เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ศูนย์กลางอยู่ที่ประเทศเมียนมา สะเทือนไกลถึงประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง รวมถึงกรุงเทพมหานคร ผู้คนรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้อาคารสูงหลายแห่งได้รับความเสียหาย คนจำนวนมากต้องอพยพออกจากอาคารอย่างเร่งรีบ โดยขาดการซักซ้อมและแนวทางปฏิบัติ ซึ่งประเด็นปัญหาที่ผู้คนวิจารณ์อย่างหนักคือการแก้ไขปัญหาจากภาครัฐและระบบเตือนภัยล่วงหน้า
แม้หลายฝ่ายจะยืนยันว่าแผ่นดินไหวเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้ แต่ความจริงแล้ว หากลองเปรียบเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกันเองอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้จะพบว่า มีระบบเตือนภัยล่วงหน้ามานานเป็นสิบปีแล้ว แม้จะเป็นการเตือนภัยก่อนเกิดเหตุในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที แต่ก็พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยชีวิตคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างที่เราทราบว่าญี่ปุ่นเป็นผู้นำด้านการพัฒนาระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว โดยสำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) พัฒนาระบบ EEW (Earthquake Early Warning) ที่ทำงานโดยอาศัยหลักการตรวจจับคลื่น P (Primary wave) ซึ่งเคลื่อนที่เร็ว 6-7 กิโลเมตรต่อวินาทีและสร้างความเสียหายน้อย และคลื่น S (Secondary wave) ที่เคลื่อนที่ช้ากว่าที่ 3-4 กิโลเมตรต่อวินาทีแต่สร้างความเสียหายรุนแรงกว่า
ด้วยความแตกต่างของความเร็วระหว่างคลื่นทั้งสองประเภท ญี่ปุ่นจึงพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ที่จะตรวจจับคลื่น P และวิเคราะห์ความรุนแรงของแผ่นดินไหว เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยก่อนที่คลื่น S ซึ่งก่อความเสียหายรุนแรงจะมาถึง
ส่วนการติดตั้งเครือข่ายเครื่องวัดแผ่นดินไหวครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้สามารถตรวจจับและวิเคราะห์แผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ เมื่อระบบตรวจพบคลื่น P จะประมวลผลและส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังเจ้าหน้าที่ภายใน 1 วินาที และแจ้งเตือนประชาชนภายใน 4-20 วินาที
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมีระบบเจ-อะเลิร์ต (J-Alert) ซึ่งเริ่มใช้งานในปี พ.ศ. 2550 เป็นระบบแจ้งเตือนผ่านดาวเทียมที่ส่งสัญญาณเตือนภัยถึงประชาชนโดยตรงผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่ ระบบเสียงตามสาย โทรทัศน์ วิทยุ อีเมล และข้อความทางโทรศัพท์มือถือ ระบบนี้ยังสามารถแจ้งเตือนภัยคุกคามอื่นๆ ได้ด้วย เช่น สึนามิและขีปนาวุธ
กลไกที่ออกแบบมาให้แจ้งเตือนสาธารณะ เมื่อคาดการณ์ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงตั้งแต่ระดับ 5 ขึ้นไปตามมาตรวัดของญี่ปุ่น แม้จะมีเวลาเตรียมตัวเพียงไม่กี่วินาที แต่ก็เพียงพอให้ประชาชนหาที่หลบภัยได้ทัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่า ในหลายกรณีความเสียหายของแผ่นดินไหวไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่แผ่นดินไหว แต่เกิดหลังจากไหวไปสักพัก หรืออาฟเตอร์ช็อกหลังจากนั้น
เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่มีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพสูง โดยได้พัฒนาระบบ EEW และเริ่มใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ภายใต้การดูแลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาเกาหลี (Korea Meteorological Administration – KMA)
ระบบของเกาหลีใต้ ประกอบด้วยเครือข่ายเครื่องวัดแผ่นดินไหว 150 สถานีทั่วประเทศ ทำหน้าที่ตรวจจับคลื่น P และประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ เพื่อระบุศูนย์กลางและประเมินความรุนแรงของแผ่นดินไหว เมื่อคาดการณ์ว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขนาดตั้งแต่ 5 แมกนิจูดขึ้นไป ระบบจะส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังประชาชนผ่านหลายช่องทาง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ และข้อความ SMS บนโทรศัพท์มือถือ โดย KMA ตั้งเป้าว่าในปี 2564 ระบบนี้จะสามารถแจ้งเตือนภายในเวลา 5-10 วินาที
ในระหว่างที่ประเทศอื่นพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพได้นานหลายปีแล้ว แต่ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถส่งสัญญาณเตือนประชาชนได้ทันเวลาเมื่อเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนจำนวนมากรายงานว่าไม่ได้รับข้อความแจ้งเตือนใดๆ จากหน่วยงานรัฐ ขณะที่บางคนกลับได้รับ SMS จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจนำมาซึ่งข้อมูลที่บิดเบือน ข่าวปลอม และข้อความหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ที่อาจสร้างความเสียหายตามมาอีก
แม้ระบบเตือนภัยฉุกเฉินของไทยในปัจจุบัน จะมีอยู่หลายระบบ ได้แก่ ระบบข้อความผ่าน SMS การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน THAI DISASTER ALERT ที่พัฒนาโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และการประกาศผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงช่องทาง LINE ALERT ที่กรุงเทพมหานครร่วมมือกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้คนขณะนี้ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ
หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว กสทช. ออกมายอมรับว่าระบบ SMS แจ้งเตือนภัยล่าช้า เนื่องจากข้อจำกัดการส่งข้อความของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือสามารถส่งได้ไม่เกินประมาณ 200,000 หมายเลขต่อครั้ง และอยู่ระหว่างปรับปรุง
สาเหตุหลักที่ทำให้ไม่มีการแจ้งเตือนภัยในวงกว้างคือ ระบบ Cell Broadcast Service (CBS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา จะแล้วเสร็จประมาณไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ระบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยได้พร้อมกันในทันที โดยไม่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าและไม่ต้องใช้เครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์
ขณะที่ขั้นตอนการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐที่ซับซ้อนเกินไป ต้องรอข้อความเตือนภัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งเป็นผู้กำหนดเนื้อหาข้อความ แม้ ปภ. จะแจ้งว่าได้ส่งข้อความให้ กสทช. แจ้งเตือนประชาชนทันที 4 ครั้ง เริ่มตั้งแต่เวลา 14.42 น. แต่การส่งต่อไปยังประชาชนยังเกิดความล่าช้า บางคนได้รับข้อความหลังเกิดแผ่นดินไหวไปแล้ว 7-10 ชั่วโมง และบางคนไม่ได้รับข้อความเลย
นอกจากนี้ แอปพลิเคชันของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และเว็บไซต์ของกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหวอาจยังไม่ครอบคลุม ทำให้ประชาชนไม่ทราบข้อมูลที่เป็นทางการ และยังมีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีถึงขั้นเป็นคนตำหนิระบบของรัฐว่า ข้อความที่แจ้งเตือนประชาชนไม่มีประโยชน์มากนัก และไม่ตรงตามความต้องการ สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการสื่อสารจากภาครัฐอย่างชัดเจน
เมื่อพิจารณาสถานการณ์และปัญหาต่างๆ ผ่านบทเรียนจากเหตุการณ์สึนามิปี 2547 และแผ่นดินไหวในปี 2568 จะเห็นว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตยังไม่ครอบคลุมทุกมิติของการจัดการภัยพิบัติ
ประเด็นสำคัญคือ แม้เราจะพัฒนาระบบเตือนภัยได้แล้ว โดยเฉพาะระบบ Cell Broadcast ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมของปี 2568 ก็ยังมีเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณาอีก ทั้งการสร้างระบบเครือข่ายเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวที่ครอบคลุมทั่วประเทศ การเชื่อมโยงระบบสื่อสารกับข้อมูลแผ่นดินไหวโดยตรง รวมไปถึงการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่จะช่วยให้การสื่อสารจากรัฐสู่ประชาชนมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้การพัฒนาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอ สิ่งที่ขาดหายไปในการรับมือกับภัยพิบัติคือการฝึกซ้อมและให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพราะระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพจะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อประชาชนมีความรู้และความพร้อมที่มากพอ เมื่อได้รับการแจ้งเตือนจึงจะปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง
อ้างอิง :
- Japan Meteorological Agency (JMA)
- Korea Meteorological Administration (KMA)
- กรมอุตุนิยมวิทยา
- กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา