พะยูน
ภาพถ่ายที่ปรากฏขึ้นมาตามสื่อต่างๆ ในรอบปี 2567 คงไม่มีภาพใดสะเทือนใจไปกว่าภาพ ‘พะยูนถูกตัวหัวลอยตายในทะเลภูเก็ต’ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
‘พะยูน’ เป็นสัตว์ป่าสงวนชนิดหนึ่งตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และยังเป็นสัตว์น้ำชนิดแรกของประเทศไทยที่ได้รับการกำหนดให้เป็นสัตว์ป่าสงวน ตลอดจนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในทะเลเขตอบอุ่นโดยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dugong dugon
แม้ว่าพะยูนถูกกำหนดให้เป็นสัตว์สงวน แต่ในปีนี้พะยูนกลับตายจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือหากนับตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบันนี้มีพะยูนตายไปแล้ว 35 ตัว หรือหากรวมปีก่อนพบว่ามีพะยูนตายรวมกันถึง 75 ตัวจากพะยูนในประเทศที่ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ฝั่งทะเลอันดามันซึ่งมีไม่ถึง 300 ตัว จากอัตราการตายที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวเช่นนี้ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยอาจกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์ของพะยูนในเมืองไทย
หลายคนคงจำได้ว่า ในช่วงหน้าแล้งที่ผ่านมาประเทศไทยก็เผชิญกับอากาศร้อนจัดมาตลอด ทุกพื้นที่ของประเทศไทยจะมีอุณหภูมิสูงสุดทำลายสถิติเท่าที่เคยมีมา โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ 44.6-44.9 องศาเซลเซียส จากความร้อนจัดดังกล่าวส่งผลให้น้ำทะเลอ่าวไทยและทะเลอันดามัน มีอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์หรือสูงเกิน 30 องศาเซลเซียสขึ้นไป อีกทั้งหญ้าทะเลไทยตายกว่า 10,000 ไร่ ปะการังฟอกขาวเสียหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเผยข้อมูลว่า ในปี 2567 เกิดสภาวะปะการังฟอกขาวประมาณ 60–80% ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนและสภาพภูมิอากาศแปรปรวน ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น จนปะการังเครียดและสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) ในเนื้อเยื่อปะการังและทำให้เห็นโครงสร้างหินปูนสีขาว
นอกจากนี้ จากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในท้องทะเลทำให้ ‘หญ้าทะเล’ ซึ่งเป็นอาหารหลักของพะยูน ตั้งแต่พื้นที่ในจังหวัดตรัง กระบี่ สตูล พังงา ขณะที่ฝั่งอ่าวไทยตั้งแต่จันทบุรี ตราด ตายเกือบหมดจากความร้อน โดยปกติพะยูนกินหญ้าทะเลวันละ 30 กิโลกรัม หรือโดยเฉลี่ยพะยูนหนึ่งตัวกินหญ้าทะเล 13-16 ไร่ แต่เมื่อไม่มีหญ้าทะเลในช่วงหน้าแล้งที่ผ่านมา เราจึงพบเห็นภาพของพะยูนผอมโซลอยตายหลายสิบตัวจากการขาดอาหารอย่างรุนแรง
พอหน้าแล้งผ่านไป อุณหภูมิของทะเลลดลง จนอาจทำให้ข่าวคราวเรื่องพะยูนตายก็หายไปพักใหญ่ แต่นักวิชาการผู้ติดตามปัญหาพะยูนมานานต่างตระหนักดีว่า หญ้าทะเลซึ่งเป็นอาหารของพะยูนไม่ได้เพิ่มปริมาณมากพอ ภาพพะยูนลอยตายในทะเลจึงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ และพะยูนผอมประมาณ 30 ตัว หนีตายหรืออพยพจากถิ่นเดิมที่ขาดแคลนหญ้าทะเลลงใต้สู่ทะเลภูเก็ตด้วยความหวังว่าอาจจะพอมีหญ้าทะเลอยู่บ้าง
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการทางทะเลได้เคยบันทึกไว้ว่า
“ผมรู้มา 3-4 ปีแล้วว่าหญ้าทะเลกำลังเริ่มแย่เพราะโลกร้อน พยายามทุกทางเท่าที่คิดออก พยายามไปก็รู้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นสักวัน
แล้วมันก็มาถึง เมื่อหญ้าทะเลที่ตรัง/กระบี่/สตูลพินาศสิ้น พะยูนกระเจิดกระเจิง บางส่วนหนีตายหาอาหารมาถึงอ่าวพังงา/ภูเก็ต จากนั้นพวกเธอก็จนตรอก
เลยขึ้นไปจากสารสินเป็นชายฝั่งเปิดโล่ง ไม่มีหญ้าทะเลอีกเป็นร้อยๆ กิโลเมตร พะยูนติดกับ พวกเธอได้แต่วนเวียนหาหญ้าทะเลที่เหลืออยู่บ้างที่ภูเก็ตและอ่าวพังงา
หญ้าไม่มีทางพอ พะยูนยิ่งหนีเข้ามา ยิ่งแย่งกันหาอาหาร หญ้าทะเลยิ่งหมดไป
หลายต่อหลายตัวจึงอดโซ จึงผอมโกรก จึงมีเพรียงเกาะเพียบ
ในขณะเดียวกัน พะยูนที่เหลืออยู่ในตรัง ก็เผชิญกับเหตุการณ์อาหารหมด หญ้าทะเลยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัว พะยูนผอมว่ายไปมาอย่างเชื่องช้า หิวโซ ป่วย ใกล้ตาย…”
แต่ครั้งนี้เมื่อพะยูนว่ายมาหาหญ้าทะเลที่ภูเก็ต สุดท้ายไม่ได้อดอาหารตายอย่างเดียว กลับถูกตัดหัวเพื่อเอาเขี้ยว
14 พฤศจิกายน 2567 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนบน จังหวัดภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบซากพะยูนถูกตัดหัวตายลอยอืดขึ้นมาอยู่บริเวณใกล้ท่าเทียบเรือบ้านบางโรง ตำบลป่าคลอก อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต จนสร้างความสะเทือนใจอย่างมาก
ผลการชันสูตรพบว่าเป็นพะยูนตัวผู้อยู่ในช่วงโตเต็มวัย ความยาวลำตัว 2.23 เมตร ไม่รวมส่วนหัว น้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม อีกทั้งยังเป็นซากเน่ามาก มีสภาพผอมขาดอาหารอย่างรุนแรง ในกระเพาะอาหารพบอาหารน้อยมาก และถูกของมีคมตัดหัวหลังจากพะยูนตายแล้ว เป็นรอยของมีคมตัดโดยรอบส่วนคอและส่วนหัว
คนร้ายไม่ได้ฆ่าพะยูน แต่ตัดหัวหลังจากที่พะยูนตายแล้ว เพื่อเอาเขี้ยวไปขายด้วยความเชื่อว่า เขี้ยวและกระดูกของพะยูนมีคุณสมบัติทางเมตตามหานิยม หรือมีชื่อเรียกเฉพาะในแวดวงการค้าในตลาดมืดว่า ‘งาช้างน้ำ’ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีราคาซื้อขายแพงมาก โดยมักนำไปทำเป็นหัวแหวนเหมือนกับหนามปลากระเบน นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเมื่อนำเขี้ยวพะยูนไปทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์จะทำให้มีอำนาจเพื่อให้เพศตรงข้ามลุ่มหลงคล้ายน้ำมันพราย
เมื่อพะยูนจำนวนมากลอยตายกลางทะเลจากการขาดอาหาร จึงล่อใจให้บรรดานักล่า ‘งาช้างน้ำ’ ออกมาลักลอบตัดเขี้ยวพะยูนไปขายในตลาดมืดที่ได้ราคาสูง แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย
เพียงแค่ 24 วันที่ผ่านมา ‘พะยูน’ ผอมโซตายกลางทะเลไปแล้ว 8 ตัว โดยมีผลชันสูตรร่างกายมาจากการขาดอาหาร จากการสูญเสียแหล่งหญ้าทะเล อีกทั้งในกระเพาะอาหารยังมีถุงพลาสติกด้วย ประเทศไทยสร้างขยะพลาสติกต่อประชากรสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก โดยส่วนใหญ่คือถุงพลาสติก ปีหนึ่งคนไทยทิ้งขยะพลาสติกประมาณ 7,000 ล้านชิ้นโดยส่วนใหญ่จะล่องลอยออกสู่ทะเล
ขยะพลาสติกทำให้สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในทะเลต้องตายลง จากการกินพลาสติกเหล่านี้ไปสะสมในร่างกาย แต่ละปีทั่วโลกมีนกทะเลตายหนึ่งล้านตัว รวมทั้งสัตว์ทะเลอื่นๆ อีกกว่า 100,000 ตัว ไม่รวมปลาอีกนับไม่ถ้วนจากการสะสมพลาสติกในร่างกายโดยไม่รู้ตัว พะยูนก็เป็นหนึ่งในเหยื่อของขยะพลาสติกที่ล้วนมาจากน้ำมือของมนุษย์ เช่นเดียวกับสาเหตุของการหายไปของหญ้าทะเลซึ่งเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้น ก็ล้วนมาจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น