fbpx
เป็นนักกีฬาแล้วโด๊ปยาทำไม

เป็นนักกีฬาแล้วโด๊ปยาทำไม

สำหรับนักกีฬา การใช้สารกระตุ้นอย่างจงใจนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรง และสุ่มเสี่ยงต่อการหมดอนาคต คำถามก็คือ แล้วเหตุใดนักกีฬาหลายคนจึงเลือกที่จะเสี่ยง อย่างที่เราเห็นในข่าวกันเป็นระยะ

 

ลองคิดเล่นๆ ก็ได้ว่า ถ้าคุณเป็นนักกีฬาระดับโลกที่ทำเงินได้เดือนละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนยูโร หรือราวๆ สี่ล้านบาท ยังไม่นับเงินก้อนโตที่ได้จากการเซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์กีฬาชื่อดัง ถ้าเกิดมีอะไรสักอย่างช่วยรั้งให้คุณอยู่ใน ‘จุดสูงสุด’ ไปได้เรื่อยๆ คุณคิดว่าน่าสนใจหรือเปล่า

เจ้าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้-นอกจากสารกระตุ้น!

ในเดือนตุลาคม ปี 2012 แลนซ์ อาร์มสตรอง (Lance Armstrong) นักปั่นจักรยานอันดับหนึ่งของโลกในขณะนั้น ถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้นโดยจงใจ โดยที่เพื่อนร่วมทีมทั้ง 11 คน รวมถึงทีมโค้ชและนักกายภาพบำบัด ต่างก็รู้เห็นเป็นใจด้วย

องค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นสหรัฐฯ ผู้เผยแพร่รายงานดังกล่าว บอกว่านี่เป็นแผนการใช้สารกระตุ้นที่ชาญฉลาด มีความเป็นมืออาชีพ และประสบผลสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการกีฬา

ขณะเดียวกันก็ทำให้บรรดาแฟนคลับของยอดนักปั่นรายนี้ที่มีอยู่ทั่วโลก ต่างช็อคไปตามๆ กัน เพราะไม่คาดคิดว่านักกีฬาผู้มีภาพลักษณ์เป็นนักสู้ (ช่วงปี 1990 เขาเคยต่อสู้กับโรคมะเร็ง ก่อนจะพลิกชีวิตมาสู่การเป็นนักปั่นจักรยานมือหนึ่ง) และเป็นขวัญใจของผู้คนมาตลอดหลายปี จะ ‘โกง’ ชัยชนะด้วยวิธีนี้

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังรับสารภาพอย่างหมดเปลือกอีกด้วยว่า เคยใช้สารกระตุ้นในการลงแข่งรายการ ตูร์ เดอ ฟรองซ์ มาแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง และทุกครั้งเขาเป็นผู้ชนะ แต่ในบางรายการที่ไม่ได้ใช้สารกระตุ้น เขากลับไม่สามารถเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่งได้ นั่นหมายความว่า สารกระตุ้นที่เขาใช้นั้นสามารถสร้างความแตกต่างและ ‘หวังผลได้’ นั่นเอง

เมื่อถูกถามว่าขณะที่ใช้สารกระตุ้น เขารู้สึกผิด หรือเคยรู้สึกหรือไม่ว่าตนเองกำลังโกง เขาตอบว่า “ไม่ แต่รู้สึกกลัว” และเปิดใจว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้าย แต่ทำลงไปเพราะกระหายความสำเร็จล้วนๆ

จากเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้อาร์มสตรองถูกยึดรางวัล ตูร์ เดอ ฟรองซ์ ทั้ง 7 สมัย และจบอาชีพปั่นจักรยานพร้อมตำนานอันสวยหรูของตัวเองลง ในวัย 41 ปี

ในช่วงแรก ดูเหมือนว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในแวดวงกีฬา หันมาเข้มงวดกับการใช้สารกระตุ้นมากขึ้น ทว่าในทางกลับกัน มันก็เป็นการชี้โพรงให้กระรอกด้วย

อดัม ฮาร์ททัง (Adam Hartung) คอลัมนิสต์แห่งนิตยสาร Forbes วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้กรณีของอาร์มสตรองจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เรายังคงพบเห็นกรณีที่นักกีฬาถูกจับได้ว่าใช้สารกระตุ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง แถมยังมีกลวิธีที่ซับซ้อนและแนบเนียนขึ้นอีกด้วย โดยเขาบอกว่าเหตุผลง่ายๆ ที่ทำให้เกิดการโกงในลักษณะนี้ ก็คือเรื่องของ ‘เม็ดเงินจำนวนมหาศาล’ นั่นเอง

อดัมเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่า แค่การเป็นนักกีฬาอันดับหนึ่งของโลก กับอันดับสองของโลก รายได้รวมถึงสปอนเซอร์ต่างๆ ที่ได้รับก็ต่างกันลิบลับแล้ว ไม่ต้องพูดถึงนักกีฬาฝีมือดาดๆ ที่ไม่อาจเทียบชั้นกับนักกีฬาระดับท็อป เพราะฉะนั้น ถ้าใครสักคนอยากประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้ ทางเลือกที่ดีที่สุด ก็คือการไปให้ถึงระดับท็อปให้ได้

ในเมื่อเดิมพันคือเงินก้อนโตที่พ่วงมากับผลประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย จึงไม่แปลกที่ใครสักคนจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมา หรือรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ให้นานที่สุด

นอกจากกรณีของอาร์มสตรอง ยังมีกรณีของนักกีฬาดังๆ อีกหลายคน ในหลายชนิดกีฬา ที่โดนตรวจและถูกกล่าวหาว่าใช้สารกระตุ้น อาทิ มาเรีย ชาราโปว่า (เทนนิส) วี.เจ.ซิง (นักกอล์ฟ) รวมถึง น้องเมย์-รัชนก อินทนนท์ นักแบตขวัญใจคนไทย ที่รอดพ้นจากการถูกลงโทษหลังตรวจพบสารกระตุ้นมาได้อย่างน่าใจหายใจคว่ำ

แน่นอนว่าเมื่อนักกีฬาสักคนถูกตรวจพบว่าใช้สารกระตุ้น ไม่แปลกที่นักกีฬาคนนั้นจะถูกสังคมตัดสินว่า ‘โกง’ ทันที

ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญซึ่งเป็นที่ถกเถียงในแวดวงกีฬามาสักระยะหนึ่งแล้ว ก็คือประเด็นที่ว่า “การโด๊ปถือเป็นการโกงหรือไม่” และ “ยาชนิดใดควรจัดอยู่ในประเภท ‘สารต้องห้าม’ บ้าง”

สองประเด็นนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน โดยมีข้อถกเถียงสำคัญว่า เหตุใดยาบางชนิดจึงถูกแบน แต่บางชนิดกลับไม่ถูกแบน เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง หรือวิตามินประเภทต่างๆ ทั้งที่มันก็มีคุณสมบัติในการ ‘เพิ่มศักยภาพ’ ไม่ต่างกัน แล้วในเมื่อข้อกำหนดในการใช้สารต้องห้ามยังไม่มีความชัดเจน เราจะสามารถฟันธงได้อย่างไรว่าใครโกงหรือไม่โกง

กรณีที่สะท้อนเรื่องนี้ได้ชัดที่สุด ก็คือกรณีของ มาเรีย ชาราโปว่า ที่ถูกแบนเมื่อต้นปี 2016 จากการตรวจพบสาร ‘เมลโดเนียม’ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของยาที่ใช้รักษาโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ที่เธอใช้ตามคำแนะนำจากแพทย์ต่อเนื่องมาหลายปี แต่เพิ่งถูกขึ้นบัญชีเป็นสารต้องห้ามก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่เดือน โดยองค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของโลก (WADA) ให้เหตุผลว่า “เป็นสารที่ช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการเล่นกีฬา”

ในกรณีของน้องเมย์-รัชนก นั้นก็คล้ายๆ กัน แต่โชคดีกว่าตรงที่สามารถอุทธรณ์และหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าเป็นการใช้สารเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจริงๆ

 

หากจุดประสงค์ของการควบคุมการโด๊ปหรือการใช้ยา คือการป้องกันการทุจริต น่าคิดเหมือนกันว่า ระหว่างการต่อต้านและควบคุมอย่างเข้มงวด กับการปล่อยให้มีการใช้และให้คำปรึกษาอย่างถูกวิธี แบบไหนจะช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่ากัน

 

อ่านเพิ่มเติม

บทความ Why Cheating In Sports Is Prevalent — And We Can’t Stop It จาก Forbes

บทความ ‘Corruption embedded within IAAF’ จาก CNN

 

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save