พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย เรื่อง
ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ
ก่อนสิ้นปีหนึ่งวัน เงินบาทแข็งค่าหล่นทะลุ 30 บาทต่อดอลลาร์เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2013 จนกลายเป็นประเด็นใหญ่ ที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ แม้กระทั่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องออกมาแถลงข่าวว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน โดยเป็นผลจากการเร่งทำธุรกรรมก่อนสิ้นปีของผู้ประกอบการบางรายในสภาวะที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ เป็นเรื่องของความต้องการซื้อและขายเงินตราต่างประเทศไม่สมดุลในช่วงก่อนวันหยุดสิ้นปี
จริงๆ แล้ว มันอาจจะไม่ได้เป็นวันที่แปลกประหลาดอะไรนัก เงินบาทแข็งค่าขึ้นประมาณ 20 สตางค์ หรือประมาณ 0.7% ในหนึ่งวัน ไม่ได้ฟังดูเยอะขนาดนั้น และเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
ความผันผวนอาจจะเกิดจากสภาพคล่องในตลาดที่มีน้อย เพราะธุรกรรมค้าเงินตราต่างประเทศมีอยู่ค่อนข้างจำกัดก่อนวันปีใหม่ ทำให้ค่าเงินขยับได้ค่อนข้างมาก รวมทั้งอาจจะมีคนพยายามทำ window dressing ในวันซื้อขายสุดท้ายของปีด้วย
แต่เพราะเลข 30 เป็นจุดสำคัญทางจิตวิทยา ทำให้คนให้ความสำคัญกับการขยับของค่าเงินบาทครั้งนี้ค่อนข้างมาก แม้ว่าพอเปิดปีใหม่มา เงินบาทก็กลับอ่อนค่าลงไปแถวๆ 30 ต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐก็ตาม
ถ้ามองย้อนกลับไปยาวๆ จะพบว่าค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
และหากเรามองข้ามค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐไป แล้วดูค่าเงินที่เรียกว่า nominal effective exchange rate (NEER) หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเฉลี่ยกับทุกสกุล (เช่น ยูโร เยน หยวน ฯลฯ) แล้วถ่วงน้ำหนักด้วยความสำคัญของเงินสกุลนั้นๆ กับตะกร้าการค้าของไทย
เราจะพบว่าค่าเงินบาทแข็งขึ้นมากว่า 20% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ในรูป NEER ไม่พบว่ามีเงินสกุลสำคัญสกุลใดที่แข็งเท่าเงินบาทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
จะเรียกว่า #ไทยบาทแข็งที่สุดในปฐพี ก็คงไม่ผิดนัก
สถานการณ์ดังกล่าวหมายความว่า สำหรับสินค้าไทยที่ขายในต่างประเทศ ถ้าเราต้องการได้มูลค่าเงินบาทเท่ากับเมื่อ 3 ปีก่อน ต้องขายของแพงขึ้น 20% ในเงินสกุลต่างประเทศโดยเฉลี่ย หรือถ้าเราขายราคาคงที่ในต่างประเทศ คนขายจะได้รับเงินน้อยลง 20% โดยเฉลี่ย ซึ่งอาจจะพอแปลได้ว่า ความสามารถในการแข่งขันของเราหายไปประมาณ 20% โดยเฉลี่ยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พร้อมๆ กับอำนาจการซื้อของเงินบาทที่เพิ่มขึ้น) ผลก็คือเราอาจส่งออกได้น้อยลง หรือสินค้านำเข้ามีความน่าสนใจมากขึ้นเทียบกับสินค้าที่ผลิตในประเทศ
เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมีผลกระทบต่อสินค้า (tradeable goods) เช่น สินค้าอุตสาหกรรม หรือสินค้าเกษตร และเริ่มมีผลต่อบริการ เช่น การท่องเที่ยวหรือบริการทางการแพทย์ คนต่างประเทศเริ่มมองว่าต้นทุนการมาเที่ยวหรือมาอยู่เมืองไทย แม้ว่ายังถูกอยู่ แต่ก็เริ่มแพงขึ้น และเริ่มคิดหนักขึ้นกับการมาเยือนไทย
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ ถ้าเรามองย้อนกลับไปไกลๆ แม้เงินบาทยังไม่กลับสู่ระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์ เหมือนสมัยก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 แต่ในรูปค่าเงินเฉลี่ย (NEER) ค่าเงินบาทไทยได้กลับคืนระดับก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 เรียบร้อยแล้ว
นั่นหมายความว่าความสามารถในการแข่งขันที่เราได้มาจากการลอยตัวค่าเงินเมื่อปี 2540 ซึ่งส่งผลให้ไทยฟื้นตัวเร็วมากหลังวิกฤต และเปลี่ยนการส่งออกให้เป็นเครื่องจักรผลักดันเศรษฐกิจ เราได้คืนเขาไปหมดแล้ว
การแข็งค่าของเงินบาท อาจจะเป็นอาการจากปัญหาเชิงโครงสร้างและประเด็นปัจจัยพื้นฐาน (ไม่น่าจะมาจากการเก็งกำไรค่าเงิน) โดยเฉพาะจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทั้งจาก positive shock (เช่น การท่องเที่ยว และราคาน้ำมันที่ปรับลดลงค่อนข้างมาก) จนกลายเป็น Dutch disease ดังที่ผมเคยเล่าถึงไปแล้ว
แต่ถ้ามองจากอีกฝั่ง การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินบาทที่แข็งค่ามีต้นเหตุมาจากโอกาสการลงทุนในประเทศที่มีจำกัด ปัญหาโครงสร้างประชากร และความสามารถในการแข่งขัน ทำให้เรามีเงินออมในประเทศ (ทั้งจากภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน) มากกว่าโอกาสการลงทุนในประเทศ จนสร้างปัญหาความสมดุลระหว่างเงินออมกับเงินลงทุน (savings-investment gap) ผลก็คือเศรษฐกิจไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด จนกดดันค่าเงินอย่างที่เห็น
เราเริ่มเห็นเงินไหลออกจากประเทศ ทั้งนักลงทุนต่างประเทศขายการลงทุนในประเทศไทย และนักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ในขณะที่นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศเราน้อยลง
ระยะหลังปัญหาเริ่มชัดขึ้น ในขณะที่ยอดการส่งออกของไทยหดตัว แต่การนำเข้าหดตัวมากกว่า เพราะอุปสงค์ในประเทศเหือดแห้ง การลงทุนที่มีจำกัดทำให้การนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เรายิ่งเกินดุลการค้า และเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเข้าไปอีก
นอกจากนี้ ระดับอัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำเทียบกับต่างประเทศ ก็สร้างแรงกดดันให้ค่าเงินแข็งขึ้นเช่นกัน
อาการเช่นนี้คล้ายกับที่ญี่ปุ่นเคยเจอเมื่อ 20-25 ปีก่อน เมื่อญี่ปุ่นเริ่มเผชิญปัญหาเรื่องประชากร เกิดข้อจำกัดเรื่องการลงทุนในประเทศ ทำให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศ เรียกว่าญี่ปุ่นเจอปัญหาคล้ายไทยตอนนี้มาก ทั้งเศรษฐกิจโตช้า เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ และค่าเงินเยนแข็ง
แต่ปัญหาคือเรากำลังเจอปัญหาแบบคนรวย ในวันที่เราจนกว่าเขา 5-6 เท่า และเราไม่ได้เป็นเป้าหมายในการลงทุนแบบสมัยก่อนอีกต่อไป
แน่นอนว่าบาทที่แข็งค่าขึ้น น่าจะช่วยปรับปัญหาการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้ในระดับหนึ่ง และในที่สุดบาทอาจจะอ่อนค่าลงก็ได้ แต่เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา สร้างปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขันของประเทศจริงๆ
เราคงต้องสุมหัวคิดกันอย่างจริงจังแล้วว่าจะออกจากปัญหานี้อย่างไร ในวันที่เราเจอปัญหาเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะสั้น
นโยบายกระตุ้นระยะสั้นเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป