ดิจิทัลเอย เจ้ามาแรงชั่วคราวหรืออยู่ยาวถาวร? อ่านอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลหลังโควิด-19

ดิจิทัลเอย เจ้ามาแรงชั่วคราวหรืออยู่ยาวถาวร? อ่านอนาคตเศรษฐกิจดิจิทัลหลังโควิด-19

สันติธาร เสถียรไทย เรื่อง

ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ

 

 

“ไม่ว่าจะ CEO CTO หรือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายไหน ก็ไม่สามารถเร่งให้คน-องค์กรเข้าสู่ดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันได้เข้มข้นและรวดเร็วเท่ากับ C โอ วี ไอ ดี (COVID-19)”

นี่คือคำพูดที่เราคงได้ยินกันหลายครั้งแล้วในวันที่แทบทุกคนเห็นตรงกันว่าโควิด-19 เปลี่ยนให้ทั้งคนและองค์กรต่างๆ หันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงานมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด

แต่แพลตฟอร์มดิจิทัลประเภทไหนบ้างที่มีคนใช้มากขึ้น และแพลตฟอร์มเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากน้อยแค่ไหนหลังโควิด-19 ผ่านพ้นไป?

วันนี้อยากชวนดูข้อค้นพบใหม่โดยบริษัท Sea และ World Economic Forum (WEF) เจาะ-สำรวจการปรับตัวของกลุ่มคนวัย ‘ดิจิทัล’ – คนเจนฯ Y และเจนฯ Z (อายุ 16-35) ในช่วงโควิดจาก 6 ประเทศกลุ่มอาเซียน (ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม) รวม 7 หมื่นคน 

 

ต่างแพลตฟอร์ม ต่างผลกระทบ

 

ข้อคิดแรก ไม่ใช่ทุกกิจกรรมหรือทุกวงการในโลกดิจิทัลที่ได้รับแรงกระตุ้นเท่ากันในช่วงโควิด-19 

การศึกษาชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีผู้ใช้เข้มข้นขึ้นจากเดิมมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ แอปพลิเคชันกลุ่มโซเชียลมีเดีย เรียนออนไลน์ ซื้อของผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ประชุมออนไลน์ และดูหนังหรือซีรีส์ออนไลน์ตามลำดับ ตามมาด้วยกลุ่มอีเพย์เมนต์ และบริการส่งอาหาร (ภาพที่ 1)

 

ภาพที่ 1 สัดส่วนคนที่ตอบว่าใช้แอปพลิเคชันต่างๆ มากขึ้นในช่วงล็อกดาวน์

 

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แอปพลิเคชันยอดนิยมเหล่านี้ผูกอยู่กับธีมเศรษฐกิจคนติดบ้าน (From Home Economy) ทั้งในมิติการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นผ่านช่องทางออนไลน์ การศึกษาและเรียนรู้ การบริโภค การช็อปปิ้ง การทำงาน รวมทั้งการดูหนังและซีรีส์ ฯลฯ

ข้อคิดที่ 2 แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นจะมองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างถาวร แต่ความยั่งยืนของการใช้แพลตฟอร์มในแต่ละวงการนั้นก็ยังแตกต่างกันพอสมควร (ภาพที่ 2)

ข้อมูลนี้ได้มาจากคำถามในแบบสำรวจที่ถามคนเจนฯ Y และเจนฯ Z ว่า คิดว่าการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ในช่วงโควิด-19 (ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือ ลดลงก็ตาม) จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวหรือถาวร 

 

ภาพที่ 2 สัดส่วนคนที่คิดว่าจะใช้แอปพลิเคชันต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างถาวร

 

โดยหลักแล้ว แพลตฟอร์มกลุ่มที่ ‘ฮิต’ หรือมีคนใช้เพิ่มขึ้นมากช่วงปิดเมือง ก็จะมีสัดส่วนคนที่ ‘ติดใจ’ อยากใช้ต่อไปสูงขึ้นด้วยเช่นกันแม้ผ่านพ้นช่วงโควิด-19 ไปแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มกลุ่มโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมติดท็อป 3 มีคนกว่า 70% ตอบว่าจะใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้มากขึ้นตลอดไป ในขณะที่แพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ไม่ค่อยมีคนใช้เพิ่ม ก็จะมีสัดส่วนคนที่ ‘ติดใจ’ น้อยกว่าเช่นกัน

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งผลการสำรวจอาจสะท้อนให้เห็นว่าความสะดวกและเคยชินเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนคิดเลือกใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ต่อไป เพราะเมื่อผู้บริโภคได้สัมผัสกับความสะดวกและต้นทุนที่ถูกลง ท้ายที่สุดแพลตฟอร์มเหล่านี้ก็กลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแม้ว่าจะเปิดเมืองแล้วก็ตาม

 

ห้องทำงานแห่งอนาคต -โมเดลลูกผสม 

 

ข้อคิดที่ 3 มีกรณียกเว้นจากเทรนด์ข้างบนที่น่าสนใจ อย่างแอปพลิเคชันกลุ่มประชุมออนไลน์เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มยอดฮิตช่วงล็อกดาวน์ก็จริง แต่ผลจากแบบสำรวจกลับชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนคนที่บอกว่าจะใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างถาวรนั้นอยู่ที่ไม่ถึงร้อยละ 60

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าการทำงานแบบออนไลน์ยังมีอุปสรรคหลายข้อ

หนึ่ง ในหลายประเทศที่สำรวจรวมทั้งประเทศไทย คนยกให้คุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการทำงานจากที่บ้าน โดยเฉพาะสำหรับคนที่อยู่ต่างจังหวัดในพื้นที่ห่างไกล

สอง สภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานที่บ้าน (เช่น เสียงดังรบกวน ไม่มีสมาธิ) กลายเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่ติดปัญหาท็อป 5 ของการทำงานที่บ้าน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับครอบครัวหลายคน

สาม คนเจนฯ Y และเจนฯ Z ที่อยู่ในกลุ่มสำรวจ มักยกความลำบากในการบริหารทีมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ขัดขวางให้ทำงานที่บ้านไม่สะดวก 

จากประสบการณ์ส่วนตัว พบว่าการทำงานจากที่บ้านให้มีประสิทธิภาพนั้น ต้องมีการพัฒนาระบบการสื่อสารภายในทีมและองค์กรที่เข้มแข็งมาก รวมทั้งต้องตระหนักว่ายังมีงานอีกหลายประเภทที่ไม่ค่อยเหมาะกับการทำงานจากที่บ้าน เช่น งานที่ต้องสร้างความสัมพันธ์ ทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ เสมอ หรืองานที่ต้องมีการระดมสมองจากหลายกลุ่มเพื่อขบคิดหาไอเดียใหม่อยู่ตลอด

ผลการสำรวจนี้อาจชี้ให้เห็นว่า แม้โลกคงไม่กลับไปเป็นแบบ Old Normal ที่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศและเดินทางไปประชุมแบบเห็นหน้าเจอตัวอีกแล้ว แต่อนาคตของการทำงานและการประชุมคงจะยังไม่ย้ายไปยังโลกออนไลน์เต็มรูปแบบอย่างที่บางคนคาดการณ์เช่นกัน เราน่าจะได้เห็นการทำงานรูปแบบผสม (Hybrid) ที่มีทั้งการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์มากกว่า 

 

ดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันระดับองค์กรหลังโควิด-19

 

หลังจากมองระดับปัจเจกกันไปแล้ว ลองมาดูมุมระดับองค์กรกันบ้าง 

จากการวิเคราะห์ ผมมองว่ามีปัจจัย 3 ‘C’ จะทำให้กระแสดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันระดับองค์กรนั้นยังมาแรงต่อไปแม้เปิดเมืองแล้ว

1. Convenience การอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค

จากการศึกษาของ Sea และ WEF ที่เล่าไว้ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า วัฒนธรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่อาจเปลี่ยนไปเป็น Digital by Default กล่าวอีกอย่างคือ ทางเลือกดิจิทัลจะกลายเป็น ‘ค่าตั้งต้น’ หรือทางเลือกแรกของผู้บริโภค 

ทั้งนี้ ไม่ได้แปลว่าผู้บริโภคทุกคนจะไม่ใช้ช่องทางออฟไลน์แล้ว แต่หมายความว่าธุรกิจที่ไม่มีช่องทางดิจิทัลจะต้องมีเหตุผลเพียงพอและอธิบายถึงเหตุผลให้ได้ หากธนาคารบอกว่าธุรกรรมนี้ทำผ่าน e-banking ไม่ได้ ต้องมาที่สาขา คงต้องมีคำอธิบายว่าทำไม หรือการที่ร้านค้ารับอีเพย์เมนต์กลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ร้านที่ไม่มีกลับกลายเป็นความไม่สะดวกไปแล้ว

เพราะฉะนั้น พฤติกรรมและวัฒนธรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ย่อมมีแรงผลักดันให้ภาคธุรกิจหันมาใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลมากขึ้นเช่นกัน

2. Cost การลดต้นทุน (โดยเฉพาะต้นทุนคงที่ หรือ Fixed costs)

ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจน่าจะยังต้องเผชิญกับสภาวะที่ท้าทายและไม่แน่นอน ทำให้ทั้งคนและบริษัทต้องรักษากระแสเงินสดไว้ การพาบริษัทเข้าสู่ดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันจะสามารถช่วยลดต้นทุนคงที่ (Fixed costs) ได้ เช่นการค้าขายผ่านอีคอมเมิร์ซทำให้ขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องลงทุนเปิดหน้าร้านเพื่อขยายสาขาใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ต้นทุนคงที่ที่ต่ำลงยังเพิ่มความยืดหยุ่นให้ธุรกิจสามารถปรับตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

3. Capabilities ขีดความสามารถในการใช้อุปกรณ์และช่องทางดิจิทัล

โควิด-19 ทำให้หลายองค์กรหันมาทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันอย่างจริงจังและเร่งด่วนขึ้น คือไม่ได้แค่เปลี่ยนมาขายของหรือทำอีเว้นท์ในโลกออนไลน์เท่านั้น แต่มีการจัดกระบวนการทำงานภายใน การจัดระบบการเก็บข้อมูล การจัดคน-ทีมงาน จัดงบเฉพาะสำหรับการทำดิจิทัลที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มที่

ดังนั้น แม้โควิด-19 จะผ่านไปแล้ว องค์กรเหล่านี้จะมี ‘กล้ามเนื้อ’ ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาทำธุรกิจดิจิทัลในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน 

 

สรุป โควิด-19 ไม่ได้แค่ทำให้กระแสดิจิทัลเข้มข้นและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่น่าจะเปลี่ยนแปลงทั้งพฤติกรรมฝั่งผู้บริโภค รวมถึงโครงสร้างและยุทธศาสตร์ฝั่งธุรกิจอย่างถาวร 

มองในมุมหนึ่ง อาจเป็นเรื่องน่ากลัวที่คลื่นดิจิทัลถูกเร่งให้มาถึงเร็วขึ้นจนมีผลกระทบกว้างขึ้นและคงอยู่ต่อไปอย่างถาวร

แต่หากมองในอีกมุม การที่กระแสดิจิทัลจะอยู่กับเราไปอีกนานก็แปลว่า การลงทุนลงแรงปรับตัวสู่โลกดิจิทัลของเราวันนี้คงไม่สูญเปล่า ได้เก็บดอกเก็บผลกันไปอีกนาน

ดังนั้นเริ่มต้นวันนี้ก็ยังไม่สายครับ

 

อ้างอิง

ASEAN YOUTH REPORT – COVID-19: THE TRUE TEST OF RESILIENCE AND ADAPTABILITY By Sea Insights

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

29 Nov 2023

ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้ : ทศ จิราธิวัฒน์

สำรวจธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ 76 ปีของอาณาจักรเซ็นทรัลในฐานะหลอดเลือดใหญ่ของภาคธุรกิจไทย 101 สนทนากับ ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูล ผู้มุ่งหมายอยากพาเซ็นทรัลและประเทศไทยไปเฉิดฉายบนเวทีโลก

กองบรรณาธิการ

29 Nov 2023

Economy

31 Jul 2023

เปิดเหลี่ยมมุม ‘service charge’ และ ‘ราคาบวกๆ’ เมื่อผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการที่ไม่ได้บริการ(?)

ราคาบวกๆ มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในความเป็นจริงนั้นเรามีสิทธิไม่จ่ายค่า service charge หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

31 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save