fbpx

‘บรรหารบุรี’ ในวันที่ไม่มีบรรหาร ศิลปอาชา

C:\Users\USER\Desktop\377913751_10161910969696535_4911383008825669263_n.jpg

4 ปีก่อน ผมมีโอกาสแวะคารวะอนุสาวรีย์ของคุณบรรหาร ศิลปอาชา ก่อนจะผ่านไปทำงานพื้นที่อำเภออู่ทอง ซึ่งในตอนนั้นเพิ่งจัดพิธีเปิดในวันครบรอบ 3 ปีแห่งการจากไป ประทับใจการเลือกตำแหน่งที่ตั้งได้เหมาะเหม็งมาก เบื้องหน้าเป็นหอคอยบรรหาร-แจ่มใส ฉากหลังเป็นพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร สองสัญลักษณ์ของเมืองสุพรรณฯ ยุคใหม่ที่แกคิดริเริ่มทำทั้งสิ้น (ถ้ายุคเก่าน่าจะเป็นวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร, พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์)

นับแต่ครั้งนั้น ผมยังได้ไปเยือนสุพรรณบุรีอีกหลายหน ล่าสุดคือเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

“..ถ้าพณะท่านยังอยู่นะ สุพรรณบุรีคงไปได้ไกลกว่านี้..”

มักเป็นคำพูดคำกล่าวที่ผมมักได้ยินอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่แค่จากประชาชนคนสุพรรณฯ แต่รวมถึงหมู่ข้าราชการอีกด้วย โดยมองว่าทายาททางการเมืองของคุณบรรหารไม่ได้มีบารมีในระดับเดียวกับที่ท่านเคยมี อีกทั้งเครือข่ายภายในก็ไม่ได้เป็นปึกแผ่นเหมือนก่อนแล้ว ส่งผลต่อการขับเคลื่อนจังหวัด

ย้อนนึกถึงความเห็นมากมายที่พบในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อคราวทีมสุพรรณบุรีเอฟซีตกชั้นลงไปจากลีกสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ในฤดูกาล 2564/65

“..คิดถึงท่านบรรหาร ถ้ายังอยู่คงไม่ปล่อยให้ทีมตกต่ำแบบนี้..”

แฟนบอลส่วนหนึ่งมองว่าคุณวราวุธ ศิลปอาชา บุตรชายของคุณบรรหารไม่ค่อยใส่ใจสโมสรเท่าที่ควร ห่างพื้นที่ไปตั้งแต่รับตำแหน่งรัฐมนตรี และให้ภรรยาเข้ามาดูแลทำทีมต่อ บ้างบอกถึงขนาดว่าคุณท็อปไม่เคยนอนค้างที่เมืองสุพรรณฯ ด้วยซ้ำ ต่อให้งานเสร็จดึกดื่นแค่ไหนก็มักจะกลับไปนอนที่บ้านที่กรุงเทพฯ เสมอ

คุณบรรหารจึงกลายเป็นต้นแบบของผู้นำมากบารมีที่เข้าใจบริบทพื้นที่และมีบทบาทผลักดันการพัฒนาจังหวัดของตนได้

“..คุณบรรหารเป็นคนสุพรรณบุรี ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ราชการในจังหวัด แต่โดยที่คุณบรรหารเป็นนักพัฒนา และมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรี จึงได้รับความร่วมมือกับทางราชการพัฒนาจังหวัดสุพรรณบุรีสง่างามน่าท่องเที่ยวจนคนสุพรรณบุรีเรียกจังหวัดจังหวัดสุพรรณบุรีเล่นๆ ว่าบรรหารบุรี..” 

จากคำไว้อาลัยข้างต้น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ก็มองคล้ายกัน[1]

ทั้งๆ ที่สุพรรณบุรีเป็นจังหวัดขนาดกลาง ประชากรไม่ถึงล้านคน มิใช่จังหวัดอุตสาหกรรม ไม่ใช่หัวเมืองใหญ่ ไม่ได้เป็นจังหวัดชายแดนที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจ ทว่าสุพรรณบุรีกลับเป็นที่โจษจันไปทั่ว เพราะมีทางหลวงที่กว้างใหญ่ คุณภาพสูง และเป็นโครงข่ายเชื่อมต่อ, มีหอคอยชมเมืองแบบที่เห็นในต่างประเทศก่อนหน้าทุกจังหวัด, มีอควาเรียมที่มีอุโมงค์ปลาน้ำจืดเป็นแห่งแรกของประเทศ, มีมังกรยักษ์ตั้งตระหง่านถือเป็นอีกแลนด์มาร์กของเมือง, มีศูนย์ราชการที่พร้อมสรรพ สามารถรวมเอาหน่วยงานต่างๆ จำนวนมากมาตั้งอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกันได้ (ตลอดสองฝั่งถนนบางบัวทอง-สุพรรณบุรีช่วงที่ผ่านตัวจังหวัด) โดยมีอาคารศาลากลางจังหวัดที่ใช้งบประมาณร่วม 400 ล้านบาทเป็นศูนย์กลาง สภาพภูมิทัศน์สวยงาม, มีสนามกีฬากลางที่มีมาตรฐานกว่าสนามกีฬากลางของจังหวัดอื่น เช่นเป็นอัฒจรรย์รอบทิศ ความจุหลายหมื่นคน มีการซ่อมบำรุง/ปรับปรุงสนามอย่างสม่ำเสมอ, มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทั่วทั้งจังหวัดไม่เคยว่างเว้นขาดสาย ฯลฯ

ความน่าทึ่งเหล่านี้ของเมืองสุพรรณแยกไม่ออกจากชีวิตและงานของบรรหาร

คุณบรรหารเริ่มก้าวแรกบนเส้นทางการเมืองด้วยตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุพรรณบุรีที่มาจากการ ‘แต่งตั้ง’ ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม ดำรงตำแหน่งอยู่ได้ 9 เดือนก็ลาออก (ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 16)[2] ขณะที่นักการเมืองอายุรุ่นราวคราวเดียวกันมักจะเริ่มบทบาทจากการเป็น ส.จ. จากนั้นเขาจึงก้าวขึ้นสู่การเมืองระดับชาติผ่านระบบ ‘แต่งตั้ง’ ได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกวุฒิสภาตามลำดับ

ด้วยมีพื้นฐานมาจากสายธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่รับงานภาครัฐ คุณบรรหารจึงเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่เข้าใจลักษณะความเป็นรัฐรวมศูนย์ของไทยเป็นอย่างดี โดยรู้ว่าอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของเมืองส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ส่วนกลาง การพัฒนาจังหวัดขึ้นอยู่กับการเมืองระดับชาติเป็นหลัก ไม่ใช่การเมืองท้องถิ่น (หรือราชการบริหารส่วนภูมิภาค)

คุณบรรหารลงสมัคร ‘เลือกตั้ง’ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรีสมัยแรก ปี 2519 โดยสามารถเอาชนะได้ทุกครั้งที่ลงสมัคร รวมแล้ว 11 สมัย และได้เป็นรัฐมนตรีในหลายกระทรวง โดยเฉพาะกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย จนก้าวไปถึงตำแหน่งสูงสุดในชีวิตทางการเมืองคือ นายกรัฐมนตรี (ช่วงปี 2538-2539)

นักการเมืองรุ่นนั้นน้อยคนมากที่จะไม่เคยย้ายพรรค ตรงกันข้าม คุณบรรหารสังกัดพรรคชาติไทยเพียงพรรคเดียวมาตั้งแต่ต้น โดยทำหน้าที่เลขาธิการพรรคระหว่างปี 2523-2537 ภายใต้ร่มเงากลุ่มราชครู และขึ้นเป็นหัวหน้าเพื่อนำพรรคเองช่วงปี 2537-2550

พรรคชาติไทยไม่ใช่พรรคขนาดใหญ่นัก แต่มี ส.ส.จำนวนมากพอจะสร้างอำนาจต่อรองได้ จุดยืนทางอุดมการณ์ไม่สำคัญเท่ากับการเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อให้ได้เข้าไปเกาะเกี่ยวกับอำนาจตรงกลาง ซึ่งยึดกุมทรัพยากรเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรงบประมาณและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ

ถ้านับเฉพาะช่วงปกติ ไม่นับช่วงรัฐประหาร นับตั้งแต่คุณบรรหารขึ้นมาคุมพรรคชาติไทยเบ็ดเสร็จเมื่อปี 2537 ในฐานะหัวหน้าพรรค จวบจนเปลี่ยนมาใช้ชื่อพรรคชาติไทยพัฒนาถึงปัจจุบัน พรรคของเขาไม่ได้ร่วมรัฐบาลเพียง 2-3 ปี จากเวลาเต็มๆ ประมาณ 23 ปี ไม่น่าเคยมีพรรคการเมืองไหนทำได้ระดับนี้อีกแล้ว

หากเจาะจงดูที่สุพรรณบุรี พรรคชาติไทย (หรือชาติไทยพัฒนา) เอาชนะเลือกตั้ง ส.ส.แบบ ‘ยกจังหวัด’ ได้เป็นครั้งแรกในปี 2531 และทำได้เช่นนี้ในทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งอีกนับสิบครั้ง ยกเว้นเมื่อปี 2554 เพียงครั้งเดียวที่ต้องเสีย 1 ที่นั่งให้กับพรรคเพื่อไทย ตลอดรอบ 3 ทศวรรษครึ่ง รวมถึงครั้งล่าสุดในปีนี้ สุพรรณบุรีจึงเป็นยิ่งกว่าเมืองหลวงของพรรคชาติไทย

ตารางผลการเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดสุพรรณบุรีกับการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคชาติไทย/ชาติไทยพัฒนา[3]

ช่วงปีบทบาทการเลือกตั้งเมื่อจำนวน ส.ส.
บรรหาร ศิลปอาชาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคชาติไทยตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปี 2551
2538-2539รัฐบาลบรรหาร2 กรกฎาคม 2538ยกจังหวัด 6 ที่นั่ง
2539-2540ฝ่ายค้าน (รัฐบาลชวลิต)17 พฤศจิกายน 2539ยกจังหวัด 6 ที่นั่ง
2540-2544รัฐบาลชวนเข้าร่วมรัฐบาลใหม่ หลังพลเอกชวลิตลาออก
2544-2548รัฐบาลทักษิณ6 มกราคม 2544ยกจังหวัด 6 ที่นั่ง
2548-2549ฝ่ายค้าน (รัฐบาลทักษิณ)6 กุมภาพันธ์ 2548ยกจังหวัด 6 ที่นั่ง
รัฐประหารปี 2549
2550-2551รัฐบาลสมัคร-สมชาย23 ธันวาคม 2550ยกจังหวัด 5 ที่นั่ง
พรรคชาติไทยถูกยุบโดยศาลรัฐธรรมนูญในปี 2551 และได้มีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นในชื่อพรรคชาติไทยพัฒนา
2551-2554รัฐบาลอภิสิทธิ์เข้าร่วมรัฐบาลใหม่ หลังนายสมชายพ้นตำแหน่ง ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เลือกตั้งซ่อม 11 มกราคม 2552ยกจังหวัด 5 ที่นั่ง
2554-2557รัฐบาลยิ่งลักษณ์3 กรกฎาคม 2554ได้ 4 จาก 5 ที่นั่ง แพ้ให้กับพรรคเพื่อไทย 1 เขต
รัฐประหารปี 2557 
บรรหารเสียชีวิตในปี 2559
2562-2566รัฐบาลประยุทธ์24 มีนาคม 2562ยกจังหวัด 4 ที่นั่ง
2566-.?รัฐบาลเศรษฐา14 พฤษภาคม 2566ยกจังหวัด 5 ที่นั่ง

Yoshinori Nishizaki นักวิชาการชาวญี่ปุ่นที่สนใจศึกษาการเมืองไทย ผู้ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับคุณบรรหารและสุพรรณบุรีโดยตรง ชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่ทำให้ตระกูลศิลปอาชาและเครือข่ายสามารถเอาชนะใจผู้เลือกตั้งและผูกขาดความสำเร็จในการเลือกตั้งมาได้ตลอดก็คือ การสร้างอัตลักษณ์ท้องถิ่นใหม่หรือ ‘จังหวัดนิยม’ (Provincial Identity) ผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ ที่เกิดในพื้นที่ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เห็นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นถนน โรงเรียน โรงพยาบาล หอนาฬิกา ศาลหลักเมือง ฯลฯ เป็นผลจากทั้งการบริจาคเงินส่วนตัว ดึงเอางบประมาณแผ่นดินมาลง รวมถึงมีเครือข่ายบริวารที่ช่วยโฆษณาขยายผลกันเอิกเกริก ทำให้ผู้เลือกตั้งเกิดความภาคภูมิใจในจังหวัดของตน ช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของจังหวัดที่ล้าหลัง และถูกรัฐส่วนกลางทอดทิ้งในอดีต และมองเห็นว่านักการเมืองที่ทำสิ่งเหล่านี้ให้กับชุมชนถือเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อส่วนรวม สามารถไว้วางใจได้ และน่าเคารพนับถือในฐานะผู้นำที่ดี ความนิยมทางการเมืองดังกล่าวถูกสะท้อนออกมาในรูปของผลการเลือกตั้งที่ตระกูลศิลปอาชาและเครือข่ายพรรคชาติไทยสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยการแจกจ่ายเงินและการใช้อิทธิพลมืด[4]

ขออธิบายเฉพาะเรื่องถนน คนมักเข้าใจว่าถนนหนทางในสุพรรณบุรีดี เพราะชาติไทยได้คุมกระทรวงคมนาคมมาตลอด อันที่จริงไม่ใช่ พรรคชาติไทยคุมกระทรวงคมนาคม (ในฐานะรัฐมนตรีว่าการ) สั้นมาก รวมกันเพียง 3-4 ปี (โดยมีคุณบรรหารเป็นรัฐมนตรีเองทั้งสิ้น 2 ช่วงเวลา 2529-2531, 2535)

งบประมาณก่อสร้างถนนในสุพรรณบุรีสูงมาก หากเปรียบเทียบกับจังหวัดใกล้เคียง ในช่วง 10 ปีเศษ (ปี 2528-2540) อยุธยาเป็นจังหวัดที่ได้รับงบประมาณมากที่สุดคือ เกือบถึง 12,000 ล้านบาท ขณะที่สุพรรณบุรีตามมาเป็นอันดับที่ 2 ที่ราว 8,000 ล้านบาท กรณีอยุธยาไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นเขตจังหวัดที่เชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ทั้งเหนือตะวันตก ตะวันออก และกรุงเทพฯ ทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม แต่สุพรรณบุรีนั้นไม่มีความชัดเจนเท่าใดนัก แต่กลับได้งบประมาณสูงกว่า[5] ยิ่งไปกว่านั้น ยังพุ่งขึ้นสูงสุดๆ ในช่วงคาบเกี่ยวกับที่คุณบรรหารเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย

ดังนั้น อำนาจบารมีของคุณบรรหารจึงไม่ใช่แค่ระดับกระทรวง แต่เป็นระดับประเทศซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปอีก คุณบรรหารจึงสามารถใช้ถนนในการสร้างเมืองได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่พรรคชาติไทยไม่ได้คุมกระทรวงคมนาคมก็ตาม เพราะความสำคัญอยู่ที่การตัดสินใจของเขาเกี่ยวกับความอยู่รอดของรัฐบาล

ประกอบกับคุณลักษณะส่วนตัวของคุณบรรหารที่ควบคุมตรวจงานก่อสร้างต่างๆ ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง ทั้งที่หลายโครงการไม่ได้อยู่กับกระทรวงในความดูแลโดยตรง ทำให้งานออกมาดีและได้มาตรฐาน ‘หลงจู๊ล้วงลูก’ คือที่คำหนังสือพิมพ์ใช้เรียกแบบเห็นภาพ

อย่างไรก็ดี กระทรวงที่พรรคชาติไทยได้ดูแลนานที่สุดคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยได้ดูกระทรวงนี้นานกว่า 10 ปี เกือบครึ่งหนึ่งของอายุขัยของกระทรวง และใช้เป็นกลไกส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองสุพรรณฯ อย่างได้ผล

แนวคิด ‘จังหวัดนิยม’ ของ Nishizaki ไม่ใช่จะอธิบายได้แค่สุพรรณบุรี แต่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ทำนองเดียวกันที่เกิดขึ้นกับอีกหลายจังหวัดต่อมาได้ด้วย เช่น เชียงใหม่ในยุครัฐบาลไทยรักไทยที่มีทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกฯ, บุรีรัมย์ช่วงที่กลุ่มภูมิใจไทยแยกตัวออกจากพรรคพลังประชาชนและเข้าร่วมกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ รวมถึงช่วงที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลประยุทธ์

การปลุกกระแสจังหวัดนิยมโดยวาดภาพสุพรรณบุรีเป็นต้นแบบได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ซึ่งร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่านำมาใช้หาเสียงจนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งที่จังหวัดพะเยาตลอดสองครั้งหลัง ครั้งแรกพยายามตอกย้ำว่าถ้าพะเยาจะเป็นแบบสุพรรณบุรีได้ (รวมถึงบุรีรัมย์) ก็ต้องเลือก ส.ส.ของพรรคที่มีโอกาสเป็นรัฐบาล และอ้างผลงานอันเป็นที่ประจักษ์ชัดจากการได้เข้าร่วมรัฐบาลสมัยแรกมาใช้สร้างความนิยมในครั้งที่สอง

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นนักการเมืองที่มีตำแหน่งเท่านั้น เฉกเช่นที่บุรีรัมย์มีคุณเนวิน ชิดชอบ เชียงรายมีอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ หรือน่านมีคุณบัณฑูร ล่ำซำ ในฐานะบุคคลที่หน่วยงานภาครัฐให้ความเกรงใจ และมีศักยภาพในการระดมทรัพยากรต่างๆ จากหลายภาคส่วนมาใช้พัฒนาจังหวัด

เราไม่ควรกล่าวโทษผู้เลือกตั้งที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนจังหวัด ปัญหาของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การตัดสินใจของคน หากแต่ยึดโยงอยู่กับโครงสร้างอำนาจรัฐซึ่งถูกรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางเข้มข้น การกระจุกตัวของอำนาจส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วระหว่างจังหวัด กระจายอำนาจต่างหากคือคำตอบ เพราะจะช่วยให้อำนาจสั่งการและผลประโยชน์ที่ได้จากการยึดกุมอำนาจในส่วนกลางคลี่คลายลดลง.

References
1 มังกรสุพรรณคืนสู่ฟ้า, (นนทบุรี: โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, 2559) อ้างถึงใน รายการนอกBangKOK EP09 ทำไมคนสุพรรณถึงรักบรรหาร? โดยชุมพล อุ่นพัฒนาศิลป์ และรัชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา, จาก https://youtu.be/TX2C1rNyGJM
2 ภัทระ คำพิทักษ์ และอินทรชัย พาณิชกุล, บรรหาร ศิลปอาชา: เล่าเรื่องครั้งสุดท้าย, (นนทบุรี: โรงพิมพ์มติชนปากเกร็ด, 2559), หน้า 62.
3 ข้อมูลผลการเลือกตั้งจาก วิทยา ชินบุตร, ความนิยมทางการเมืองของพรรคชาติไทยพัฒนาในจังหวัดสุพรรณบุรี, รายงานการวิจัย เสนอต่อ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2559, หน้า 4-5.
4 ดู Yoshinori Nishizaki, Political Authority and Provincial Identity in Thailand: the Making of Banharn-buri, (Ithaca: Southeast Asia Program Publications, 2011).
5 ดู ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, ไฮเวยาธิปไตย: อำนาจของถนนกับพลวัติการคมนาคมขนส่งของประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2566), หน้า 64-65.

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Thai Politics

20 Jan 2023

“ฉันนี่แหละรอยัลลิสต์ตัวจริง” ความหวังดีจาก ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงสถาบันกษัตริย์ไทย ในยุคสมัยการเมืองไร้เพดาน

101 คุยกับ ‘ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ ถึงภูมิทัศน์การเมืองไทย การเลือกตั้งหลังผ่านปรากฏการณ์ ‘ทะลุเพดาน’ และอนาคตของสถาบันกษัตริย์ไทยในสายตา ‘รอยัลลิสต์ตัวจริง’

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

20 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save