว้ เช่น ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนิติปรัชญา (2536) ของสมยศ เชื้อไทย[1] ก็ได้ดำเนินไปภายใต้กรอบที่ปรีดีวางไว้ ทั้งในด้านของการจัดหมวดหมู่ และแนวความคิดทางนิติปรัชญาก็ได้ให้ความสำคัญกับแนวความคิด 3 สำนัก ตามที่ปรีดีได้บุกเบิกเป็นแนวทางไว้[2] แนวคิดของปรีดีมีอิทธิพลต่อการศึกษานิติปรัชญาที่สถาบันแห่งนี้มาไม่น้อยกว่า 3 ทศวรรษ

จรัญได้ผลิตงานเขียนที่มีความสำคัญและมีส่วนอย่างมากต่อการบุกเบิกพรมแดนความรู้ทางด้านนิติปรัชญาคือ นิติปรัชญา (2531)[3] หนังสือเล่มนี้เป็นตำราสำหรับอ่านประกอบในวิชานิติปรัชญาของรามคำแหง ในเชิงภาพรวม หนังสือเล่มนี้มุ่งทำความเข้าใจนิติปรัชญาด้วยการจำแนกแนวความคิดทางปรัชญากฎหมายออกเป็นกลุ่มความคิด (school of thought) และจะมีการศึกษาในเชิงประวัติศาสตร์ของแนวคิดนั้นๆ รวมถึงข้อถกเถียงของแต่ละแนวคิดซึ่งจะทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจแนวความคิดในแต่ละสำนักได้อย่างชัดเจน

เขาอธิบายถึงแนวความคิดสำคัญทั้งสามสำนักกล่าวคือ สำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย (legal positivism), สำนักกฎหมายธรรมชาติ และสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ นอกจากนั้น จรัญ ยังได้เขียนถึงแนวความคิดร่วมสมัยมากขึ้น เช่น แนวความคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติในศตวรรษที่ 20 แนวความคิดทางกฎหมายแบบมาร์กซิสม์ (Marxist theory of law) และแนวความคิดสัจนิยมทางกฎหมาย (legal realism) ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (sociological jurisprudence) แนวความคิดเหล่านี้เสนอมุมมองที่เสนอการมองกฎหมายในโลกของการเมือง/ในโลกของความเป็นจริง ที่จะทำให้นักเรียนกฎหมายได้ตระหนักถึงการดำรงของกฎหมายอยู่ในท่ามกลางชีวิตของผู้คนว่าอาจมิใช่เรื่องของความยุติธรรม

ตำราเล่มนี้ยังได้หยิบยกประเด็นถกเถียงสำคัญทางนิติปรัชญามาอภิปรายซึ่งเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหลายสังคม และนักปรัชญากฎหมายก็ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันต่อการแลกเปลี่ยนความเห็น เช่น การเคารพและการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย การควบคุมศีลธรรมโดยกฎหมาย เป็นต้น

นิติปรัชญาของจรัญจึงไม่เพียงบรรยายถึงแนวความคิดกระแสหลักซึ่งเป็นที่รับรู้และเป็นเสมือน ‘ท่าบังคับ’ ของหนังสือนิติปรัชญา แต่ยังได้มีการขยายพรมแดนความรู้ทางด้านนิติปรัชญาในแวดวงความรู้ด้านนิติศาสตร์ของไทยให้มีเพดานการรับรู้ที่เพิ่มมากขึ้น ชี้ชวนให้เห็นแง่มุมของแนวคิดที่หลากหลายในการทำความเข้าใจ ‘ความหมาย’ และ ‘ความจริง’ ของกฎหมาย อันถือเป็นหลักหมายทางความรู้ที่สำคัญ

นอกจากนี้แล้ว จรัญยังได้มีการตีพิมพ์ปรัชญากฎหมายไทย[4] งานเขียนชิ้นนี้มีความแตกต่างอย่างมากจากงานด้านนิติปรัชญาที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น เนื่องจากเป็นการมุ่งทำความเข้าใจถึงนิติปรัชญาที่ดำรงอยู่ในระบบกฎหมายของไทยผ่านการวิเคราะห์เอกสารทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย นับตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา สืบมาถึงธนบุรีและรัตนโกสินทร์

ทั้งนี้ บทบาทของจรัญในการขยายพรมแดนความรู้ทางด้านนิติปรัชญาในสังคมไทยไม่ใช่งานเขียนสองชิ้นเท่านั้น นิติปรัชญาแนววิพากษ์ที่ตีพิมพ์ต่อมาถือเป็นงานเขียนอีกชิ้นที่มีความสำคัญเช่นกัน

ขึ้นไปสู่หอคอย และกลับลงมาสู่พื้นดิน

งานเขียนที่มีผลต่อการเปิดพรมแดนความรู้ใหม่ทางด้านนิติปรัชญาโดยเฉพาะอิทธิพลจากวงวิชาการตะวันตกก็คือ นิติปรัชญาแนววิพากษ์ (2550)[5] ในงานเขียนชิ้นนี้ได้มีการอธิบายถึงแนวความคิดที่มากไปกว่าแนวความคิดกระแสหลักที่ครอบงำแวดวงความรู้ทางด้านนิติปรัชญาของไทย จรัญอธิบายถึงแนวคิดนิติศึกษาแนววิพากษ์ (critical legal studies), นิติศาสตร์แนวสตรีนิยม (feminist jurisprudence), นิติศาสตร์แนวหลังสมัยใหม่ (postmodern jurisprudence), ทฤษฎีวาทกรรมแห่งกฎหมายและนิติรัฐ ประชาธิปไตยของฮาเบอร์มาส (Jurgen Habermas) และปรัชญากฎหมายจีน

สามารถกล่าวได้ว่าเนื้อหาของแนวความคิดเกือบทั้งหมด (ยกเว้นปรัชญากฎหมายจีน) เป็นแนวความคิดทางนิติปรัชญาที่ได้ถูกพัฒนานับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 สืบเนื่องมาจนกระทั่งต้นศตวรรษที่ 21 แนวความคิดเหล่านี้เป็นประเด็น ‘ร่วมสมัย’ ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในโลกวิชาการของตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้อิทธิพลของแนวความคิดแบบหลังสมัยใหม่ (postmodernism) ซึ่งได้มีส่วนอย่างสำคัญต่อการตั้งคำถามถึงรากฐานต่อระบบความรู้ ความจริง

เมื่อแนวความคิดดังกล่าวแผ่ขยายเข้ามาไว้แวดวงทางนิติศาสตร์ก็ได้ทำให้เกิดคำถามถึงกฎหมายและความยุติธรรมที่แตกต่างออกไปถึงในระดับพื้นฐาน การท้าทายถึงความชอบธรรมและการดำรงอยู่ของอำนาจแห่งกฎหมาย แต่ประเด็นเหล่านี้อาจไม่ได้ความสนใจในแวดวงนิติปรัชญาในสังคมไทยมากเท่าที่ควรในช่วงเวลาดังกล่าว

งานชิ้นนี้จึงถือว่าเป็นหลักหมายต่อการเปิดพื้นที่ความรู้พื้นฐานทางนิติปรัชญาให้กระแสความคิดที่ร่วมสมัยมากขึ้น (ยกเว้นประเด็นปรัชญากฎหมายจีนที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนชิ้นนี้ ที่มีความแตกต่างออกไป เนื่องจากเป็นการพิจารณากฎหมายภายใต้กรอบทางความคิดที่อิงอยู่กับความเป็นชาติ แต่คาดเดาว่าคงเป็นประเด็นที่จรัญ มีความสนใจส่วนตัวและพิจารณาว่ามีความสำคัญจึงได้นำมาอยู่ในหนังสือเล่มนี้)

นอกจากนั้นแล้ว จรัญ ก็ยังมีงานเขียนเรื่อง อาชญาวิทยาแนววิพากษ์[6] ซึ่งดูจะเป็นงานเขียนที่แตกต่างไปจากทางด้านนิติปรัชญา แม้จะไม่ใช่เป็นงานเขียนด้านนิติปรัชญาโดยตรงหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแนวคิดทางด้านอาชญาวิทยา แต่เขาได้อธิบายถึงอิทธิพลของกระแสแนววิพากษ์ที่มีอิทธิพลและส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนมุมมองการวิเคราะห์ทางด้านอาชญาวิทยาได้อย่างน่าสนใจ งานชิ้นนี้อาจเป็น ‘ตัวแบบ/ตัวอย่าง’ ที่แสดงให้เห็นว่าแนวความคิดด้านปรัชญานั้นส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อระบบความรู้อย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจน    

และคงจะไม่สมบูรณ์อย่างแน่แท้หากละเลยไม่กล่าวถึงงานวิจัยชิ้นล่าสุด เรื่อง นิติปรัชญา: หลักนิติธรรม สภาวะยกเว้นและปฐมบทแห่งคำพิพากษาแนวรัฐประหารนิยม-ตุลาการภิวัตน์ (2563)[7] งานชิ้นนี้มุ่งศึกษาปัญหาการยกเว้นหลักนิติธรรมของศาลไทยกรณีการรับรองอำนาจคณะรัฐประหารในคำพิพากษาอันเป็นบรรทัดฐานของศาลฎีกาไทย พร้อมกับการยืนยันว่ามิได้เป็นผลมาจากแนวความคิดเรื่องปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย หากแต่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอำนาจนิยมเชิงจารีตที่แฝงฝังอยู่ในฝ่ายตุลาการมาอย่างยาวนาน ข้อเสนอดังกล่าวถือเป็นความพยายามในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางกฎหมายของสังคมไทยด้วยมุมมองทางนิติปรัชญาที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับอุดมการณ์ทางการเมืองได้อย่างน่าสนใจ

และเป็นการยืนยันให้เห็นได้อย่างแจ่มชัดว่าการศึกษากฎหมายในเชิงทฤษฎีที่เป็นนามธรรมมิใช่เพียงการละเล่นทางปัญญาแต่เพียงอย่างเดียว หากยังสามารถนำมาสู่การวิเคราะห์เหตุการณ์อันเป็นรูปธรรมอย่างแหลมคมได้

จงขึ้นไปยืนบนบ่าของยักษ์

แม้นิติปรัชญาเป็นรายวิชาที่ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษากฎหมายของแทบทุกสถาบัน ผู้สอนวิชานิติปรัชญาก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ตำรานิติปรัชญาก็มีให้เห็นอย่างแพร่หลายมากขึ้น แต่ผู้สอนวิชานิติปรัชญาที่ ‘อิน’ และมีความอุตสาหะตลอดจนทุ่มเทเวลาเกือบทั้งชีวิตกับความรู้ด้านนี้ในสังคมไทยดูจะมีอยู่แค่เพียงนับนิ้วมือข้างเดียว

ยิ่งหากรวมไปถึงการผลิตงานเขียนอันมีคุณภาพและติดตามความเปลี่ยนแปลงด้านความรู้ในระดับสากลอย่างเท่าทันก็ดูราวกับจะยิ่งมีเป็นจำนวนน้อยลงไปอีก (อย่างไรก็ตาม มีนักกฎหมายจำนวนหนึ่งที่ได้ให้ความสนใจและทำการศึกษานิติปรัชญาเพิ่มมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้น นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย)

เขาคือหนึ่งในบุคคลที่ได้ทุ่มเทชีวิตในทางวิชาการและการสร้างงานเขียนที่ถือเป็นหลักหมายสำคัญของงานเขียนด้านนิติปรัชญาในสังคมไทย งานของจรัญ โฆษณานันท์จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางด้านนิติปรัชญาไปอีกยาวนาน หากคนรุ่นหลังต้องการจะขึ้นไปอยู่บนบ่าของจรัญ คงจะต้องใช้ทั้งแรงกายและความทุ่มเทอย่างไม่น้อยเลย จนไม่แน่ใจว่าจะมีผู้ใดสามารถกระทำเยี่ยงนั้นได้ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้อย่างแน่นอน   


[1] สมยศ เชื้อไทย, ทฤษฎีกฎหมาย นิติปรัชญาพิมพ์ครั้งที่ 9 (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วิญญูชน, 2548)

[2] สำหรับการประเมินถึงอิทธิพลทางความคิดของปรีดี เกษมทรัพย์ ต่อการศึกษากฎหมายที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สามารถประเมินได้ทั้งในด้านความสำเร็จและความล้มเหลว ดูรายละเอียดใน สมชาย ปรีชาศิลปกุล, “ความสำเร็จที่ล้มเหลวของปรีดี เกษมทรัพย์” ใน เมื่อตุลาการเป็นในแผ่นดิน (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ bookscape, 2562) หน้า 162 – 169

[3] จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา พิมพ์ครั้งที่ 2 (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2532) หนังสือเล่มนี้พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2531   

[4] จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา ภาคสอง ปรัชญากฎหมายไทย (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2536)

[5] จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญาแนววิพากษ์ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์นิติธรรม, 2550)

[6] จรัญ โฆษณานันท์, อาชญาวิทยาแนววิพากษ์ และอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2558)

[7] จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา: หลักนิติธรรม สภาวะยกเว้นและปฐมบทแห่งคำพิพากษาแนวรัฐประหารนิยม-ตุลาการภิวัตน์ (2563

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save