ย้อนไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo) ได้เสนอทฤษฎี ‘ความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ’ (Comparative Advantage) ที่ให้แนวคิดว่าหากมีการค้าเสรีระหว่างประเทศเกิดขึ้น ทุกคนจะได้รับประโยชน์ถ้วนทั่ว และปัญหาความไม่เท่าเทียมจะลดน้อยลงไปได้
ทฤษฎีนี้อาจสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เมื่อโลกาภิวัตน์เริ่มต้นขึ้นใหม่ แต่เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านมา กลับกลายเป็นว่า แม้หลายประเทศจะมั่งคั่งขึ้นจากโลกาภิวัตน์ก็จริงอยู่ แต่ความเหลื่อมล้ำกลับถ่างกว้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำภายในประเทศหรือระหว่างประเทศ
นี่คือข้อสังเกตที่เอริก มัสกิน (Eric Maskin) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2007 ค้นพบจนนำไปสู่การศึกษาหาสาเหตุแท้จริงที่ทำให้โลกาภิวัตน์ไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ตามทฤษฎีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ
มัสกินชี้ว่าในโลกความเป็นจริง แรงงานมีระดับทักษะหลากหลาย โดยมีทั้งแรงงานทักษะสูงและแรงงานทักษะต่ำ แต่ภายใต้โลกที่มีห่วงโซ่การผลิตเชื่อมโยงกันนี้ แรงงานทักษะสูงในแต่ละประเทศได้รับโอกาสทางการงานและรายได้ที่สูงกว่า ขณะที่แรงงานทักษะต่ำถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จึงเป็นที่มาของความเหลื่อมล้ำที่ขยายกว้างขึ้นในโลกยุคโลกาภิวัตน์ โดยมัสกินเสนอว่าหนทางที่จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ ไม่ใช่การพาโลกออกจากโลกาภิวัตน์ แต่รัฐต้องพัฒนาทักษะของแรงงานระดับล่างให้สามารถขึ้นมามีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากโลกาภิวัตน์มากขึ้น
มัสกินได้นำเสนอแนวคิดนี้ในการปาฐกถาที่จัดขึ้นมาแล้วในหลายประเทศทั่วโลก โดยล่าสุดคือที่ประเทศไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นคืองานปาฐกถา Chulalongkorn University BRIDGES Nobel Laureate Talk Series ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “Why globalization has failed to reduce inequality” ที่จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ International Peace Foundation นับเป็นการมาปาฐกถาที่ประเทศไทยเป็นครั้งที่ 3 ของมัสกิน
แนวคิดนี้ได้ถูกนำมาพูดครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดชั่วระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา แม้ตัวแนวคิดเองจะสอดคล้องกับสภาพการณ์ของโลกที่เราเห็นกันมาตลอดก็จริงอยู่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงเวลาไม่กี่ปีมานี้มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องย้อนหันมามองทฤษฏีของมัสกินใหม่ ทั้งปรากฏการณ์การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) จากการกีดกันทางการค้าและสงครามการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจนห่วงโซ่การผลิตโลกเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยง รวมถึงการเกิดขึ้นของวิกฤตโควิด-19 ที่เขย่าภาพสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของโลก ตลอดจนเทคโนโลยีการผลิตที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนอาจเป็นความท้าทายในการพัฒนาทักษะแรงงาน
ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปมหาศาลนี้ มัสกินได้เห็นอะไรมากขึ้นบ้าง และทฤษฎีของเขายังคงอธิบายสภาพเศรษฐกิจในวันนี้ได้อยู่หรือไม่ 101 ชวนฟังแนวคิดของมัสกินจากการสนทนากันเป็นการส่วนตัวแบบสั้นๆ หลังเวที
ขอขอบคุณสำหรับปาฐกถาในวันนี้ แต่ผมมีคำถามที่อยากชวนคุณคุยต่อจากปาฐกถาของคุณ เนื่องจากเราเห็นได้ชัดว่าทุกวันนี้กระแส deglobalization และ decoupling (การแยกห่วงโซ่อุปทาน) กำลังมาแรง นี่ทำให้คุณต้องทบทวนทฤษฎีคุณใหม่ไหม แล้วคุณคิดว่าหากเราออกจากยุคโลกาภิวัตน์จริงแล้ว สภาพความเหลื่อมล้ำของโลกจะเป็นไปในทิศทางไหน
deglobalization และ decoupling จะเป็นความผิดพลาด และเราไม่ควรให้มันเกิดขึ้น ผมว่าที่กระแสนี้เติบโตขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีคนจำนวนมากถูกทิ้งไว้ข้างหลังจากกระแสโลกาภิวัตน์ เขาถึงได้ขึ้นมาต่อต้าน ด้วยการเลือกผู้นำที่มีแนวคิดต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ (อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ) ขึ้นสู่อำนาจ
อย่างไรก็ตาม การพยายามออกจากโลกาภิวัตน์จะไม่สามารถช่วยให้ชีวิตใครดีขึ้น เพราะอย่างไรเสียโลกาภิวัตน์ก็เป็นบ่อเกิดของการเติบโตทางเศรษฐกิจ การไม่เอาโลกาภิวัตน์ย่อมหมายถึงการตัดวงจรการเติบโต ซึ่งท้ายที่สุดก็จะยิ่งไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นทางแก้ที่ดีกว่านั้นคือโลกาภิวัตน์ยังต้องคงอยู่ แต่ต้องมีความพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนที่ขาดโอกาสจากยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้ทุกคนมีโอกาสได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยแนวทางที่ผมได้พูดไปแล้วตอนปาฐกถา นั่นคือการยกระดับทักษะของคน ผ่านการฝึกทักษะแรงงานและการศึกษา
นอกจากเรื่องนี้แล้ว เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา โลกต้องเผชิญวิกฤตการระบาดของโควิด-19 คุณได้มองเห็นผลประทบของวิกฤตนี้ที่มีต่อหน้าตาความเหลื่อมล้ำของโลกอย่างไรบ้าง
เห็นได้ชัดเจนว่าคนจนคือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ซึ่งก็ตอกย้ำความจริงชัดเจนว่าเขาคือกลุ่มคนที่เปราะบางยิ่งกว่าอื่นๆ ยามเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต และแน่นอนว่าสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำยิ่งย่ำแย่ลง
แต่ผมว่านี่คือผลที่เกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเวลาต่อมาถือว่าเราสามารถฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้ค่อนข้างดี อย่างประเทศของผมเอง (สหรัฐอเมริกา) เศรษฐกิจก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เช่นเดียวกับหลายประเทศในยุโรป แต่ทางด้านประเทศจีนดูเหมือนจะเป็นกรณีที่สวนทางกับประเทศอื่นๆ เพราะไม่สามารถฟื้นตัวได้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นผลจากทิศทางนโยบายที่ผิดพลาด แต่อย่างไรเสียทุกวันนี้ผลกระทบจากโควิดก็บรรเทาลงไปแล้ว มันเป็นแค่วิกฤตในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว
อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่เราได้เห็นในช่วงไม่กี่ปีมานี้คือเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เช่น เอไอที่กำลังถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น คุณคิดว่าเทคโนโลยีที่พัฒนามาอย่างรวดเร็วนี้ทำให้การพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำตามข้อเสนอของคุณเป็นเรื่องท้าทายขึ้นหรือไม่
แน่นอน การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีใหม่มักจะทำลายบางตำแหน่งงานเสมอ และนับตั้งแต่อดีต เราเห็นได้ว่าเทคโนโลยีใหม่มักทำลายตำแหน่งงานของแรงงานระดับล่างมากกว่าแรงงานระดับบน ซึ่งนั่นก็ย่อมทำให้ความเหลื่อมล้ำถ่างกว้างขึ้น
อย่างไรก็ตาม การทำลายตำแหน่งงานนั้นมักเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาว มันจะสร้างตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น อย่างเช่นในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมสมัยศตวรรษที่ 19 ที่การเข้ามาของเครื่องจักรต่างๆ ทำให้เกิดการเลิกจ้างแรงงานหลายคน แต่ในที่สุดผู้ประกอบการก็สามารถหาทางทำให้แรงงานกับเครื่องจักรทำงานร่วมกัน จนเกิดประสิทธิภาพการผลิตที่มากขึ้นกว่าเดิม แรงงานระดับล่างก็ได้รับอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นมาก ซึ่งนั่นช่วยให้ความเหลื่อมล้ำลดลง
ส่วนในยุคปัจจุบันที่เอไอกำลังเข้ามา ตอนนี้อาจยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่ามันจะส่งผลอย่างไร แต่ถ้าดูจากบทเรียนทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผมยังหวังว่าสถานการณ์จะยังคล้ายเดิม นั่นคือแรงงานอาจตกงานในระยะสั้นเท่านั้น แต่สุดท้ายก็จะเกิดตำแหน่งงานใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแรงงานก็ต้องได้รับการพัฒนาทักษะ ซึ่งทุกวันนี้บอกได้ว่าการศึกษาและการฝึกฝนทักษะแรงงานเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่ายุคสมัยใดๆ ที่ผ่านมา
สังเกตว่าทุกวันนี้รัฐบาลหลายประเทศใช้มาตรการให้เงินอุดหนุนประชาชนเพื่อไปพัฒนาทักษะของตัวเอง คุณว่าแนวทางนี้เพียงพอหรือไม่
ผมว่านโยบายลักษณะนี้มาถูกทางแล้ว ผมเห็นด้วยอย่างมาก
ข้อเสนอแนะหลักของคุณคือเรื่องการพัฒนาทักษะแรงงาน แต่มีแนวทางอื่นอีกไหมที่คุณคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ดี
อีกทางหนึ่งก็คือการใช้นโยบายจัดสรรทรัพยากรใหม่ (redistribution) แต่ผมเองก็ยังไม่มั่นใจนักที่จะยกแนวทางนี้เป็นแนวทางหลักในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะมันก็มีผลเสียคือทำให้คนเสพติดการพึ่งพารัฐ ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่หนทางที่ดี
มันมีแนวคิดในการใช้นโยบายแจกเงินประชาชนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ อย่างรัฐบาลไทยในปัจจุบันก็มีการออกนโยบายแจกเงินคนละ 10,000 บาทออกมา โดยยกเหตุผลข้อหนึ่งว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าว คุณคิดเห็นอย่างไรกับการใช้นโยบายลักษณะนี้
จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าผมต่อต้านการใช้นโยบายแนวนี้ แต่ผมว่ามันจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาลงไปถึงฐานราก แม้ในระยะสั้น มันจะช่วยให้ประชาชนที่ลำบากขัดสนพอมีเงินประทังชีวิตได้มากขึ้นบ้าง แต่ในที่สุดรากเหง้าของปัญหาความเหลื่อมล้ำก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะฉะนั้นการแจกเงินเป็นนโยบายที่ช่วยได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ควรต้องใช้นโยบายที่จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน
จากที่คุณบอกว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำมีที่มาจากโลกาภิวัตน์ เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ปัญหานี้ได้ มันอาจต้องใช้กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศด้วยเลยหรือเปล่า
เราอาจจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศสำหรับหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่สำหรับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผมคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องแก้ไขกันเอง เพราะที่จริงมันเป็นปัญหาภายในประเทศมากกว่าที่จะเป็นปัญหาระดับระหว่างประเทศ
คุณเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ผมเชื่อว่าคุณอาจต้องเรียนรู้ถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยอยู่พอสมควร คุณมองความเหลื่อมล้ำที่นี่อย่างไร
ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยจะลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เห็นได้จากค่าสัมประสิทธิ์จีนี (Gini Coefficient – ดัชนีชี้วัดความเหลื่อมล้ำ) ที่แต่ก่อนอยู่ที่ประมาณ 41 ซึ่งถือว่าสูงสุดประเทศหนึ่ง แต่ตอนนี้มันลดลงมาอยู่ที่แถวๆ 36 ซึ่งมันอาจจะสะท้อนว่านโยบายที่ประเทศไทยใช้กำลังมาถูกทาง