ผมเคยนำเรียนท่านผู้อ่าน ถึงกรณีการสร้างความทรงจำสาธารณะในเดนมาร์กสมัยใหม่ สร้างให้อดีตของตนเป็นกรณียกเว้นของการเป็นเจ้าอาณานิคม จากประวัติศาสตร์การมีอาณานิคมเหนือทรันคีบาร์ ศรีรัมปูร์ และหมู่เกาะนิโคบาร์ (ในอินเดีย) ในช่วงศตวรรษที่ 19 รวมไปจนกระทั่งถึงอำนาจปกครองที่เดนมาร์กมีเหนือหมู่เกาะแฟร์โร และกรีนแลนด์มาจนกระทั่งต้นศตวรรษปัจจุบันนี้
ท่ามกลางประวัติศาสตร์อันโหดร้ายของลัทธิล่าอาณานิคม เดนมาร์กสร้างความทรงจำให้ตนเองกลายเป็นเจ้าอาณาคมที่ต่างจากเจ้าอื่น ไม่ได้โหดร้ายแบบเขาอื่น เป็นเจ้าอาณานิคมที่มีความกรุณา!
กรีนแลนด์
วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องกรีนแลนด์เป็นการเฉพาะครับ เพราะในกรณีกรีนแลนด์นี้ กว่าจะได้อำนาจการปกครองตัวเองก็ล่วงมาจนถึงปี 2009 นี้เอง เพราะฉะนั้นจะกล่าวว่าเรื่องอาณานิคมเป็นเรื่องอดีตก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปาก
ต่อไปนี้เป็นน้ำจิ้มของงานที่ศึกษาในหัวข้อดังกล่าวจากนักวิชาการเดนมาร์กเองครับ
กรีนแลนด์ถือว่าเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กว่าร้อยละ 80 ของประเทศเป็นแผ่นน้ำแข็ง แต่ส่วนที่เป็นแผ่นดินฝั่งทะเลก็มีขนาดใหญ่ขนาดพอๆ กับประเทศโปแลนด์ทีเดียว ประชากรเกือบๆ 60,000 คนอาศัยอยู่ตามบริเวณนี้ ความบกพร่องทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและสภาพภูมิประเทศถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของคนกรีนแลนด์
คนกรีนแลนด์ประกอบขึ้นคร่าวๆ เป็นสี่กลุ่ม ได้แก่ 1. คนกรีนแลนด์ตะวันตก (ร้อยละ 80) 2. คนกรีนแลนด์ตะวันออก (ร้อยละ 6) 3. คนกรีนแลนด์ทางเหนือ (ร้อยละ 1.5) และ 4. ที่เหลือซึ่งเป็นคนเดนมาร์กเสียมาก และมีความสัมพันธ์กับคนกรีนแลนด์ผ่านทางเครือญาติและการแต่งงาน
ยุคอาณานิคมเดนมาร์กเหนือกรีนแลนด์

เริ่มต้นขึ้นในปี 1721 เมื่อ ฮันส์ เอเกด์ (Hans Egede) บาทหลวงชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ไปตั้งเขตมิชชั่นและสถานีการค้าที่บริเวณนุก (Nuuk) ซึ่งต่อมากลายเป็นเมืองหลวงของกรีนแลนด์
ในช่วงศตวรรษที่ 18 นี้ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลอาณานิคมของเดนมาร์กจะบริหารการปกครองเมืองขึ้นของตน รวมทั้งกรีนแลนด์ว่าเป็นท่าการค้า นโยบายต่างๆ ก็จะมุ่งไปทางด้านการพาณิชย์เสียเป็นส่วนมาก ท่าการค้าที่นุกก็จะเชื่อมต่อสินค้าของทะเลแอตเลนติกเหนือ เชื่อมสองทวีปเข้าด้วยกัน เป็นแหล่งค้าขายสินค้าที่ผลิตจากที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นหนังสัตว์ ขนสัตว์ เนื้อแมวน้ำ และไขมันเปลวปลาวาฬ เป็นต้น
เข้าสู่ช่วงการจัดการระบบการปกครอง
และดังเช่นระบบการปกครองอาณานิคมยุโรปในที่อื่นๆ เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 เดนมาร์กเริ่มขยายนโยบายการปกครองกรีนแลนด์ไปสู่เรื่องการบริหารจัดการเรื่องการเมือง และมุ่งเปลี่ยนแปลงสังคมกรีนแลนด์ในระดับพื้นฐาน เป็นเทคนิควิศวกรรมทางสังคม (social engineering)
ในการจะกระทำเช่นนี้ได้ ผู้ปกครองก็จะต้องตั้งคำถามว่า แล้วคนที่พวกเขาปกครองเป็นใครกันเล่า
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงการทำความเข้าใจคนอื่น แต่เป็นการสร้าง ‘คนอื่น’ ในแบบที่เราต้องการจะเข้าใจ เพื่อจุดประสงค์การควบคุม (การเข้าใจผู้อื่นนี่เป็นฐานของคริสต์ลูเทอรันเดนมาร์กอย่างยิ่ง)
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการพยายามศึกษาและมีการบันทึกอะไรจำนวนหนึ่งว่าด้วยวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคน ‘พื้นเมือง’ กรีนแลนด์ก่อนหน้านี้ แต่การสร้างความรู้ว่าด้วยคนกรีนแลนด์เป็นปฏิบัติการทางอำนาจที่เจ้าอาณานิคมเดนมาร์กมุ่งกระทำด้วยมุ่งหมายการปกครองในช่วงศตวรรษที่ 19 นี้อย่างเข้มข้น

ประเพณีประดิษฐ์
ที่สำคัญคือ ความรู้ที่ว่านี้ เน้นหนักไปในการสร้าง ‘ประเพณี’ ของชาวกรีนแลนด์ก่อนหน้ายุคอาณานิคม ว่าคนพื้นเมืองในกรีนแลนด์นั้นมีชีวิต ความเป็นอยู่ วัฒนธรรมอย่างไรก่อนหน้าที่เดนมาร์กจะเข้ามา เป็นการเขียนชาติพรรณวรรณา (ethnography) รองรับความชอบธรรมของการเข้าปกครอง
ประเพณีของชาวกรีนแลนด์ที่เจ้าหน้าที่อาณานิคมเดนมาร์กผลิตขึ้นนั้น มีอำนาจในการอ้างความรู้ของแท้ (authentic) ที่ดั้งเดิม เป็นความรู้เรื่องประเพณีที่รัฐอาณานิคมสถาปนาขึ้นเพื่อจะอนุรักษ์ ปรับเปลี่ยน ปฏิรูป ยกระดับ พัฒนา ฯลฯ ให้เป็นไปตามที่ผู้ปกครองจากโคเปนเฮเกนต้องการ
การเลือกอนุรักษ์
อาจจะเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่ว่า ในความสัมพันธ์แบบอาณานิคมนั้น ผู้ปกครองย่อมจะมุ่งเปลี่ยนแปลง ทำลาย กดปราบวิถีต่างๆ ของผู้อยู่ใต้ปกครอง และมุ่งสู่การสร้างภาวะความเป็นเอกพันธุ์ (homogeneity) ซึ่งเป็นหัวใจของรัฐชาติสมัยใหม่ ซึ่งเป็นโครงการทางการเมืองของเจ้าอาณานิคมยุโรป มิใช่หรือ
ใช่ครับ จริงทีเดียว แต่สุดท้ายเจ้าอาณานิคมยุโรปไม่มีน้ำยาขนาดนั้น โครงการอาณานิคมถูกแรงต่อต้านและการลุกฮือครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นในอินเดีย จาไมก้า หรือซูดาน จนในที่สุดก็จำต้องขยับไปสู่ขั้นตอนอีกขั้นหนึ่งของยุคอาณานิคม คือการเสนอการ ‘อนุรักษ์’ วัฒนธรรมหรือองค์ความรู้ดั้งเดิมของสังคมพื้นเมือง
นโยบายการรักษาและอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม นี้เป็นใจกลางของระบบอาณานิคมยุโรปในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ทีเดียว
กล่าวคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงและเห็นว่าวัฒนธรรมบางอย่างของเหล่าดินแดนอาณานิคมทั้งหลายมีคุณค่าและต้องรักษาเอาไว้ หรืออย่างน้อยก็ไม่เข้าไปก้าวก่ายเปลี่ยนแปลง
แต่มีสองประเด็น ที่เรื่องการอนุรักษ์นี้ที่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเรื่องมนุษยธรรมมากไปกว่าการจัดสรรทรัพยากรอำนาจ
ประเด็นแรก ผู้ที่ลุกขึ้นเรียกร้องเรื่องการอนุรักษ์จำนวนมาก คือผู้เป็นผลพวงของกระบวนการอาณานิคมตั้งรกราก (settlement colonialism) คือย้ายจากเมืองแม่ไปอยู่ดินแดนใหม่เป็นการถาวร การอนุรักษ์ที่ว่านี้ คือการอนุรักษ์ประเพณีที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพื่อขยายให้เป็นประเพณีของประชากรทั้งหมด และคนกลุ่มน้อยที่ย้ายจากเมืองแม่มานี้จึงจะสามารถเข้าไปเป็นเจ้าของ เป็นผู้กำหนดนโยบายเหล่านี้ เป็นผู้อยู่ในชนชั้นปกครอง และกีดกันคนที่อยู่เดิมส่วนใหญ่ออกไป หลายครั้งด้วยการสังหารหมู่ ตัวอย่างของกรณีเหล่านี้ก็ขอให้ดูออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และอิสราเอลดู

ถ้าเป็นกรณีเดนมาร์ก ชาวเดนมาร์กที่ตั้งรกรากอยู่ในกรีนแลนด์เองก็จะเป็นผู้สนับสนุนนโยบายที่ว่าเหล่านี้ (ซึ่งเป็นที่มาหนึ่งของการมองตัวเองว่าเป็นผู้มีความกรุณา)
ประเด็นที่สอง คือการอนุรักษ์นั้นเกี่ยวข้องด้วยว่า ประเพณีที่ว่านี้คืออะไร ในกรณีกรีนแลนด์สำหรับเจ้าอาณานิคมเดนมาร์กแล้ว ไม่มีประเพณีอะไรที่แสนจะเป็นกรีนแลนด์ไปมากกว่าการล่าแมวน้ำ
และการล่าแมวน้ำนี้เป็นธุรกิจที่นำรายได้มหาศาล การมุ่งบันทึกและรักษาการล่าแมวน้ำในฐานะประเพณีแท้จริงดั้งเดิมของชาวกรีนแลนด์ ก็ตัดไม่ขาดออกจากเรื่องเม็ดเงินที่จะไหลกลับไปโคเปนเฮเกนด้วยอย่างมีนัยยะสำคัญ

ประวัติศาสตร์นิพนธ์สแกนดิเนเวียในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 21
เหล่านี้เป็นน้ำจิ้มที่ผมนำมาเรียนท่านผู้อ่าน ซึ่งในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ กระแสของการหันกลับไปทบทวนประวัติศาสตร์อาณานิคมของกลุ่มประเทศที่ถูกมองว่า ‘เป็นกลาง’ ทางอำนาจของเวทีระหว่างประเทศมีขึ้นอย่างคึกคัก
ภาพของการเป็นกลางทางการเมืองและเป็นประเทศคนดี ฯลฯ เริ่มถูกท้าทายด้วยนักวิชาการข้างในภูมิภาคสแกนดิเนเวียเอง เป็นการทะลวงแผ่นน้ำแข็งอุดมการณ์ซึ่งเย็นยะเยือกจากชัยชนะของฝ่ายเสรีประชาธิปไตยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่อาจจะเป็นเพราะภาวะโลกร้อนก็เป็นได้ ที่ดูเหมือนว่าน้ำแข็งแผ่นมหึมาที่ว่านี้ดูจะค่อยๆ ละลายลงเสียแล้ว
อ้างอิง
Søren Rud, Colonialism in Greenland: Tradition, Governance, and Legacy (2017)
Søren Rud og Søren Ivarsson (red.), Postkoloniale og globale perspektiver på dansk kolonihistorie (2021)