5 กำแพงที่ต้องทลายเพื่ออนาคตดิจิทัลของไทย

5 กำแพงที่ต้องทลายเพื่ออนาคตดิจิทัลของไทย

สันติธาร เสถียรไทย เรื่อง

กฤตพร โทจันทร์ ภาพประกอบ

 

โควิด-19 เปิดแผลหลายแห่งที่เรามีอยู่แต่เดิมให้เห็นชัดขึ้น

เมื่อเทรนด์โลกดิจิทัลที่มาแรงอยู่แล้วถูกเร่งให้มาถึงเร็วขึ้นอีก ยิ่งทำให้เห็นถึงช่องว่างระหว่างคนที่เข้าถึงและคนที่เข้าไม่ถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Divide) ชัดเจนมากยิ่งขึ้น 

เมื่อไวรัสเปลี่ยนอนาคตอย่างถาวร เทคโนโลยีแปลงสภาพจาก ‘อาหารเสริม’ ที่คนและธุรกิจใช้เสริมกำลังตัวเองเมื่อต้องการ กลายเป็นเสมือน ‘น้ำดื่ม’ หรือสิ่งจำเป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้

แต่ปัจจุบัน ประเทศไทยยังเสมือนมี ‘กำแพงสูง’ กั้นคนและธุรกิจจำนวนมากให้เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีดิจิทัลเหล่านี้ 

การศึกษาของ Sea ร่วมกับ World Economic Forum ชี้ให้เห็นถึง ‘5 กำแพงใหญ่’ ที่เราต้องทลายลง

 

กำแพงที่ 1 การเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต 

 

แม้ตัวเลขระดับประเทศจะบอกว่าคนไทยกว่า 75% สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แล้ว แต่วิกฤตโควิด-19 ทำให้เห็นว่า เพียงแค่การเข้าถึงนั้นยังไม่เพียงพอ เพราะต้องมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตคุณภาพดีในราคาไม่แพงสำหรับการใช้อย่างต่อเนื่องด้วย

จากแบบสำรวจของ Sea-WEF 36% ของกลุ่มสำรวจมองว่า คุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการทำงานและเรียนในช่วงโควิด-19 ส่วนคนในกลุ่มสำรวจอีก 28% ตอบว่า ปัญหาคือค่าอินเทอร์เน็ตแพงเกินไป

ปัญหาเกี่ยวกับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตพบบ่อยมากที่สุดในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่จังหวัดนอกกรุงเทพ และคนในวงการการศึกษา ทั้งนักเรียนและครูที่อาจต้องปรับตัวไปใช้การเรียนผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเข้มข้นขึ้น 

ในวันที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของชีวิตคนในทุกๆ มิติ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอาจกลายเป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐานที่ทุกคนควรมี และควรเป็นจุดโฟกัสสำคัญของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อไป

 

กำแพงที่ 2 กฎหมายและระเบียบกติกาที่ไม่เอื้อ

 

กฎกติกาที่รกรุงรังและล้าสมัยเปรียบเสมือนเป็นสายไฟพันกันระโยงระยาง สะสมมาเป็นนานปี หากไฟไม่เดิน เราอาจจะรู้ว่าปัญหามาจากสายไฟ แต่ไม่รู้ว่ามาจากเส้นไหนกันบ้าง ซ่อมสายหนึ่งปรากฎไปติดอยู่ที่อีกสาย ตัดผิดสายก็อาจดับทั้งระบบ!

ปัญหานี้เป็นอุปสรรคในการทำธุรกิจ ฉุดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทั้งในโลกออฟไลน์และออนไลน์

ยกตัวอย่างเช่น เราอาจมีอุปกรณ์พร้อมสำหรับประชุมออนไลน์ แต่อาจมีกฎกติกากำหนดไว้ว่า ห้ามไม่ให้ประชุมออนไลน์ 100% ต้องมีคนอยู่ในห้องเดียวกันครบสัดส่วนหนึ่ง หรือห้ามมีคนอยู่ต่างประเทศ (ซึ่งกรณีนี้ ต้องชมรัฐบาลไทยที่รีบปลดล็อกตั้งแต่ไตรมาสสอง)

เราอาจมีเอกสารต่างๆ เป็นไฟล์ดิจิทัลแล้ว แต่กฎหมายยังกำหนดให้ต้องไปจัดการเอกสารที่หน่วยงานรัฐด้วยตนเอง ยังต้องเซ็นเอกสารบนกระดาษ ไม่ยอมรับลายเซ็นแบบ E-signature

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแค่ตัวอย่างของกฎหมายและกติกาที่เคยมีความจำเป็น แต่กลับกลายมาเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่โลกดิจิทัล

จากการศึกษาของ Sea-WEF พบว่า คนที่มองกฎกติกาภาครัฐเป็นอุปสรรคในการทำงานมีสัดส่วนไม่สูงนัก แต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน คนไทยที่บ่นเรื่องนี้ในสัดส่วนที่สูงที่สุด และที่สำคัญ กลุ่มคนที่พูดถึงปัญหานี้มากที่สุดคือคนที่ทำงานในภาครัฐ! 

การแก้กฎเรื่องการประชุมออนไลน์ โครงการดิจิทัลไอดีแห่งชาติ หรือการสร้างมาตรฐาน e-invoice ล้วนเป็นทิศทางที่ดี แต่เราควรใช้วิกฤตปัจจุบันมาเป็นแรงผลักดันการปฏิรูป เร่งเครื่องการทำ Regulatory Guillotine หรือสังคายนากฎหมายแบบยกเครื่องอีกครั้ง

ผลประโยชน์ที่ได้รับอาจไม่แพ้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ เลยทีเดียว จากการศึกษาของทีดีอาร์ไอพบว่า กฎหมายและระเบียบการขออนุญาตต่างๆ สร้างต้นทุนประชาชนประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี และหากมีการตัดโละกฎหมายที่ไม่จำเป็น ภาคเอกชนจะสามารถประหยัดต้นทุนลงได้ราว 1.3 แสนล้านต่อปี หรือเทียบเท่าร้อยละ 0.8 ของ GDP ปี 2561

 

กำแพงที่ 3 การขาดทักษะดิจิทัล

 

แม้จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ แต่หากขาดทักษะในการนำเทคโนโลยีไปใช้ประโยชน์ก็ย่อมเกิดปัญหาเช่นกัน จากการศึกษาต่อเนื่องมาหลายปี พบว่าทักษะโลกดิจิทัลที่จำเป็นมีอยู่ 2 ระดับ

ระดับแรกคือ ทักษะดิจิทัลพื้นฐานที่ทุกคนควรมี เสมือนเทควันโด้สายขาว มีทั้งเชิง ‘รุก’ อย่างการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ทำงาน บริหารการเงิน ทำธุรกิจ เรียนรู้ออนไลน์ และเชิง ‘รับ’ เช่น ความรู้ความเข้าใจเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือการรู้ทันข่าวปลอม ฯลฯ

ในการศึกษาของ Sea-WEF พบว่า คนที่ขาดทักษะดิจิทัลพื้นฐานจะประสบปัญหาในการทำงาน-เรียนช่วงโควิด-19 มากกว่าคนกลุ่มอื่นอย่างมีนัยนะสำคัญ แม้จะมีการศึกษาเท่ากัน มาจากจังหวัดเดียวกันก็ตาม

นอกจากนี้ยังพบว่าคน Gen Z ซึ่งมีอายุ 16-25 ปี อาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลประกอบอาชีพมากกว่าคน Gen Y เสมอไป แม้กลุ่มแรกจะเกิดมากับเทคโนโลยีดิจิทัลก็ตาม ดังนั้น การอบรมสร้างทักษะดิจิทัลพื้นฐานต้องทำกับคนทุกกลุ่ม ไม่ใช่กับเพียงแค่คน ‘รุ่นใหญ่’ เท่านั้น

ระดับที่สองคือ ทักษะดิจิทัลขั้นสูง เสมือนเทควันโด้สายที่มีสีต่างๆ ไล่ขึ้นถึงขั้นสายดำ คือทักษะที่สามารถดีไซน์ ปรับ หรือสร้างเทคโนโลยีดิจิทัลได้ เช่น Coding วิเคราะห์ Big Data ปัญญาประดิษฐ์ ฯลฯ 

หัวใจของการแข่งขันในโลกดิจิทัลไม่ใช่แค่มีข้อมูลเท่านั้น แต่ต้องมีคนที่มีความสามารถขั้นสายดำในการเปลี่ยน ‘ข้อมูล’ เป็น ‘องค์ความรู้’ และปัญญาที่แก้ปัญหาต่างๆ ในโลกได้ คนเหล่านี้คือสินทรัพย์ที่แท้จริงของบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ตอัปที่ประเทศไทยต้องทั้งสร้างและดึงดูด หากต้องการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทย

 

กำแพงที่ 4 การขาด Entrepreneurial Mindset 

 

คนที่หันมาใช้เทคโนโลยีแล้วประสบความสำเร็จ มักจะมีสิ่งที่เรียกว่า Entrepreneurial mindset หรือ ‘ทัศนคติผู้ประกอบการ’ เพราะเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมีทักษะเหล่านี้ แต่ขอย้ำว่าทุกคนก็มีได้ ไม่ว่าอาชีพไหนก็ตาม ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเจ้าของธุรกิจเท่านั้น 

ทัศนคติผู้ประกอบการ ประกอบด้วยส่วนผสม 4 ส่วน คือการรู้จัก ‘ล้ม-ลุก เรียนรู้ สร้างสรรค์ ร่วมฝัน’

ส่วนผสมแรก คือ Resilience (ล้ม-ลุก) หมายถึงความสามารถในการล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ ไม่ว่าจะโดนคลื่นซัดเข้ามาแบบไหน ก็ปรับตัวจนอยู่รอดได้ 

ส่วนผสมที่สอง คือ Growth mindset (เรียนรู้) หรือทัศนคติและความสามารถในการเรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง คิดเสมอว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ได้อย่างไร แค่เพียง ‘อยู่รอด’ จากการโดนคลื่นซัดจึงไม่พอ แต่ต้องใช้มันเป็นโอกาสในการเรียนรู้ให้แกร่งยิ่งกว่าเดิม

ส่วนผสมที่สาม คือ Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการหาทางแก้ปัญหาใหม่ๆ เพราะแม้พยายามจะเก่งขึ้นทุกวัน แต่หากใช้วิธีเดิมๆ ไม่ลองคิดนอกกรอบ แน่นอนว่าย่อมมีข้อจำกัด เสมือนเมื่อโดนคลื่นซัด บางคนอาจพยายามว่ายน้ำ แต่บางคนอาจหากระดานโต้คลื่นแล้วฝึกใช้จนเป็น ช่วยให้ขี่คลื่นไปข้างหน้าได้ไกลยิ่งกว่าเดิม

ส่วนผสมที่สี่ คือ Leadership หรือความเป็นผู้นำที่ดึงคนให้มาร่วมฝันและใช้ความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิด Collective Intelligence (ปัญญารวมหมู่) ในการแก้ปัญหา เพราะความสามารถของคนเพียงแค่คนเดียวไม่มีทางที่จะทำทุกอย่างเองได้ มีกระดานโต้คลื่นอย่างเดียวจึงไม่พอ ต้องสามารถชวนคนอื่นขึ้นมาได้ด้วย เสมือนมีเรือลำเดียวกันและฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกันได้

จากรายงาน Sea-WEF ชี้ให้เห็นว่าคนไทยรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งพอมีทักษะเหล่านี้ แม้อาจไม่ครบทุกข้อ แต่โดยประมาณ 63% ของกลุ่มคนเหล่านี้ตอบว่าใช้เวลาช่วงโควิด-19 ไปกับการปรับตัวให้พร้อมรับมือความเสี่ยงใหม่ เรียนรู้ทักษะใหม่ หรือพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ 

แต่คำถามสำคัญคือ เราจะสร้างและปลูกฝัง Entrepreneurial mindset ให้กับคนจำนวนมากกว่านี้ได้อย่างไร 

 

กำแพงที่ 5 การเข้าไม่ถึงแหล่งการเงิน

 

แม้จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้และมีทักษะต่างๆ แห่งยุคดิจิทัล แต่หลายคนไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ได้ เพราะปัญหาด้านการเงิน 

เมื่อต้องทำงานหาเช้ากินค่ำเพื่อให้อยู่รอดจ่ายหนี้ได้ในแต่ละวัน ก็ไม่มีเวลามาเรียนรู้หาทักษะใหม่ที่จำเป็นสำหรับอนาคต 

แม้มีไอเดียทำธุรกิจใหม่ก็ทำไม่ได้ เพราะขาดทุนที่จะใช้เริ่มต้นธุรกิจ เช่น การซื้อวัตถุดิบ 

หรือสตาร์ตอัปมีโซลูชันด้านดิจิทัลดีๆ แต่ขาดเงินทุนก็ไปต่อไม่ได้

การศึกษาของ Sea-WEF ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้ประกอบการ กลุ่มคนที่ทำงานรับจ้างผ่านแพลตฟอร์ม (Gig economy) และกลุ่มสตาร์ตอัปที่ล้วนไม่มีรายได้ประจำมักประสบปัญหาด้านการเงินมากเป็นพิเศษ 

จากการสำรวจยังพบด้วยว่า กลุ่มคนที่สายป่านสั้นอาจเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากธนาคาร โดยมีเพียง 25% ของคนกลุ่มที่มีปัญหาด้านการเงินที่บอกว่าพึ่งพาธนาคารในช่วงโควิด-19 ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะขาดสินทรัพย์ที่จะใช้เป็นหลักประกัน หรือขาดเอกสารสำคัญ เช่น สลิปเงินเดือน ประวัติการเงิน ฯลฯ ในขณะเดียวกันสัดส่วนคนที่ตอบว่าพึ่งเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสูงกว่าจากธนาคารเสียอีก

ในอนาคต เราอาจสามารถใช้โอกาสจากการที่คนอยู่ในโลกดิจิทัลมากขึ้น มีรอยเท้าดิจิทัล (Digital footprints) มากขึ้นมาช่วยสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งการเงิน (financial inclusion) ให้กับคนกลุ่มนี้ 

ส่วนภาครัฐควรเอาข้อมูลเหล่านี้มาสร้างตาข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Net) ให้แม่นยำขึ้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่อยู่นอกประกันสังคม ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่เข้าไม่ถึงแหล่งการเงินด้วยเพื่อซื้อเวลาให้คนมีโอกาสปรับตัว 

ส่วนภาคเอกชนควรผลักดันนวัตกรรมทางการเงิน อย่างที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามเปิดให้มีการพัฒนาทำสินเชื่อและแฟคเตอร์ริงดิจิทัลเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลจากรอยเท้าดิจิทัลมาช่วยประเมินความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ ลดการพึ่งพาหลักประกันและประวัติการเงินได้ 

 

แม้ 5 กำแพงนี้จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่โควิด-19 ทำให้เรา ‘สัมผัส’ ได้ว่ามันใหญ่ สูงและหนาแค่ไหน อย่างไรก็ดี การรับรู้ถึงการมีอยู่ของกำแพงเหล่านี้ คือก้าวแรกของการทลายมันลงด้วย ‘ฆ้อน’ ที่สร้างจากการยอมรับ เปิดใจและมุ่งมั่นจากทั้งฝ่ายรัฐบาล เอกชน วิชาการ และภาคสังคม

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

29 Nov 2023

ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้ : ทศ จิราธิวัฒน์

สำรวจธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ 76 ปีของอาณาจักรเซ็นทรัลในฐานะหลอดเลือดใหญ่ของภาคธุรกิจไทย 101 สนทนากับ ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูล ผู้มุ่งหมายอยากพาเซ็นทรัลและประเทศไทยไปเฉิดฉายบนเวทีโลก

กองบรรณาธิการ

29 Nov 2023

Economy

31 Jul 2023

เปิดเหลี่ยมมุม ‘service charge’ และ ‘ราคาบวกๆ’ เมื่อผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการที่ไม่ได้บริการ(?)

ราคาบวกๆ มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในความเป็นจริงนั้นเรามีสิทธิไม่จ่ายค่า service charge หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

31 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save