AHMAD GHARABLI/AFP ภาพ
พลันที่ห่าจรวดของขบวนการฮามาสโปรยถล่มอิสราเอล อิสราเอลก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งโลก ขณะนี้ คนไทยก็คงจับตาติดตามปฏิบัติการทางทหารและผลการเจรจาปลดปล่อยตัวประกันชาวไทยอย่างใกล้ชิด
การโจมตีจากฮามาสนั้นเป็นภัยคุกคามความอยู่รอดของอิสราเอลอย่างร้ายแรง แต่ที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ ก่อนการโจมตีของฮามาสจะเริ่มนั้น อิสราเอลก็กำลังอยู่ภายใต้เงาวิกฤตร้ายแรงที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของรัฐแห่งนี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2023 เป็นต้นมา รัฐบาลอิสราเอลของเบนจามิน เนทันยาฮูต้องเผชิญกับคลื่นการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศด้วยคนหนุ่มสาวนับแสนต่างลงถนนเพื่อต่อต้านนโยบายรัฐบาล
หากอยากจะเข้าใจวิกฤตฮามาส การเข้าใจวิกฤตรัฐธรรมนูญอิสราเอลก็อาจเป็นเรื่องจำเป็น
วิกฤตรัฐธรรมนูญอิสราเอลเริ่มตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ปลายเดือนธันวาคม 2022 เมื่อเบนจามิน เนทันยาฮูสามารถจับมือกับพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ หลังจากปีใหม่ 2023 ไม่กี่วัน พรรค Likud ก็เสนอร่างกฎหมายหลายฉบับเพื่อปฏิรูปตุลาการ ใจความหลักคือจำกัดอำนาจตุลาการในการตรวจสอบฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะให้อำนาจรัฐสภาในการลบล้างคำพิพากษาศาลที่สั่งให้กฎหมายขัดรัฐธรรมนูญนั้นสิ้นผลไป การเปลี่ยนแปลงวิธีการแต่งตั้งตุลาการ และห้ามศาลใช้หลักความสมเหตุสมผลในการเข้ามาตรวจสอบการกระทำของรัฐบาล แผนการของเนทันยาฮูถูกประณามอย่างรุนแรง ไม่ใช่เฉพาะจากสภาวิชาชีพและตุลาการเท่านั้น แต่หนุ่มสาวจำนวนมากในเมืองใหญ่ๆ ต่างพากันลงถนนประท้วงแผนการดังกล่าว
การประท้วงดำเนินไปยาวนานหลายเดือนและขยายวงออกไป นอกจากแรงงานภาคธุรกิจหรืออาจารย์มหาวิทยาลัยแล้ว ยังลามไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ แม้กระทั่งกองกำลังป้องกันตัวเองหรือหน่วยข่าวกรองก็มีข่าวร่วมประท้วงด้วยแม้จะไม่เปิดเผยก็ตาม ด้วยเหตุนี้เอง หลายคนสันนิษฐานว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงของอิสราเอลหละหลวมจนเกิดโศกนาฏกรรมฮามาสได้ในที่สุด
ทำไมถึงต้องประท้วง
อิสราเอลนั้นมีภาพที่ขัดแย้งกันสุดขั้วหลายประการ ในด้านหนึ่ง อิสราเอลเป็นรัฐเสรีประชาธิปไตยในภูมิภาคที่เกือบทั้งหมดปกครองด้วยเผด็จการในรูปแบบต่างๆ กัน ในทางเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสูง ด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีศาลสูงสุดที่ก้าวหน้า มีนักกฎหมายระดับโลกจำนวนมาก ในขณะเดียวกันก็เป็นรัฐที่มีภาพการกดขี่ข่มเหงประชากรปาเลสไตน์ การใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วน มีประชากรเคร่งศาสนาสุดโต่งไม่น้อย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนั้นอิสราเอลได้ขายเทคโนโลยีสอดแนมเพกาซัสให้แก่เผด็จการทั่วโลกไว้เจาะข้อมูลโทรศัพท์ของนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย ความแตกต่างทั้งหมดนี้ สะท้อนหลักการพื้นฐานของรัฐอิสราเอลที่ยึดถือไว้ตั้งแต่ประกาศเอกราช คือ อิสราเอลเป็นรัฐประชาธิปไตยและรัฐยิว (democratic and Jewish state) ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองประการนี้ดูจะไม่อาจเข้ากันได้ จึงปรากฏเป็นภาพสองขั้วในสังคม
ในทางการเมือง พรรคการเมืองฝ่ายขวาโหนกระแสประชานิยม อิงพวกสุดโต่งทางศาสนา ต่อต้านคุณค่าเสรีนิยม อิงพวกสุดโต่งคลั่งชาติ เหยียดประชากรอาหรับ ในขณะที่ศาลกลายมาเป็นตัวแทนของฝ่ายเสรีนิยมโดยไม่ตั้งใจ ตีความกฎหมายอย่างก้าวหน้า ส่งเสริมหลักการสิทธิมนุษยชน ขัดขืนความพยายามของพรรคการเมืองฝ่ายขวาที่จะยึดกุมอำนาจการเมืองให้เบ็ดเสร็จหรือทำลายหลักการพื้นฐานด้านสิทธิเสรีภาพ
ความพยายามจะปฏิรูปศาลของเนทันยาฮูจึงถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายรัฐอิสราเอล ที่ร้ายกาจคือภัยคุกคามนี้ไม่ได้มาจากภายนอก ไม่ได้มาจากสงคราม แต่มาจากภายในเองที่สังคมแตกแยก ประชากรจำนวนไม่น้อยเห็นว่าศาลเป็นพวกชนชั้นสูงที่ต่อต้านเสียงข้างมากของประชาชน จึงเป็นต้องรื้อถอนให้หมดอำนาจลงไป รัฐบาลเองเตรียมกฎหมายอีกจำนวนมากเพื่อลดอำนาจศาลลงไปอีก หากกฎหมายชุดแรกผ่านรัฐสภาสำเร็จ ประชากรอีกส่วนต้านทานสุดความสามารถ นานนับเดือนที่พวกเขาเช้าไปทำงาน เย็นเจอกันบนถนน เคราะห์ดีของอิสราเอลคือตำรวจอิสราเอลไม่ใช่ตำรวจไทย ระดับความรุนแรงที่พวกเขาเจอต่างจากเยาวชนไทยลิบลับ
ขณะนี้ วิกฤตฮามาสเข้ามายุติกระแสต่อต้านเนทันยาฮูชั่วคราว ขณะที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอลกำลัง ‘เล่นใหญ่’ เพื่อกลบเกลื่อนความไม่พอใจรัฐบาลเนื่องจากความพยายามปฏิรูปศาล โดยผลักต้นทุนให้ชาวปาเลสไตน์รับไป
การปฏิรูปศาลนั้นบางครั้งก็จำเป็น ฝ่ายการเมืองควรมีอำนาจและเครื่องมือเพื่อต่อกรกับศาลที่ลุแก่อำนาจ หรือต่อต้านหลักการเสียงข้างมาก แต่ในหลายกรณี การปฏิรูปศาลเป็นข้ออ้างของนักการเมืองเพื่อสร้างเกราะคุ้มกันความรับผิดของตน ความเข้าใจว่าอะไรคือการปฏิรูปศาลที่ดีหรือไม่ดีจึงสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่ทำไม่ได้เสียเลย มิเช่นนั้นก็อาจกลายเป็นรัฐบาลโดยศาล แต่หากทำได้หมดทุกอย่าง ก็สิ้นประชาธิปไตย สิ้นนิติธรรมเช่นกัน ในกรณีอิสราเอลนี้ ที่น่าสนใจคือความขัดแย้งระหว่างศาลกับรัฐบาลต่างจากของไทยเป็นคนละขั้ว