เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยเผยแพร่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ประกาศหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่ ที่ระบุให้คุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพว่า “เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามที่กฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด”
นี่นับเป็นการสิ้นสุดการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราแบบ ‘ถ้วนหน้า’ ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2552 ไปสู่การคัดเกณฑ์จากรายได้ โดยที่ผ่านมา เบี้ยยังชีพคนชราเป็นสิทธิในการเข้าถึงเงินบำนาญของผู้สูงอายุที่อายุครบ 60 ปีขึ้นไป และมีเงื่อนไขในการรับสิทธิประการเดียวคือต้องเป็นผู้ที่ไม่ได้รับสวัสดิการอื่นอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2565 โดยมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีเป็นจำนวนเกือบ 20% ของประชากรทั้งหมด การผลัดเปลี่ยนรูปแบบการรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเช่นนี้ ไม่มากก็น้อย ย่อมส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้สูงวัยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
101 คุยกับคนที่อายุเกิน 60 ปีและที่กำลังจะอายุครบ 60 ปี ว่าการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การรับเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุนี้ กระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่พวกเขาในมิติใดบ้าง