fbpx
ออกแบบใหม่ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยให้มีอิสระอย่างแท้จริง

ออกแบบใหม่ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทยให้มีอิสระอย่างแท้จริง

ภาพการจับกุมแกนนำราษฎร เร่งดำเนินคดีกับกลุ่มประชาชนที่ออกมาส่งเสียงเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายข้อหา โดยเฉพาะคดีอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงที่การเมืองไทยมีพลวัตแหลมคมมากที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ และยังสะท้อนให้เห็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง สกัดกั้นการแสดงออกของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย

เมื่อกระบวนการยุติธรรมกลายเป็นเหมือนหนึ่งในปัญหาเช่นนี้ คำถามสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้สายธารกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างตำรวจ อัยการ ศาล และกรมราชทัณฑ์ ได้ทำงานอย่างอิสระ โปร่งใส เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนภายใต้อุดมการณ์การให้คุณค่าที่แตกต่างหลากหลายภายในสังคม

ในงานเสวนาออนไลน์ Constitutional Dialogue : รัฐธรรมนูญสนทนา ครั้งที่ 8 “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม”ศ.ดร.ต่อพงศ์ กิตติยานุพงศ์ และ รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นตัวแทนทีมวิจัยรัฐธรรมนูญใหม่ เสนอแนวคิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาถกเถียงร่วมกับ ศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล ผู้อำนวยการศูนย์กฎหมายอาญาและอาชญาวิทยา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) และ พูนสุข พูนสุขเจริญ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ

รศ.ดร.ต่อพงศ์ กิตติยานุพงศ์ และ รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน ได้ร่วมนำเสนอแนวคิดการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยมีกรอบการวิจัย 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แนวทางการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรรม และปัญหาเฉพาะของกระบวนการยุติธรรมในปัจจุบัน

สำหรับหัวข้อแรก “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ” เพื่อที่จะออกแบบรัฐธรรมนูญในอนาคตที่มีกระบวนการยุติธรรมที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น มีแนวคิดที่ต้องมองใน 2 มิติ ได้แก่:

(1) การตราบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม ให้เกิดความครบถ้วน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะหากสำรวจทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรมจะพบว่า สิทธิมีอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีจากผู้พิพากษาที่ถูกแต่งตั้งตามกฎหมาย สิทธิเรียกร้องให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีตามหลักการฟังความทุกฝ่าย หลักความชัดเจนแน่นอนของกฎหมายที่กำหนดโทษทางอาญา สิทธิในการได้รับพิจารณาคดีจาก ‘กระบวนพิจารณาที่เป็นธรรม’ (fair procedure) เป็นต้น

สิทธิเหล่านี้ล้วนมีไว้เพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับประชาชนในประเทศที่มีหลักนิติรัฐ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ตัวบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้มีปัญหา เป็นไปตามมาตรฐานของรัฐเสรีประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีความจำเป็นในการแก้ไขมากนัก แต่ปัญหาอยู่ที่เรื่องอื่น โดยเฉพาะปัญหาการบังคับใช้ให้เป็นไปตามหลักรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติขององค์กรของรัฐทั้งหลาย หรือแนวทางการตีความ การใช้กฎหมายที่อาจไม่สอดคล้องกับคุณค่าหรือเจตนารมณ์ที่มีการคุ้มครองอยู่แล้วในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

(2) กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนำไปสู่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แม้รัฐธรรมนูญจะกำหนดหน้าที่ในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว แต่อาจต้องกำหนดผูกมัดฝ่ายนิติบัญญัติหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎหมาย ปฏิรูป หรือปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมให้อยู่ในกรอบระยะเวลาและเป้าหมายที่ชัดเจน รวมถึงมีลำดับการแก้ไขเพื่อให้เกิดการปฏิรูปทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ

“เวลาพูดถึงการแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าเราไม่ไปดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นระบบ สิทธิในทางรัฐธรรมนูญทั้งหลายคงไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างจริงจัง ซึ่งปัญหาหรือแนวทางแก้ไขกระบวนการยุติธรรมถูกพูดมานานมาก แต่หลายครั้งปัญหากลับถูกแก้แบบแยกส่วน” รศ.ดร.มุนินทร์กล่าว พร้อมนำเสนอในหัวข้อที่สอง “แนวทางการปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรรม” ซึ่งชวนมองภาพรวมปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นเชิงระบบในกระบวนการยุติธรรม ส่วนองค์กรหรือตัวบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม และส่วนสุดท้ายคือ วัฒนธรรมการบังคับใช้กฎหมาย และการเคารพกฎหมายของเจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไป

รศ.ดร.มุนินทร์ให้ความเห็นว่า จะต้องปฏิรูปพร้อมกันทั้งสามส่วน และแม้ตัวบทบัญญัติทางกฎหมายจะค่อนข้างดี แต่การบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทยอยู่ภายใต้อำนาจนิยมและถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดย รศ.ดร.มุนินทร์ทั้งฉายภาพการปฏิรูปกระบวนการสืบสวนตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น การปฏิรูปตำรวจที่ไม่เคยเกิดขึ้นได้อย่างจริงจัง เพราะนักการเมืองมองตำรวจเป็นเครื่องมือสำคัญทางการเมืองเสมอ นอกจากนี้ยังสะท้อนปัญหาขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม เช่น บทบาทของอัยการที่ผ่านมายังไม่ได้ทำหน้าที่เชิงรุกมากนัก เป็นเพียงแค่ทางผ่านไปที่ศาล ซึ่งในอนาคต หากมีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมแล้ว อัยการน่าจะมีบทบาทเชิงรุกในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน คัดกรองคดีผ่านดุลพินิจการสั่งฟ้อง โดยตั้งอยู่ในหลักการและอยู่ในฐานของความรับผิดชอบ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระศาล และตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของพนักงานสอบสวนด้วย

สำหรับปัญหาของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม รศ.ดร.มุนินทร์ชี้ว่า ทั้งผู้พิพากษาและอัยการต่างเป็นคนเก่งและผ่านสนามสอบมากมาย แต่กลับไม่มีความเข้าใจในเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างลึกซึ้ง และอีกปัญหาหนึ่งคือ วัฒนธรรมการทำงานหรือวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของศาลที่ค่อนข้างเป็นวัฒนธรรมจารีตประเพณีนิยม มีระดับอาวุโส ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในเรื่องของการใช้ดุลพินิจ ถึงแม้รัฐธรรมนูญจะการันตีในเรื่องของความเป็นอิสระของศาลหรือของผู้พิพากษาในการทำงานแล้วก็ตาม

เมื่อเป็นเช่นนี้ รศ.ดร.มุนินทร์จึงเสนอความคิดเห็นว่า ศาลควรต้องเปิดให้มีความเป็นเสรีนิยมมากขึ้น มีวัฒนธรรมเปิดในการรับความรู้ใหม่ๆ รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนกฎหมายที่ว่าด้วยการละเมิดอำนาจศาลก็ควรถูกใช้อย่างจำกัด ในสถานการณ์ที่เพียงเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น อีกทั้งยังควรสนับสนุนวัฒนธรรมการเห็นแย้ง ซึ่งจะทำให้ศาลด้วยกันได้ช่วยกันตรวจสอบ ถ่วงดุล และมีความพยายามในการหักล้างโดยใช้เหตุผลในทางกฎหมาย

สำหรับเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใส และสร้างความเชื่อถือให้แก่ประชาชน รศ.ดร.มุนินทร์ เสนอว่า อาจจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ระบบการศึกษา เพื่อให้มีผู้พิพากษาที่มีความรู้ทางนิติศาสตร์ เข้าใจเรื่องการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน มีประสบการณ์ชีวิตเหมือนกับในต่างประเทศ รวมถึงมีความสามารถในการชั่งน้ำหนักคุณค่าที่ขัดแย้งกัน เช่น คุณค่าของประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนกับคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมจารีตประเพณี รวมถึงต้องดำเนินการปรับแก้วัฒนธรรมในทางกฎหมายของประเทศและการเคารพกฎหมายในประเทศไทย

 “วัฒนธรรมอำนาจไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียว แต่เกิดจากประชาชนที่มองว่า เมื่อมีปัญหาทางคดีความ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ การพยายามเข้าไปใช้วิธีนอกกฎหมายบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม ไปติดสินบนเจ้าพนักงาน ใช้เส้นสายเพื่อให้ได้ประโยชน์ ในการปฏิรูปจึงต้องแก้ปัญหาทางวัฒนธรรมตรงนี้ควบคู่ไปกับให้ความรู้กับผู้คนว่า สุดท้ายคุณค่าใดที่เป็นสิ่งสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย ซึ่งถ้าไม่แก้วัฒนธรรมเกี่ยวกับกฎหมาย เราจะไม่สามารถปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้สำเร็จ” รศ.ดร.มุนินทร์ทิ้งท้าย

ในหัวข้อสุดท้าย “ปัญหาเฉพาะของกระบวนการยุติธรรมในปัจจุบัน” รศ.ดร.ต่อพงศ์ ค่อนข้างเห็นคล้อยว่าปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในห้วงเวลาที่มีความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเริ่มหลุดพ้นไปจากกระบวนวิธีพิจารณา แต่พัฒนาไปเป็นการปะทะกันโดยตรงระหว่างอุดมการณ์สองประการ ซึ่งผู้มีอำนาจใช้และตีความกฎหมายจะต้องเลือกในการพิทักษ์ระหว่างอุดมการณ์ประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานกับคุณค่าในเชิงจารีต หรือคุณค่าของสถาบันที่จะพิทักษ์เอาไว้ เห็นได้ชัดอย่างยิ่งในการตัดสินคดีอาญามาตรา 112 หรือมาตรา 116

รศ.ดร.ต่อพงศ์ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมา นักกฎหมายไทย โดยเฉพาะคนที่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ค่อนข้างอ่อนในเรื่องของทฤษฎีการชั่งน้ำหนัก การรักษาสมดุล ผสานคุณค่าให้คุณค่าที่ขัดแย้งกันดำรงอยู่ได้ รวมถึงในเรื่องการตีความหลักความให้พอสมควรแก่เหตุ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือเสรีภาพการแสดงความเห็นไม่มีที่พื้นที่เลย เมื่อไปปะทะกับคุณค่าบางอย่าง

“ผมคิดว่าปัญหาปัจจุบันคือ กระบวนการยุติธรรมเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมืองและอุดมการณ์ที่ปะทะอยู่ในสังคมการเมืองไทยอย่างถึงราก ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากกว่าแก้ไของค์กรและกระบวนการพิจารณาเสียอีก ทางแก้คือต้องกลับไปที่การสร้างและพัฒนานักกฎหมายให้มีอุดมการณ์” รศ.ดร.ต่อพงศ์กล่าว พร้อมเสนอทางออกหนึ่งในทางทฤษฎีที่ชื่อว่า ‘การร้องทุกข์ในทางรัฐธรรมนูญ’ (Constitutional Complaint) ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทในการตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือศาล ถึงความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหาในกระบวนการยุติธรรมเสียเอง กล่าวคือศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมีอิสระ เป็นกลาง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมีความหลากหลายในเชิงอุดมการณ์ทางการเมือง

กระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาอาจไม่ได้มองถึงความคุ้มค่าทางนิติเศรษฐศาสตร์

ขณะที่ ศ.ดร.สุรศักดิ์ ลิขสิทธิ์วัฒนกุล ให้ความเห็นว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นตลอดเวลา สำหรับการพัฒนากฎหมายให้ทันสมัย (legal modernization) เป็นสิ่งที่ประเทศไทยทำได้ค่อนข้างดี แต่มีปัญหาอย่างยิ่งในทางปฏิบัติ

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ศ.ดร.สุรศักดิ์ฉายภาพให้เห็นถึงจำนวนคดีที่เข้ามาในระบบศาลของประเทศไทย โดยสถิติคดีในปี พ.ศ. 2561 พบว่า มีปริมาณคดีแพ่ง 1,245,844 คดี ปริมาณคดีอาญา 637,916 คดี รวมเป็น 1,883,760 คดี ขณะที่มีจำนวนผู้พิพากษาในระบบ 4,771 คน ทำให้โดยเฉลี่ย ผู้พิพากษาจะต้องมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม 394,835 คดีต่อคน ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มากทีเดียว

นอกจากนี้ ปริมาณคดีที่มากยังส่งผลกระทบต่อการคุมขังภายในเรือนจำด้วย กล่าวคือเรือนจำทั่วประเทศไทยจุได้ประมาณ 120,000 คน แต่จากสถิติจำนวนผู้ต้องขังในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2564 มีผู้ต้องขังสูงถึง 309,282 คน เกินกว่าความจุที่รองรับได้เกือบ 3 เท่า และเป็นผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด 81.32% ทั้งนี้ เมื่อมองภาพรวมของจำนวนผู้ต้องขังที่เพิ่มขึ้นย้อนไปในระยะเวลา 10 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2551-2561 พบว่า เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 มีจำนวนผู้ต้องขัง 182,032 คน และในช่วงเวลาเดียวกันของปีพ.ศ. 2561 มีจำนวนผู้ต้องขัง 359,506 คน

อีกหนึ่งข้อสังเกตคือ เรือนจำอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่ในการเยียวยาผู้ต้องขังให้กลับสู่สังคมได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีการเกิดขึ้นของ ‘วงจรอุบาทว์’ ที่ผู้ต้องขังถูกปล่อยตัวมาแล้วกลับไปกระทำผิดซ้ำค่อนข้างสูง อัตราการกระทำผิดซ้ำของผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวตามช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 พบว่า ปีที่หนึ่งคิดเป็น 15.57% ปีที่สองคิดเป็น 26.83% และในปีที่สามคิดเป็น 33.87% ซึ่งน่าจะเป็นโจทย์ที่ต้องหันกลับมาดูเรื่องความคุ้มค่าในเชิงแนวคิดแบบนิติเศรษฐศาสตร์

นอกจากนี้ ศ.ดร.สุรศักดิ์ยังสะท้อนถึงสาเหตุปัญหาของจำนวนผู้ต้องขังที่เพิ่มขึ้นโดยแยกเป็น 2 ประเภทคดี ในคดีทั่วไป อาจเกิดจากผู้ต้องหา/จำเลยอาจไม่ทราบสิทธิ หรือผู้ต้องหา/จำเลยอาจไม่มีหลักประกัน และในคดีเฉพาะไม่อนุญาตให้ประกัน และเมื่อพูดถึงกลไกที่ใช้ลดจำนวนผู้ต้องขัง หลายคนมักจะนึกถึง ‘การอภัยโทษ’ ที่ใช้กันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงปัจจุบัน แต่ ศ.ดร.สุรศักดิ์เสนอว่า ยังมีหลายช่องทางในการลดจำนวนผู้ต้องขัง อย่างกลไกหันเหคดีที่ยังไม่ค่อยมีการกล้าใช้มากนัก เช่น การชะลอการฟ้องที่เป็นการช่วงชิงอำนาจระหว่างอัยการกับศาล ซึ่งเคยมีร่างพระราชบัญญัติชะลอการฟ้อง แต่ติดปัญหาที่ว่าอัยการไม่ยอมให้มีการตรวจสอบถ่วงดุล ทั้งที่หัวใจของกฎหมายมหาชนคือ “เมื่อใดใช้อำนาจรัฐ ต้องถูกตรวจสอบได้” เป็นต้น

นอกจากนี้ ศ.ดร.สุรศักดิ์ ยังชวนคิดถึงนโยบายทางอาญาใหม่ โดยเฉพาะประเด็นยาเสพติด และชี้ให้เห็นว่าอัยการมีดุลพินิจในการตัดสินใจสั่งฟ้องหรือไม่ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อจำนวนผู้ต้องขัง  

“ผมเห็นว่าวิธีการบริหารงานกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ดูหลักกฎหมายเท่าไหร่ ถ้าไปดูในศาลที่มีคดีเยอะๆ เขาจะพยายามเร่งรัดคดี ซึ่งน่าตกใจมากนะ คือที่ห้องเวรชี้จะมีกระบวนการประมาณว่า โน้มน้าวให้รับสารภาพ ถ้าสู้คดีเดี๋ยวท่านไม่เมตตา หรือถ้าเอาทนายจะต้องถูกขังต่อก่อนนะ” ศ.ดร.สุรศักดิ์ฉายภาพให้เห็นปัญหาจริง พร้อมทั้งสนับสนุนในกรณีที่ให้มีการกำหนดระยะเวลาในการปฏิรูปกฎหมายรัฐธรรมนูญ  อีกทั้งยังย้ำว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบควรมีความจริงใจในการขับเคลื่อนนโยบาย และอาจมองไปในเชิงบริหารถึงการจัดสรรให้มีสวัสดิการและปัจจัยดำรงชีพให้บุคลากรในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สืบสวน เช่น อุปกรณ์สำนักงาน อาวุธปืน ไม่ใช่ให้มีบางหน่วยงานที่อู้ฟู่เรื่องเงินเดือนเขย่ง

“เราพยายามปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่เรากลับตั้งคณะกรรมการเยอะกว่าจนไม่รู้ว่าวงไหนที่รัฐบาลจะฟัง” ศ.ดร.สุรศักดิ์ ทิ้งท้ายว่า เราไม่ควรติดกับดักของระบบราชการ พร้อมทั้งให้ความเห็นว่าคนในกระบวนการยุติธรรมจะต้องมีความตระหนักต่อหน้าที่ ช่วยกันพัฒนากระบวนการยุติธรรมโดยอ้างอิงจากดัชนีชี้วัดในเรื่องกระบวนการยุติธรรมต่างๆ (Justice Index) และทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม (Public Participation in Criminal Justice) เกิดขึ้นจริง

ข้อท้าทายในเชิงปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรม

ฝั่ง พูนสุข พูนสุขเจริญ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้คลุกคลีกับการทำงานในกระบวนการยุติธรรมเห็นด้วยว่าสิทธิในกระบวนการยุติธรรมในรัฐธรรมนูญ 60 เขียนค่อนข้างกระชับ แต่มีสิทธิหนึ่งที่ขาดหายไปคือ สิทธิที่จะมีทนายความ ดังที่เคยปรากฎในรัฐธรรมนูญ 40 มาตรา 239 ว่า “บุคคลผู้ถูกควบคุม คุมขัง หรือจำคุก ย่อมมีสิทธิพบและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว และมีสิทธิได้รับการเยี่ยมตามสมควร”

ทั้งนี้ แม้สิทธินี้จะปรากฎในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ​อาญาอยู่แล้ว แต่การขาดมาตรานี้ในรัฐธรรมนูญกลับพบปัญหาเวลาอยู่ภายใต้สภาวะยกเว้น เช่น การใช้กฎหมายพิเศษ ประกาศกฎอัยการศึก หรือพรก.ฉุกเฉิน ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรม ดังที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงประเทศไทยที่ตลอด 7 ปีหลังคสช. ที่มีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษเกือบตลอด มีช่วงเวลาปลอดกฎหมายพิเศษเพียง 9 เดือน และในปัจจุบันก็ยังมีการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินอยู่

เมื่อเป็นเช่นนี้ พูนสุขจึงเสนอว่า กฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจพิเศษและยกเว้นความรับผิดแก่เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้ควรจะต้องถูกตรวจสอบโดยรัฐสภาเสียก่อน หรือควรมีการออกกฎหมายที่สมเหตุสมผลและสามารถปรับใช้กับสถานการณ์เฉพาะที่ตรงตามวัตถุประสงค์มากกว่าการใช้กฎหมายพิเศษ เนื่องจากเมื่อมีการใช้กฎหมายพิเศษแล้ว กระบวนการยุติธรรมก็จำต้องใช้ระบบพิเศษตามไปด้วย

นอกจากเรื่องกฎหมายพิเศษแล้ว อีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจคือ เรื่องข้อท้าทายในทางปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรม โดยพูนสุขได้นำเสนอไว้ได้อย่างน่าสนใจดังนี้:

ข้อท้าทายแรกคือ วิถีปฏิบัติที่เคยชินของศาล พูนสุขได้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงว่า โดยปกติแล้ว ก่อนการประกันตัวในชั้นศาลจะมีการฝากขัง ซึ่งควรฝากขังได้เท่าที่จำเป็น แต่ในทางปฏิบัติ การฝากขังถูกทำเป็นเหมือนวิถีปฏิบัติ บางคดีที่ทางศูนย์ทนายความฯ ทำเรื่องไต่สวนเพื่อยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขัง แต่ศาลมีคำสั่งประทับตรายางว่าได้ทำการไต่สวนแล้ว จำเลยไม่คัดค้านและอนุญาตให้ฝากขัง หรือศาลไต่สวนด้วยการเรียกจำเลยจำนวนหลักสิบ รายงานตัวด้วยการยกมือและถามคำถามนำว่า ไม่คัดค้านใช่ไหมและผ่านไป แต่ไม่มีการตรวจสอบจริงๆ คล้ายกับตำรวจยื่นมาก็อนุญาตฝากขังหมด ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาที่การประกันตัว

ข้อท้าทายที่สองคือ ปัญหาหลักประกันที่สะท้อนความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม โดยยกตัวอย่างการลดวงเงินประกันให้เหลือร้อยละ 20 หากติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ และไม่จำเป็นต้องติดหากจ่ายเต็มจำนวน

ข้อท้าทายที่สามคือ เจ้าหน้าที่สอบสวนยึดคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย  แต่ในบางกรณีอาจจะไม่ถึงกับทำให้การสอบสวนไม่ชอบ เช่น เจ้าหน้าที่พาตัวผู้ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองไปที่ตชด. ซึ่งไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีความอาญา ที่ต้องพาตัวไปที่ทำการพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่เกิดเหตุ หรือยึดสิ่งของโดยที่ไม่มีหมายจากศาล เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้นมีผลต่อสิทธิอื่นๆ ตามมา เช่นสิทธิในการเข้าถึงทนาย และแม้จะมีคำกล่าวว่า ถ้ามีการปฏิบัติโดยไม่ชอบก็ไปฟ้องเอาได้ แต่ก็มีความยุ่งยากแก่ผู้ที่ถูกจับกุม จึงควรจะมีระบบตรวจสอบที่ง่ายและเป็นไปได้จริง

ข้อท้าทายที่สี่คือ ระบบการคัดเลือกเข้าสู่เป็นพิพากษา หากอาศัยคุณสมบัติของการเป็นทนายความในระยะเวลาสองปีและใช้วิธีการเก็บคดี เท่ากับว่าระบบเปิดช่องให้มีคนที่ไม่ได้ฝึกเป็นทนายความจริง แต่อาศัยการแนบใส่ชื่อหรือทำคดีจัดการมรดก โดยมีผู้พิพากษาเซ็นรับรอง เรื่องนี้ควรต้องถูกตั้งคำถามว่า เป็นการคอร์รัปชันเพื่อไปเป็นผู้พิพากษาหรือไม่

ข้อท้าทายที่ห้าคือ ความเป็นอิสระของผู้พิพากษา โดยพูนสุขตั้งข้อสังเกตคำสั่งคดี 19 กันยายนของชูเกียรติ แสงวงค์ ว่า ศาลมีการใช้คำว่า ‘คณะผู้บริหารศาล’ ไม่แน่ใจว่าศาลจะบอกว่าท่านเองไม่มีอิสระในการสั่งด้วยตัวเองหรืออย่างไร หรือกรณีผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ ที่ใช้ชีวิตตัวเองในการสะท้อนเรื่องนี้ แต่ก็ยังไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ

และ ข้อสุดท้ายคือ เรื่องการปรับเปลี่ยนแปลงนโยบายการบังคับใช้มาตรา 112 ซึ่งมีการบังคับใช้ชนิดหน้ามือหลังมือ การกระทำเช่นนี้ไม่ควรเกิดในระบบกฎหมายที่เรียกว่านิติรัฐ เพราะการบังคับใช้กฎหมายลักษณะนี้ทำให้คนในสังคมไม่รู้สึกถึงความมั่นคงได้เลย

“เราบอกว่าปกครองโดยกฎหมาย แต่มีอำนาจอื่นที่นอกเหนือกฎหมายและสามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมไปทางไหนก็ได้ กฎหมายกลายเป็นมีข้อยกเว้นในการบังคับใช้กับคนบางกลุ่ม เราจะแก้ไขอย่างไรหรือสร้างระบบอย่างไร ถึงจะกันไม่ให้อำนาจที่นอกเหนือกฎหมายเข้ามาแทรกแซง” พูนสุขทิ้งท้าย

ตั้งหลักคิดถึงปัญหาในกระบวนการยุติธรรม

ขณะที่ ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน) (TIJ) ให้ความเห็นว่า การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย TIJ จึงถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทำงานเชิงวิชาการ แสวงหาองค์ความรู้ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ เพื่อมาปรับใช้ในการแสวงหาทางออกอย่างสันติวิธี โดย ดร.พิเศษ เริ่มจากการชวนตั้งหลักคิดก่อนว่า ปัญหาในโลกอาจจะแบ่งหยาบๆ ได้ 2 ประเภท ได้แก่ปัญหาเชิงเทคนิค (Technical Problem) และปัญหาที่เรียนรู้และปรับตัว (Adaptive Problem)

สำหรับปัญหาเชิงเทคนิค เป็นปัญหาที่ใช้วิธีแก้ไขปัญหาผ่านผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่ปัญหาที่เรียนรู้และปรับตัวจะมีลักษณะที่ไม่สามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้ง่ายนัก ผู้ที่เป็นต้นตอของปัญหามีแนวโน้มปฏิเสธ และไม่สามารถอาศัยทางแก้ปัญหาแบบทันทีทันใดได้ (quick solution) พูดง่ายๆ คือไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ จึงต้องอาศัยการแก้ปัญหาผ่านการเรียนรู้ร่วมกันในการแก้ปัญหา

ดร.พิเศษมองว่า ความท้าทายของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมคือ เป็นปัญหาที่มีสเป็กตรัม (spectrum) ไม่ได้สุดขั้วเป็นปัญหาเชิงเทคนิคหรือปัญหาที่เรียนรู้และปรับตัวอย่างชัดเจน ในด้านหนึ่งจึงต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ทางด้านนิติศาสตร์แก้ปัญหาทางกฎหมาย แต่อีกด้านที่เป็นปัญหาเรียนรู้และปรับตัวก็ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เช่น การเปลี่ยนค่านิยม เพิ่มความตระหนักรู้ การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจึงจำเป็นต้องเริ่มจากการตั้งหลักดีๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะหลงทางได้

“TIJ เชื่อว่าปัญหาของกระบวนการยุติธรรมอาจจะแก้ได้ดี ถ้าเราเอาดึงประสบการณ์และมุมมองของคนที่ไม่อยู่ในกระบวนการเข้ามาช่วยกันสะท้อนมุมมอง เพราะปัญหามีความซับซ้อนมาก” ดร.พิเศษกล่าว พร้อมยกตัวอย่างกรณีศึกษาของสถาบันสิทธิมนุษยชน ประเทศนอร์เวย์ ที่มีการให้ความรู้กับตำรวจเพื่อไม่ให้ใช้วิธีการซ้อมทรมานในการแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีฐานคิดรองรับ เช่น ให้ความรู้สิทธิมนุษยชนหรือจิตวิทยา หรือเชิญนักจิตวิทยาและนักพฤติกรรมศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเพื่อสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริง เป็นต้น

ประเด็นขบคิดต่อ

หลังจบการนำเสนอรายบุคคล วงเสวนาชวนพูดคุยต่อถึงประเด็น ‘การปฏิรูปการทำงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม’ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ศาลยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และกรมคุมประพฤติเพิ่มเติม โดย รศ.ดร.มุนินทร์ เริ่มต้นด้วยการพูดถึงความเป็นอิสระ การตรวจสอบถ่วงดุลขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม และการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร โดยยกตัวอย่างถึงตำรวจที่มีปัญหาวัฒนธรรมการทำงานและยศตำแหน่งตามระบบทหาร ทำให้การแก้ไขปัญหาทั้งหลายของกระบวนการยุติธรรมที่ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเรื่องยาก อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ แนวคิดผู้พิพากษายึดโยงกับประชาชน ซึ่งรศ.ดร.มุนินทร์ มองว่า แนวคิดนี้ยังมีความสำคัญน้อยกว่าการทำให้ผู้พิพากษามีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง แต่มีความรับผิดชอบในการทำงานเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ฝั่ง รศ.ดร.ต่อพงศ์ เสริมถึงกระบวนการทำงานบริหารยุติธรรมที่ต้องให้องค์กรต่างๆ ทำงานสอดประสานกัน มีเป้าหมายในการทำงานร่วมกัน และตรวจสอบซึ่งกันและกัน ด้าน ดร.พิเศษ ให้ความสำคัญในการมองกระบวนการยุติธรรมบนฐานบริบทสังคมควบคู่กันไป พร้อมย้ำว่าทางองค์กร TIJ มุ่งมั่นทำงานอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของคนในกระบวนการยุติธรรม

ขณะที่พูนสุขสะท้อนถึงการปฏิรูปที่ไม่เพียงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ยังต้องให้เครื่องมือและตัวชี้วัดใหม่ให้แก่องค์กรในกระบวนการยุติธรรม พร้อมให้ความเห็นเจาะจงถึงการปฏิรูปกรมราชทัณฑ์ที่มีปัญหาเรื่องความแออัดว่า ควรพิจารณาถึงการปรับโทษในทางอาญาและปรับแก้เรื่องประกันตัวเพื่อลดจำนวนผู้ต้องขัง ทั้งยังเสนอให้ดำเนินการเรื่องกระบวนการเยียวยาผู้ต้องขังกลับสู่สังคม จัดสรรให้ผู้ต้องขังมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสุดท้ายคือ ควรจะมีการปรับแก้กฎหมายไม่ให้ปิดกั้นโอกาสของผู้ต้องขังพ้นโทษผ่านการกำหนดคุณสมบัติต้องห้าม

ประเด็นถัดมาเป็นเรื่อง ‘การมีส่วนร่วมของประชาชนและท้องถิ่นในการทำงานเรื่องยุติธรรม’ ซึ่งรศ.ดร.มุนินทร์สะท้อนว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนมีหลายรูปแบบ ทั้งระดับทางการและระดับไม่เป็นทางการ ซึ่งตัวเขาเองเชื่อมั่นในการมีส่วนร่วมของประชาชนในรูปแบบไม่เป็นทางการ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ที่ค่อนข้างคึกคักมากกว่าระดับทางการที่ต้องรับฟังและพิจารณาอีกที

“ผมอยากให้คิดเรื่องการเข้าไปมีส่วนร่วมในระดับทางการด้วยความระมัดระวัง เพราะสุดท้าย คณะกรรมการทั้งหลายตั้งขึ้นมา ถ้าไม่หลุดพ้นวิธีคิดจากอำนาจนิยมหรือการอุปถัมภ์ก็อาจจะมีปัญหาได้” รศ.ดร.มุนินทร์กล่าว

ขณะที่ศ.ดร.สุรศักดิ์ เสนอมุมมองความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม เช่น การเผยแพร่คำพิพากษา การเปิดเผยชื่อผู้สอบผ่านผู้พิพากษา เพื่อให้มีคนมาแจ้งเบาะแสความไม่ควรจะเป็นของผู้พิพากษา หรือกล่าวถึงความโปร่งใสในแง่ของการให้ใช้อำนาจอธิปไตยทางศาลโดยตรงของประชาชนผ่านคณะลูกขุนที่ยังไม่เกิดในประเทศไทย

ฝั่งพูนสุขสะท้อนปัญหาของการละเมิดอำนาจที่จำกัดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์ เกินกว่าการดูแลกระบวนการพิจารณาให้สงบเรียบร้อย กระทั่งในช่วงที่ผ่านมามีพฤติการณ์ปิดกั้น ตรวจสอบบุคคลเข้าไปในศาล หรือศาลปิดล้อมด้วยรั้วทุกด้านโดยรอบ

“แม้ไม่มีในกฎหมาย แต่ก็เกิดการขยายอำนาจแล้ว ศาลจึงต้องปรับตัวและก็ควรจะรับฟังวิจารณ์ได้” พูนสุขกล่าว 

ในตอนท้าย ดร.พิเศษ ให้ความเห็นว่า ควรจะทำให้ประชาชนเกิดความเป็นเจ้าของ (ownership) ในการมีส่วนร่วมทางกระบวนการยุติธรรม และยังย้ำว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนต้องเกิดจากการเตรียมข้อมูล และพื้นที่ปลอดภัยที่จะแสดงความคิดเห็น

“เป็นเรื่องอันตรายเหมือนกัน ถ้าเราจะผลักให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยไม่มีการเตรียมพร้อมเลย เพราะเราจะได้เวทีที่คนแสดงอารมณ์กราดเกรี้ยว ความทุกข์ใจ แต่จะไม่ค่อยได้เห็นข้อเสนอแนะเท่าไหร่นัก” ดร.พิเศษ กล่าวทิ้งท้าย 

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save