ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: หายนะจากการไร้หลักการควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน (Civilian Control)

จากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ณ พื้นที่พิพาทแนวชายแดนบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เป็นเหตุให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งราย ตามมาด้วยการประกาศนำพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนทั้งสี่พื้นที่ยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (international court of justice) โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและบิดาของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา

ในความรับรู้แรก ณ เวลานั้น เชื่อเลยว่าหลายคนอาจมองปรากฏการณ์นี้เป็นเพียงสงครามน้ำลายเพื่อปลุกกระแสชาตินิยมของผู้นำกัมพูชา ซึ่งมักใช้เป็น ‘ท่าไม้ตาย’ ประจำตัวด้วยการหยิบยกกรณีพิพาทเหนือดินแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย มาเบี่ยงเบนกระแสสังคมในยามที่คะแนนนิยมของตนและพรรคพวกตกต่ำ และคงไม่มีใครนึกฝันอีกเช่นกันว่าเพียงสองเดือนต่อมาจะเกิดการใช้กำลังทหารปะทะกันตลอดแนวชายแดนกว่า 798 กิโลเมตร หรือแม้กระทั่งภาพซากปรักหักพังของร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมันที่จังหวัดศรีษะเกษก็คงเป็นจินตนาการที่เกินจริง

การบาดเจ็บและเสียชีวิตของกำลังรบ ตลอดจนความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้งสองฝ่าย อาจมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการยกระดับความตึงเครียดของสถานการณ์ ด้วยการยั่วยุและการรุกทางการเมืองระหว่างประเทศของผู้นำกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าการรับมือที่ขาดประสิทธิภาพของรัฐบาลไทยต่อการยั่วยุดังกล่าวก็มีส่วนทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงและการแก้ไขปัญหาด้วยกำลังทหาร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากย้อนมองความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเพื่อไทยกับกองทัพ จะเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลขาดการกำหนดนโยบายและควบคุมการใช้พลังอำนาจทางการทหาร (military power) ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางพลังอำนาจของชาติ (instruments of the national power) ร่วมกับเครื่องมืออื่นอย่างพลังอำนาจด้านการทูต (diplomacy power) และพลังอำนาจด้านเศรษฐกิจ (economy power) ในการสนับสนุนการแก้ไขวิกฤตการณ์นี้อย่างสันติและเหมาะสม เพื่อลดระดับมิให้เกิดเหตุการณ์บานปลายเสียตั้งแต่เริ่มมีกรณีพิพาทในระดับต่ำ

ในทางกลับกัน เรากลับเห็นบทบาทการนำของกองทัพอย่างชัดเจนทั้งการแสดงออกและการปฏิบัติการ ตั้งแต่การยกระดับการวางกำลังตามแนวชายแดน การใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ชายแดนเพื่อควบคุมช่องทางผ่านและด่านพรมแดน รวมถึงการสื่อสารกับสังคมที่มีทิศทางแตกต่างจนดูเหมือนว่าไร้การควบคุมจากรัฐบาลพลเรือน ทั้งที่รัฐบาลพลเรือนควรจะเป็นผู้กำหนดนโยบายและตีกรอบการทำงานให้กองทัพเสียด้วยซ้ำ

ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่เข้าใจและขาดการให้ความสำคัญกับหลักการควบคุมกองทัพโดยรัฐบาลพลเรือน (civilian control of military) ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงกระทำของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา แต่รัฐบาลเพื่อไทยกลับไม่ปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้ ก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรงยิ่งขึ้น นำไปสู่การยกระดับความขัดแย้ง จนถึงขั้นโจมตีกันด้วยอาวุธ (arm conflict)ในที่สุด

หลายท่านอาจสงสัยว่ารัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งมี ‘ขุนพล’ ด้านความมั่นคงและการทหาร รวมทั้งมีประสบการณ์บริหารประเทศอย่างยาวนาน เดินทางมาถึงหายนะในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไร ผู้เขียนจึงอยากชวนทุกท่านย้อนมองพัฒนาการของสถานการณ์กว่าสี่เดือนที่ผ่านมา ว่าอะไรคือสาเหตุของหายนะทางการดำเนินนโยบายการเมือง การทูต และการทหารของรัฐบาลไทยในปี 2568


ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลข้ามขั้ว


ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ‘เศรษฐา 1’ เมื่อปลายปี 2566 เป็นต้นมา เราแทบไม่เห็นนโยบายด้านความมั่นคงของรัฐบาลที่เป็นรูปธรรม หรือแม้แต่ความพยายามในการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้หาเสียงไว้ในการเลือกตั้ง ยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีการเอ่ยถึง

ซ้ำร้ายล่วงเลยมาถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อำนาจในการบริหารส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงก็ล้วนหลุดลอยไปจากมือของพรรคเพื่อไทย เห็นได้ชัดจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมที่มีอดีตนายพลคนสำคัญในยุครัฐบาล คสช. จากโควตาพรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายด้านความมั่นคงและควบคุมการปฏิบัติของกองทัพเสียเอง แม้กองเชียร์พรรคเพื่อไทยจะยืนยันหนักแน่นว่าการที่ภูมิธรรม เวชยะชัย รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือเป็นการควบคุมกองทัพได้อย่างแยบคายแล้ว

แต่หากมองลึกลงไปในรายละเอียดจะเห็นว่าภูมิธรรมแทบไม่ได้ ทำงานอะไรเลยในบทบาทของ รมว.กห. เนื่องด้วยภาระหนักในฐานะรองนายกรัฐมนตรีลำดับที่หนึ่ง ซึ่งมีบทบาททางการเมืองมากมายในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ซ้ำยังต้องประคับประคองนายกรัฐมนตรีมือใหม่อย่างแพทองธารให้อยู่รอดปลอดภัยทั้งจากภัยทางการเมืองและนิติสงคราม ด้วยภาระเหล่านี้ทำให้นายภูมิธรรมในฐานะ รมว.กห. ไม่มีทั้งเวลาและความพยายามใดๆ หลงเหลือในการขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงและการบริหารจัดการกองทัพ

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเสถียรภาพของรัฐบาลมาถึงจุดสั่นคลอน เนื่องจากการถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทย จนทำให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ท่ามกลางความตึงเครียดของสถานการณ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่มีทีท่าจะยกระดับความรุนแรงมากขึ้น เรากลับเห็นภูมิธรรมถูกโยกไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซ้ำร้ายกลับไม่มีแม้แต่ชื่อของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในคณะรัฐมนตรี ‘แพทองธาร 1/2’ คงเหลือไว้แต่พลเอกณัฐพล นาคพานิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ท่านเดิม

ทำให้มีข่าวลือหนาหูว่าเป็นการปล่อยตำแหน่งให้ว่างไว้ เพื่อรอให้นายพลบางท่าน (ซึ่งเป็นอดีต 250 สว. ในยุค คสช.) ครบกำหนดการเว้นวรรคทางการเมืองในเดือนตุลาคม 2568 สะท้อนให้เห็นว่าการปรับ ครม. ครั้งนี้ ยิ่งตอกย้ำความไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการควบคุมและกำหนดทิศทางการทำงานของกองทัพตามหลักการควบคุมโดยรัฐบาลพลเรือน อีกทั้งยังสะท้อนภาพความเกรงอกเกรงใจและดำรงหลักการ ‘ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน’ ของฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ นั่นเองคือหนึ่งในสาเหตุของหายนะแห่งวิกฤตการณ์และความสูญเสียในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมา 


เมื่อนักการเมืองสร้างสภาวะ ‘เขตทหารห้ามเข้า’ เสียเอง


ในห้วงทศวรรษ 1990 หลายท่านอาจเคยชินกับป้าย ‘เขตทหารห้ามเข้า’ ตามรั้วค่ายทหาร ที่เป็นการสื่อความหมายถึงการรักษาความลับทางราชการทหาร ตลอดจนการรักษาความปลอดภัยเอกสาร สถานที่ และบุคคลากรของกองทัพ (operation security: OPSEC) อันเป็นหนึ่งในหลักการสำคัญในการปฏิบัติการทางทหาร เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามล่วงรู้หรือสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์

แต่ระยะหลังเมื่อกระแสสังคมเริ่มตื่นตัวและตั้งคำถามเกี่ยวกับการดำเนินงานของกองทัพ ซึ่งเป็นหน่วยรับงบประมาณจากภาษีประชาชน เช่น การใช้จ่ายงบประมาณและหลักธรรมาภิบาลภายในองค์กร ประกอบกับกองทัพเองก็ต้องการประชาสัมพันธ์ผลงานของตน เพื่อสื่อสารให้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการมีอยู่ขององค์กร ทำให้คำว่า ‘เขตทหารห้ามเข้า’ ค่อยๆ เลือนหายจากภาพจำของประชาชนทั่วไป กลับกลายเป็น ‘เขตทหารยินดีต้อนรับ’ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ผลิตขึ้นเพื่อสื่อสารกับประชาชนและสังคม ผ่านกลไกของงานด้านกิจการพลเรือน (civilian affair) ที่เป็นกิ่งงานสำคัญอย่างหนึ่งของกองทัพสมัยใหม่ จึงไม่แปลกใจเลยหากเราเห็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวตามค่ายทหาร หรือการลงไปคลุกคลีกับประชาชนของชุดปฏิบัติการมวลชนของกองทัพหลังปี 2535 ซึ่งกระแสนิยมทหารตกต่ำถึงขีดสุดจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในปีนั้น

ทว่าหากมองลึกลงผ่านเปลือกนอกของงานด้านกิจการพลเรือนที่กองทัพพยายามสื่อสารกับสังคม เรากลับไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและกระบวนการดำเนินงานของกองทัพไทยเลย ทุกครั้งที่มีการจัดตั้งรัฐบาล ตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมไม่ใช่อะไรที่เกินความคาดหมายไปกว่าชื่อของอดีตนายพลที่เกษียณอายุราชการ ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำเหล่าทัพในเวลานั้น หรือในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารทั้งสองครั้งในปี 2549 และ 2557 ยิ่งเห็นได้ชัดว่ากองทัพมีความเป็นเอกภาพและมีอิสระจากการตรวจสอบจากรัฐสภาเพียงใด เท่ากับว่าในทางโครงสร้าง นโยบาย และแนวทางการดำเนินงานของกองทัพไทยนั้น จึงยังคงเป็นแดนสนธยาดั่งคำที่ว่า ‘เขตทหารห้ามเข้า’ มาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ การปฏิรูปหรือพัฒนาศักยภาพของกองทัพไทยตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนการมาถึงของรัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา สมัยที่สองในปี 2562 ที่มีเสียงปริ่มน้ำจากการกวาดต้อนเอา สส. ปัดเศษมารวมกันจนได้เสียงข้างมาก พร้อมกับการปรากฎตัวของฝ่ายค้านวิถีใหม่อย่างพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์กองทัพอย่างมาก ตลอดจนกระแสสังคมในยุคโซเชียลมีเดียครองเมืองที่สามารถติดตามการตรวจสอบและวิพากษ์ประเด็นปัญหาต่างๆ ที่แทบจะมีมาแบบรายวันของรัฐบาล ‘ประยุทธ์ 2’ และกองทัพ

บรรยากาศเหล่านี้ยิ่งทำให้กระแสเรียกร้องการปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ที่สำคัญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ซึ่งเดิมอาจไม่มีผู้คนสนใจติดตามมากนัก ก็สามารถตีแผ่ความรู้ความเข้าใจและให้ทัศนะในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและแหลมคมยิ่งขึ้น ส่งผลให้ความต้องการปฏิรูปกองทัพนั้นพุ่งสูงถึงขีดสุดในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งปี 2566 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับบรรดาพรรคร่วมฯ ที่เคยหนุนพลเอกประยุทธเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2562 แล้ว กลับพลิกบทบาทด้วยการไม่ดำเนินตามนโยบายที่หาเสียงไว้ และเจริญรอยตามรัฐบาลพลเรือนในยุคก่อนๆ ด้วยการไม่กล้าปฏิรูปหรือปรับปรุงระบบโครงสร้างใดๆ ในงานด้านความมั่นคงของไทย

ชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอย่างสุทิน คลังแสง ก็ดูเหมือนเป็นการจัดสรรตำแหน่งแบบ ‘แก้เขิน’ มากกว่าการเอาใจใส่นโยบายปฏิรูปกองทัพ เราจึงได้เห็นบทบาทของ รมว.กห. ในช่วงปี 2566-2568 เป็นได้เพียงกระบอกเสียงของกองทัพในเวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือการแถลงข่าวต่อสื่อเพื่อตอบโต้ฝ่ายค้านไปวันๆ ซึ่งนั่นเท่ากับพรรคเพื่อไทยเองไม่ได้มองเห็นและฉกฉวยโอกาสจากกระแสสังคมห้วงก่อนการเลือกตั้งเพื่อที่จะชิงการนำในการปฏิรูปกองทัพ และควบคุมนโยบายด้านความมั่นคงซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญอีกแขนงหนึ่งในการบริหารประเทศ

ขณะที่ความเกรงอกเกรงใจและความต้องการรักษาสถานภาพอันดีของรัฐบาลและกองทัพ กลับยิ่งไปสร้างความเชื่อที่ผิดๆ ในการไม่เข้าไปก้าวก่ายอำนาจและผลประโยชน์ของกันและกัน ทำให้เกิดปัญหาหยั่งรากลึกทั้งในเชิงโครงสร้างและวิธีการทำงานของกองทัพและกระทรวงกลาโหม ที่ควรจะมีฝ่ายการเมืองเป็นผู้กำหนดนโยบายให้กองทัพขับเคลื่อน โดยมีกรอบการทำงานและทิศทางในทุกมิติตามที่ประชาชนได้ไว้ใจมอบฉันทามติผ่านการเลือกตั้งมาแล้ว

กล่าวโดยสรุปคือ หากมองย้อนไปในห้วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมปี 2566 ที่แม้แต่ตัวกองทัพเองก็ยังออกมาประกาศแผนการปฏิรูปองค์กรของตนผ่านสื่ออยู่เป็นระยะๆ แต่กลับเป็นรัฐบาลเพื่อไทยเสียเองที่ทำลายโอกาสในการ ‘นำ’ กองทัพไปสู่ทิศทางที่ถูกที่ควร และกลับยิ่งเพิ่มความชัดเจนให้กับเส้นแบ่งทางอำนาจและเสริมสร้างการดำรงอยู่ในลักษณะ ‘รัฐซ้อนรัฐ’ ของกองทัพ ตอกย้ำภาพจำของป้ายโลหะบนรั้วลวดหนามตามค่ายต่างๆที่ว่า ‘เขตทหารห้ามเข้า’ ซึ่งในท้ายที่สุด สภาวะแบบที่เป็นอยู่มากว่าสองปีของรัฐบาลเพื่อไทยจึงยิ่งทวีความซับซ้อนในการแก้ไขปัญหาในยามวิกฤต เช่น กรณีพิพาทไทย-กัมพูชาระลอกนี้


ใช้เครื่องมือ ‘ผิดที่ผิดเวลา’ จึงได้แค่ชนะศึกแต่พ่ายสงคราม


นอกจากจะปล่อยให้กองทัพดำเนินการเป็นอิสระโดยไร้การควบคุมแล้ว รัฐบาลยังไม่สามารถบูรณาการพลังอำนาจของชาติ (national powers) ซึ่งประกอบไปด้วยพลังอำนาจทางการเมืองการทูต เศรษฐกิจ การทหาร และข้อมูลข่าวสารได้อย่างสอดคล้องเหมาะสม การวางยุทธศาสตร์แก้ไขสถานการณ์วิกฤตในครั้งนี้ดูเหมือนจะสะเปะสะปะและไม่เป็นมืออาชีพ เครื่องมือหลักทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเจรจาต่อรองทางการเมือง อย่างมาตรการตัดพลังงาน การควบคุมสินค้าส่งออก หรือแม้กระทั่งการปิดด่านพรมแดนถาวรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการเจรจาต่อรองทางการเมือง ซึ่งควรถูกนำมาใช้ตั้งแต่หลังกัมพูชาประกาศนำข้อพิพาทไปสู่ศาลโลก กลับไม่สามารถถูกเลือกใช้กดดันให้ทางกัมพูชาอย่างมีประสิทธิภาพ และกลับเข้าสู่การเจรจาในระดับทวิภาคีผ่านกลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วมหรือ JBC (Joint Boundary Committee)

ในทางตรงข้าม ภายหลังสถานการณ์ยกระดับความตึงเครียดและเกิดการยั่วยุผ่านทั้งสงครามข่าวสาร (IO) และการตอบโต้ทางการเมืองกันไปมา รัฐบาลกลับปล่อยให้แม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2 ใช้อำนาจตาม พรบ.กฎอัยการศึกฯ ควบคุมและปิดด่านพรมแดนตลอดแนว 18 ช่องทางเป็นระยะทาง 798 กม. ซึ่งเท่ากับเป็นการราดน้ำมันลงไปบนกองไฟ

การปิดด่านครั้งนี้อาจเป็นการกระทำที่ถูกที่แต่ผิดเวลา เพราะกำลังรบของทั้งสองฝ่ายต่างก็พร้อมจะประจันหน้ากันอย่างเต็มกำลัง อันสะท้อนถึงการไร้ยุทธศาสตร์ในการรับมือกับความขัดแย้งครั้งนี้ ที่รัฐบาลควรจะจัดตั้ง ครม.ความมั่นคง(Security Cabinet) หรืออย่างน้อยขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาผ่านกลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ที่ล้วนมีรัฐมนตรีที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเป็นสมาชิกอยู่เสียตั้งแต่เนิ่น ซึ่งนั่นจะเป็นการบูรณาการเครื่องมือทางพลังอำนาจด้านต่างๆ ในการแก้ไขอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

เมื่อสถานการณ์การสู้รบปะทุขึ้น รัฐบาล -โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี- กลับไม่มีบทบาทใดๆ ซ้ำยังขาดการสื่อสารกับสังคม ภาพนายกรัฐมนตรีแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ เพื่อสื่อสารกับประชาชนทั้งประเทศรวมถึงนานาชาติ กลับถูกแทนที่ด้วยข่าวการแถลงของสารพัดโฆษกจากกองทัพและกระทรวงกลาโหม 

การตั้งหน่วยงานอย่างศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ที่มีสโลแกนสวยหรูว่า ‘ทีมไทยแลนด์’ นั้น ก็ไม่ได้มีบทบาทและอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน รัฐบาลไม่เคยบอกกับประชาชนเลยว่าเราใช้เครื่องบิน เอฟ16 รถถัง หรือปืนใหญ่ ขณะที่พี่น้องทหารเรือนแสนสู้รบและทำให้วิกฤตครั้งนี้ยุติลงอย่างไร มีแต่เพียงวาทกรรมจากฝั่งกองทัพและเหล่าผู้สนับสนุนปีกชาตินิยมสุดโต่ง (ultra-nationalism) อาทิ “จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว” หรือการหยิบเอาเนื้อเพลงชาติ อย่าง “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” มาปลุกกระแสและเพิ่มแรงสนับสนุนในการสู้รบจากสังคม

หากว่ากันตามหลักยุทธศาสตร์ศึกษา การกระทำเช่นนี้อาจสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่สภาวะ ‘ชนะศึกแต่พ่ายสงคราม’ ก็เป็นได้ ในเมื่อก่อนเส้นตายตามข้อตกลงหยุดยิงในเช้าวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ทหารไทยสามารถยึดครองภูมิประเทศสำคัญได้กว่าแปดจากสิบเอ็ดจุด และอัตราการสูญเสียของกำลังรบที่ต่างกันหลายร้อยเท่า แต่ในที่สุดแล้วรัฐบาลกลับไม่มีกลยุทธ์อะไรเลยที่จะเอาความได้เปรียบในสนามรบนั้นไปใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางยุทธศาสตร์ 

แน่นอนว่าความเป็นจริงไทยไม่สามารถทำสงครามเต็มรูปแบบเพื่อยึดครองดินแดนกัมพูชาได้เบ็ดเสร็จ หรือแม้แต่ทำลายกองทัพกัมพูชาทั้งหมดให้หมดความเป็นภัยคุกคามลงได้ ดังนั้น การสู้รบกันในครั้งนี้จึงควรเป็นเพียงหนึ่งในความพยายามจากหลายด้านเพื่อสร้างความได้เปรียบในการเจรจาต่อรองระดับยุทธศาสตร์เพียงเท่านั้น แต่รัฐบาลเพื่อไทยซึ่งควรมีบทบาทเป็นผู้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ (policy makers) กลับไม่ได้กำหนดวัตถุประสงค์ทางการเมือง (political objectives) และวิถีทางเชิงยุทธศาสตร์ (strategic directive) ให้แก่กองทัพ ซึ่งเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ที่ต้องการในการใช้กำลังทหาร (military end states) อันนำไปสู่การกำหนดกรอบการใช้กำลังและรูปร่างหน้าตาของปฏิบัติการในระดับยุทธการและยุทธวิธี (concept of operations) ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์เหล่านั้นอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ

และในความเป็นจริงไทยสูญเสียชีวิตของวีรชนทหารกล้าไปถึง 15 นาย โดยยังไม่ทราบแน่ชัดด้วยซ้ำว่าเรารบไปเพื่ออะไร ดั่งคำของซุนวูผู้เป็นบิดาแห่งยุทธศิลปะที่ว่า “ยุทธศาสตร์ที่ไร้ยุทธวิธีคือหนทางสู่ชัยชนะที่ช้าและยากที่สุด แต่ยุทธวิธีที่ไร้ซึ่งยุทธศาสตร์เป็นเพียงแต่เสียงดังรำคาญที่มาก่อนหายนะเท่านั้น”


อะไรคือสิ่งที่ควรทำเพื่อหยุดหายนะครั้งนี้?


สิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยควรถามตัวเองเป็นลำดับแรก คือ ‘หน้าตา’ ของความสำเร็จในการแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ในฐานะรัฐบาลซึ่งได้รับฉันทามติจากประชาชนให้เข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศ ควรเป็นแบบใด อะไรคือผลประโยชน์แห่งชาติ (national interests) และเราจะทำอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์นั้น

หากคำตอบของรัฐบาลคือการหาทางออกอย่างสันติ การดึงเอากัมพูชากลับมาอยู่ในการเจรจาทวิภาคีผ่านกลไก JBC และยุติการนำเรื่องพิพาทดินแดนทั้งสี่พื้นที่ขึ้นศาลโลก รัฐบาลเองก็จะต้องนำโจทย์เหล่านี้ไปเป็นสารตั้งต้นสำหรับการกำหนดกรอบการทำงานของกองทัพ ให้สอดรับกับผลลัพธ์ทางการเมืองการต่างประเทศที่รัฐบาลต้องการ มิใช่แต่จะปล่อยให้กองทัพปฏิบัติการต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของการต่อสู้จะจบลงที่ใด ซึ่งส่งผลเสียต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม และภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาชาวโลก

แม้การเจรจาหยุดยิงที่ถูกโน้มน้าวแกมบังคับโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะสามารถลดความตึงเครียดได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทำให้แรงจูงใจและเป้าประสงค์ทางการเมืองของฝั่งกัมพูชานั้นลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด ดังนั้น รัฐบาลในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่สูงสุดในการแก้ไขปัญหานี้ จึงต้องกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะไม่ใช่เจตจำนงทางการเมืองที่มุ่งปฏิรูประบบการบริหารความมั่นคง แต่การดำรงไว้ซึ่งหลักการควบคุมโดยพลเรือนต่อกองกำลังทหารนั้น เป็นสิ่งสำคัญในการบริหารประเทศ และเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการยุติหายนะที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วกว่าสี่เดือนที่ผ่านมา


Bibliography

บุญโปร่งวันวิชิต, and บัวหล้าธีรพงศ์. “การเปลี่ยนแปลงบทบาททางการเมืองของกองทัพไทยตั ้งแต่ พ.ศ. 2535-2563 ,” June 29, 2021.

Dan. “Tactics without Strategy: The ‘Art’ of Failing.” Everything about Business Improvement, December 10, 2022. https://tikalacademy.com/tactics-without-strategy.

Parlier, Rachael. “AUL LibGuides: DIMEFIL: Instruments of Power.” fairchild-mil.libguides.com, January 2024. https://fairchild-mil.libguides.com/dimefil.

PPTV Online. “ปฏิรูปกองทัพ ‘กลาโหม’ ตั้งเป้าลดนายพล 50 % – ลดทหารเกณฑ์ สู่ระบบสมัครใจ.” pptvhd36.com. PPTVHD36, May 31, 2023. https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/197654.

ประชาไททีมข่าวการเมือง. “สนทนาทวนกระแส ยึดพื้นที่ 11 จุด ยิ่งเจรจายาก? มองโจทย์ใหม่ ค้นหาจุดยืนไทยในเวทีโลก | ประชาไท.” ประชาไท, August 20, 2025. https://prachatai.com/journal/2025/08/113980.

Thai PBS. “ด่วน! ไทยจ่อประกาศปิดด่านกัมพูชา 6 แห่ง จุดผ่อนปรน 10 แห่ง.” Thai PBS, May 31, 2025. https://www.thaipbs.or.th/news/content/352722.

Thai PBS. “เว้นวรรค รมว.กลาโหม ‘รอ’ บิ๊กแก้ว พ้นเงื่อนไข นั่ง ‘สนามไชย 1.’” Thai PBS, July 4, 2025. https://www.thaipbs.or.th/news/content/353929.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save