93 ปี 24 มิถุนา 2475 : นิรโทษกรรมทางการเมืองครั้งแรกของสยามหลังระบอบใหม่

2568 เป็นปีที่ครบรอบ 93 ปี ของเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบ constitution monarchy ภายหลังระบอบใหม่มี ‘ความเป็นสมัยใหม่’ เกิดขึ้นหลายประการ ที่สำคัญคือมีระบอบการปกครองใหม่ภายใต้ระบบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ มีการตรากฎหมายใหม่ การนิรโทษกรรมครั้งแรก การวางนโยบายทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองจากหลักหกประการ การออกแบบระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย อาทิ การเลือกตั้งทางอ้อม ฯลฯ

ภาพ ณ วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 (ที่มา: พิพิธภัณฑ์รัฐสภา)

และขณะปัจจุบันในการเมืองไทยร่วมสมัยทางสภาผู้แทนราษฎรได้โหวตร่างกฎหมายนิรโทษกรรมทางการเมือง จำนวน 5 ฉบับ[1] เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 สภาฯ จึงโหวตรับหลักการร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจำนวน 3 ฉบับ ได้แก่

1. ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … ที่มีนายวิชัย สุดสวาสดิ์ กับคณะฯ เป็นผู้เสนอนั้นมีเสียงโหวตจากสมาชิก 472 เสียง คือ เห็นด้วย 299 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 172 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง โดยที่ประชุมฯ มีมติรับหลักการ

2. ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … มีนายปรีดา บุญเพลิง กับคณะฯ เป็นผู้เสนอ มีเสียงโหวตจากสมาชิก 470 เสียง เห็นด้วย เสียง 311 ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 158 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง โดยที่ประชุมฯ มีมติรับหลักการ

3. ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … มีนายอนุทิน ชาญวีรกุล กับคณะฯ เป็นผู้เสนอ มีเสียงโหวตจากสมาชิก 461 เสียง เห็นด้วย 311 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง งดออกเสียง 147 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 0 เสียง โดยที่ประชุมฯ มีมติรับหลักการ

ส่วนร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ที่ประชุมฯ มีมติไม่รับหลักการ 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. … ซึ่งนายชัยธวัช ตุลาธน กับคณะฯ เป็นผู้เสนอ มีเสียงโหวตจากสมาชิก 473 เสียง เห็นด้วย 147 เสียง ไม่เห็นด้วย 319 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. … ที่มีนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน เป็นผู้เสนอนั้นมีเสียงโหวตจากสมาชิก 475 เสียง เห็นด้วย 149 เสียง ไม่เห็นด้วย 306 เสียง งดออกเสียง 20 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 0 เสียง[2]

จากความสอดคล้องในสองวาระผู้เขียนจึงขอพาย้อนไปยังจุดตั้งต้นของการนิรโทษกรรมการเมืองครั้งแรกหลังระบอบใหม่ กระบวนการประนีประนอมและต่อรองทางการเมืองผ่านการขอขมาซึ่งคณะราษฎรได้เข้าเฝ้าฯ ขอพระราชทานอภัยและขอขมาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ประมาณ 2-3 ครั้งซึ่งปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์ทั้งหนังสือพิมพ์ จดหมายเหตุ และบันทึกการเมืองในทศวรรษ 2470 ไว้ดังนี้

บางส่วนของคณะราษฎรและครอบครัว (ที่มา : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, “ความจำเป็นทางประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของ 24 มิถุนายน 2475”, วารสารธรรมศาสตร์ 11, 2 (มิ.ย. 2525) : 69.)

บันทึกคณะราษฎรเข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 7 เพื่อขอพระราชทานอภัยครั้งแรกและเสนอพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ พ.ศ. 2475

ทันทีที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันเดียวกันคณะราษฎรได้ส่งคำกราบบังคมทูลฉบับแรกที่สื่อสารโดยตรงต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ​แสดงเจตจำนงในการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่า “…คณะราษฎรไม่ประสงค์จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อจะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน…”

จดหมายเหตุบันทึกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

จากนั้นเพียง 2 วัน ในบันทึกจดหมายเหตุฯ ระบุว่า ณ วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475  เวลา 9.00 นาฬิกา ทางมหาเสวกเอก เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวังรับพระบรมราชโองการฯ ให้เชิญคณะราษฎรเข้าเฝ้าฯ ถวายพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พุทธศักราช 2475 และพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม ณ วังศุโขทัย ดังรายนามได้แก่ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร, นายพลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี, นายพันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ, นายพันตรี หลวงวีระโยธา, หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ร.อ. ประยูร ภมรมนตรี, นายจรูญ ณ บางช้าง, นายสงวน ตุลารักษ์ โดยบันทึกไว้อย่างละเอียดว่า

วันนี้ (ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕) เวลา ๙.๑๑ นาฬิกา มหาเสวกเอก เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ เสนาบดีกระทรวงวัง รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ ให้เชิญนายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร และผู้แทนคณะราษฎร เข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท จึ่งเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ได้จัดรถยนตร์หลวงไปเชิญคณะราษฎรตามพระราชประสงค์

นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้ให้นายพลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี นายพันโท พระประศาสน์พิทยายุทธ นายพันตรี หลวงวีระโยธา อ.ต. หลวงประดิษฐมนูธรรม ร.อ.อ. ประยูร ภมรมนตรี นายจรูญ ณ บางช้าง นายสงวน ตุลารักษ์ ผู้แทนคณะราษฎร พร้อมทั้งนักเรียนนายร้อย ๒ หมวด และรถหุ้มเกราะ ๒ คัน เคลื่อนขะบวนจากพระที่นั่งอนันตสมาคมสู่พระราชวังสุโขทัย พระยาสุรวงศ์วิวัฒน์ สมุหพระราชมณเฑียร ได้เชื้อเชิญคณะราษฎรให้พัก ณ ท้องพระโรงก่อน ครั้นได้เวลา ๑๑.๑๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออก พระยาสุริยวงศ์วิวัฒน์ นํา นายพลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี อ.ต. หลวงประดิษฐ์มนูธรรม พร้อมด้วยคณะราษฎรทั้งมวลดั่งกล่าวแล้ว เข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท.

หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้กราบบังคมทูล ขอพระราชทานพระราชกําหนดนิรโทษกรรมในสมัยเปลี่ยนแปลงการ แผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ หลวงประดิษฐ์ฯ ได้อ่านพระราชกําหนดนิรโทษกรรม ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพยักพระพักตรบ้างเล็กน้อย แล้วหลวงประดิษฐ์มนูธรรมจึงทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้ท้วงติง ทรงรับมาลงพระบรมนามาภิธัยด้วยดี ปราศจากฉันทา โทษา โมหา และพยาคติใด ๆ พระราชกําหนดนิรโทษกรรมมีข้อความดั่งนี้ :–

พระราชกําหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศจงทราบทั่วกันว่า

การที่คณะราษฎรคณะหนึ่ง ซึ่งมีความปรารถนาอันแรงกล้าในอันที่จะแก้ไขจัดความเสื่อมโทรมบางประการของรัฐบาลสยามและชาติไทยให้หายไป แล้วจะพากันจรรโลงสยามรัฐและชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวรมั่นคงเท่าเทียมกับชาติและประเทศอื่นต่อไป จึ่งพากันยึดอํานาจการปกครองแผ่นดินไว้ ด้วยความมุ่งหมายจะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้นเป็นข้อใหญ่ แล้วร้องขอไปยังเราเพื่อให้เราคงดํารงเป็นกษัตริย์แห่งสยามรัฐต่อไปภายใต้ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินนั้น ทั้งนี้แม้ว่าการจะได้เป็นไปโดยขัดกับความพอพระทัยพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ และขัดใจสมาชิกในรัฐบาลเดิมบางคนก็ดี ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเป็นไปเช่นนั้นในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเจริญรุ่งเรืองแล้วเท่าไรๆ ก็ไม่อาจจะก้าวล่วงการนี้เสียได้ ถึงกระนั้นก็เพิ่งปรากฏเป็นประวัติการณ์ครั้งแรกของโลกที่การได้เป็นไปโดยราบรื่นปกติมิได้รุนแรง

และแม้ว่าจะได้อัญเชิญพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการบางคนมาประทับและไว้ ในพระที่นั่งอนันตสมาคมก็เพียงเพื่อประกันภัยของคณะ และเพื่อให้การดําเนิรลุล่วงไปได้เท่านั้น หาได้กระทําการประทุษฐร้ายหรือหยาบหยามอย่างใดๆ และไม่มุ่งหมาย จะกระทําเช่นนั้นด้วย ได้แต่บํารุงรับไว้ด้วยดี สมควรแก่พระเกียรติยศทุกประการ

อันที่จริงการปกครองด้วยวิธีมีพระธรรมนูญการปกครองนี้ เราก็ได้ดําริอยู่ก่อนแล้ว ที่ราษฎรคณะนี้กระทํามาเป็นการถูกต้องตามนิยมของเราอยู่ด้วย และด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติ อาณาประชาชนแท้ๆ จะหาการกระทําหรือแต่เพียงเจตนาชั่วร้ายแม้แต่น้อยก็มิได้

เหตุนี้ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกําหนดนี้ไว้ดั่งต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกําหนดนี้ให้เรียกว่า “พระราชกําหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕”

มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชกําหนดนี้ตั้งแต่ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระบรมนามาภิธัยเป็นต้น

ไป

มาตรา ๓ บรรดาการกระทําทั้งหลายทั้งสิ้นเหล่านั้นไม่ว่าของบุคคลใด ๆ ในคณะราษฎรนี้ หากว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายใด ๆ ก็ดี ห้ามมิให้ถือว่าเป็นการละเมิด. กฎหมายเลย

ประกาศมา ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕

ประชาธิปก ป.ร.

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคืนพระราชกําหนดนิรโทษกรรมมาแล้ว หลวงประดิษฐ์มนูธรรมจึ่งได้อ่าน พระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครอง พระพุทธศักราช ๒๔๗๕ ถวาย ครั้นจบแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดํารัสว่า ข้อความในพระราชบัญญัตินั้นมาก พระองค์ยังไม่สู้จะเข้าพระทัยดี ใคร่จะขอร่างพระธรรมนูญนี้ไว้ดูก่อน แล้วพระองค์ก็เสด็จขึ้น

พระยาสุริยวงศ์วิวัฒน์ ได้ให้เจ้าหน้าที่นําสมุดลงนามเฝ้ามาให้ผู้แทนคณะราษฎรเซ็นทุกคน ราวสัก ๓๐ นาฑี พระยาอิศราฯ นําร่างพระธรรมนูญกลับมาหาคณะราษฎรซึ่งคอยอยู่และแจ้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งมาว่า พระราชบัญญัติพระธรรมนูญปกครองนี้ยาวมาก บางตอนยังไม่เข้าพระทัยดี ครั้นจะประทานพระบรมนามาภิธัยลงทันทีก็ดูไม่งามนัก ขอผัดว่าจะส่งคืนไปตามทางการในวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๗.๐๐ น. คณะราษฎรจะยอมตามได้หรือประการใด “คณะราษฎร” จึ่งเห็นพระราชหฤทัยว่า พระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครองนี้ยืดยาวอยู่ ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงอิดโรยมาก เป็นการสมควรที่จะผ่อนตามพระราชประสงค์ตามที่พระองค์แจ้งมา ครั้นแล้วพระยาอิศราฯ ก็บรรทึกพระบรมราชโองการขอผัดลงนาม มอบให้แก่คณะราษฎรเป็นหลักฐาน คณะราษฎรก็พากันกลับพระที่นั่งอนันตสมาคม…

ภายหลังการเสนอพระราชกําหนดนิรโทษกรรมฯ การประกาศใช้ปฐมรัฐธรรมนูญ ฉบับ 27 มิถุนายน 2475 และการเปิดรัฐสภาครั้งแรกของสยาม ในวันที่ 28 มิถุนายน 2475 ทาง ‘คณะราษฎรได้เชิญเสด็จเจ้านายบางพระองค์กลับวัง…’ เพื่อผ่อนปรน วางดุลอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับระบอบใหม่แต่ยังมีการคุ้มกันดังคำแถลงการณ์สั้นๆ ว่า

คําแถลงการณ์ของคณะราษฎร

เนื่องแต่คณะราษฎรได้เชิญเสด็จเจ้านาย บางพระองค์กลับวังแล้ว แต่เพื่อจะรักษาความปลอดภัยของพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร จึ่งได้จัดทหารไปรักษาการอยู่ตามวังพระบรมวงศานุวงศ์แล้ว.

คณะราษฎร

พระที่นั่งอนันตสมาคม

วันที่ ๒๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕

ขณะที่บันทึกของพระยามหิธรชี้ว่า เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2475 เวลา 17.15 นาฬิกา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎร ประกอบด้วย พระยามโนปกรณ์นิติธาดา, พระยาศรีวิสารวาจา, พระยาปรีชาชลยุทธ, พระยาพหลพลพยุหเสนา และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เข้าเฝ้าฯ ที่วังสุโขทัย โดยมีพระราชดำรัสว่า เพื่อ ‘อยากจะสอบถามความบางข้อและบอกความจริงใจ‘ โดยเรื่องที่ทรงมีพระราชดำรัสสำคัญ อาทิ ทรงอธิบายเรื่องทรงแก้ไขฐานะการเงินของประเทศ เรื่องที่ทรงเห็นว่าควรมีรัฐธรรมนูญในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6  เรื่องการสืบสันตติวงศ์ และเรื่องการยึดทรัพย์สินของเชื้อพระวงศ์

หากช่วงเวลานั้นยังไม่มีการเผยแพร่เนื้อหาของ constitution ในสมัยรัชกาลที่ 7 ว่าเป็นแนวทางรัฐธรรมนูญสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทางคณะราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ จึงไม่มีใครเคยอ่าน constitution ดังกล่าว และเพิ่งทราบพร้อมกันในวันนี้โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ได้กราบบังคมทูลว่า

“พวกคณะราษฎรไม่ทราบเกล้าฯ ว่าจะพระราชทาน constitution คิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจไม่เสด็จกลับ อาจไม่พระราชทานตามที่ขอร้อง เป็นด้วยไม่รู้เท่าถึงพระบรมราชประสงค์ ไม่ใช่เป็นการมุ่งร้ายต่อพระองค์ เมื่อได้ทราบเกล้าฯ ดั่งนี้ก็จะไม่มีความเข้าใจผิดอีกต่อไป และคงมีความเคารพนับถือในพระบารมีอยู่ตามเดิม.”

และที่น้อยคนนักจะทราบคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชดำริว่าควรยกเลิกพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับองคมนตรี และอภิรัฐมนตรีโดยโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหิธรไปติดต่อกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา และทรงสนพระทัยในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรโดยสอบถามรายชื่อผู้ที่ร่วมร่างรัฐธรรมนูญแล้วทรงมีพระราชดำรัสสรุปว่า จะถามพระราชดำริ (เรื่องรัฐธรรมนูญ-ผู้เขียน) ก็ได้ เพราะได้ทรงศึกษาเรื่องพระธรรมนูญการปกครองมามาก และทรงมีความคิดเหมือนคนหนุ่ม (คณะราษฎร-ผู้เขียน) ทั้งทรงแจ้งว่ามีร่างรัฐธรรมนูญของจีนจึง ‘ทรงยินดีจะช่วยให้งานเดิร.’

ท้ายบันทึกของพระยามหิธรชี้ให้เห็นการขอพระราชทานอภัยจากคณะราษฎรที่เข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 7 คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา และหลวงประดิษฐ์มนูธรรมอย่างเป็นทางการ ปรากฏในบันทึกลายลักษณ์อักษรครั้งแรกไว้ว่า

“พระยาพหลพลพยุหเสนา กับหลวงประดิษฐมนูธรรม กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษที่ได้ล่วงเกิน โปรดพระราชทานอภัย และมีพระราชดำรัสว่า ในการที่ทรงพระราชดำริจะเปลี่ยนการปกครองนั้น ได้ทรงเคยตักเตือนแก่ผู้ที่ทัดทานหลายครั้งว่า อย่าดูถูกคนไทยว่าจะไม่คิด และทำการเช่นนี้ได้.

พระยาพหล กราบบังคมทูลว่า ได้ยินคนพูดดูถูกดั่งนี้เหมือนกัน จึ่งได้คิดการโดยพลีชีวิต.

หลวงประดิษฐมนูธรรม รับไปพิจารณาหาทางร่างประกาศถอนความที่ได้ปรักปรำ และขอพระราชทานอภัยที่ให้เป็นที่สมพระเกียรติยศ.”

คณะราษฎรมีใจนักเลงการขอขมาครั้งที่ 2 ของคณะราษฎรก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร

ในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญฯ ฉบับถาวรพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้คณะราษฎรเข้าเฝ้าฯ อีกหลายครั้งเพื่อให้แก้ไขในรัฐธรรมนูญในประการสำคัญ เช่น ให้ใช้คำว่า ‘พระมหากษัตริย์’ แทนคำว่า ‘กษัตริย์’ ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 27 มิถุนายน 2475 และทรงขอให้ไม่ต้องระบุในรัฐธรรมนูญให้พระมหากษัตริย์มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญดังที่ผู้ร่างฯ เสนอขึ้นมา โดยทรงชี้แจงเหตุผลว่าตามประเพณีพระมหากษัตริย์ทรงสัตยาธิษฐานในพิธีราชาภิเษกอยู่แล้ว

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ (THE NATION) ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๕๗ วันศุกร์ที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕

หนังสือพิมพ์ประชาชาติ (THE NATION) ปีที่ 3 ฉบับที่ 57 วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ระบุว่า คณะราษฎรเข้าเฝ้าเพื่อมีพิธีขอขมาในหลวงรัชกาลที่ 7 โดยมีการถวายดอกไม้ธูปเทียน“เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ผู้เริ่มก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสยาม ได้ไปเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษที่ได้กล่าวข้อความรุนแรงต่อพระองค์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕” และมีข้อความที่ทำให้รัชกาลที่ 7 ทรงพึงพอใจคือ การที่คณะราษฎรได้ขอขมาต่อข้อความที่กล่าวไว้ในประกาศคณะราษฎรว่า “ข้อที่ข้าพเจ้าดีใจมากนั้นคือ ในคำขมานั้นได้กล่าวถึงสมเด็จพระมหากษัตราธิราชและเจ้านายในพระราชวงศ์จักรี ว่าได้ทรงมีส่วนในการนำความเจริญมาสู่ประเทศสยามด้วยหลายพระองค์ด้วยกัน…” และ

“ข้าพเจ้ามีความยินดีมากที่ท่านได้คิดมาทำพิธีขอขมาวันนี้เอง โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องขออย่างหนึ่งอย่างใดเลย การที่ท่านทำเช่นนี้ย่อมเปนเกียรติยศแก่ตัวท่านเปนอันมาก เพราะท่านทั้งหลายได้แสดงว่ามีธรรมะในใจ และเปนคนที่สุจริตและใจเปนนักเลง คือเมื่อท่านรู้สึกว่าได้ทำอะไรที่เกินไปพลาดพลั้งไปบ้าง ท่านก็ยอมรับผิดโดยดีและโดยเปิดเผย การกระทำเช่นนี้เปนของที่ทำยากและต้องใจเปนนักเลงจริง ๆ จึงจะทำได้ เมื่อท่านได้ทำพิธีเช่นนี้ในวันนี้ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า การใด ๆ ที่ท่านได้ทำไปนั้น ท่านได้ทำไปเพื่อหวังประโยชน์แก่ประเทศแท้จริง” ซึ่งหนังสือพิมพ์ประชาชาติได้รายงานเหตุการณ์และพระราชดำรัส รัชกาลที่ 7 ฉบับสมบูรณ์ไว้ว่า

“คณะราษฎรเข้าเฝ้าขอขะมาในหลวง ในหลวงรับสั่งว่ามีใจเปนนักเลงจริงๆ

ย่อมจะล้างความโทมนัสส์ของราชวงศ์จักรีสิ้นแสดงว่าทำเพื่อหวังประโยชน์แก่ประเทศแท้ๆ

เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ผู้เริ่มก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสยาม ได้ไปเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษที่ได้กล่าวข้อความรุนแรงต่อพระองค์เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบเห็นใจและอวยพร เราได้นำคำกราบบังคมทูลและพระราชดำรัสตอบมาลงไว้ต่อไปนี้.

คำกราบบังคมทูลของผู้เริ่มก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕

ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม การที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ ก็ด้วยความมุ่งหวังประโยชน์แก่ชาติ โดยเห็นด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมว่า ทุก ๆ ประเทศที่เปนเอกราชก็มีธรรมนูญการปกครองกันทั่วไปแล้ว หากประเทศสยามได้มีกับเขาบ้างก็จะได้เปนโอกาสให้ราษฎรเปนจำนวนมากได้มีส่วนช่วยเหลือใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทราชการแผ่นดินเต็มกำลังความสามารถจริงๆ การได้เปนไปโดยเรียบร้อยด้วยประการทั้งปวง ก็เนื่องด้วยใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทได้ทรงตั้งพระราชหฤทัยดีต่อประชาชนชาวสยาม และทรงพระกรุณาช่วยเหลือส่งเสริมทุกประการ ตลอดจนพระราชทานอภัยโทษแก่พวกข้าพระพุทธเจ้า โดยพระราชกำหนดนิรโทษกรรมนั้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งนี้ ย่อมตระหนักอยู่แก่พวกข้าพระพุทธเจ้าแล้ว

การที่พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ประกาศกล่าวข้อความในวันเปลี่ยนแปลงด้วยถ้อยคำอันรุนแรงกระทบกระเทือนถึงใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท และพระบรมวงศานุวงศ์ก็ด้วยมุ่งถึงผลสำเร็จทันทีทันใดเปนใหญ่ สมเด็จพระมหากษัตราธิราชในพระบรมราชวงศ์จักรี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ได้ทรงมีส่วนนำความเจริญมาสู่ประเทศสยามตามกาลสมัย บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกข้าพระพุทธเจ้ามาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึ่งขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสนี้กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งหนึ่งเปนคำรบสอง ในถ้อยคำที่ได้ประกาศไป.

การจะควรประการใดสุดแล้วแต่จะทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ขอเดชะ”

พระราชทานดำรัสตอบกลับ

“ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านทั้งหลายเปนอย่างยิ่งในการที่ได้มาทำพิธีขอขมาต่อตัวข้าพเจ้าและพระราชวงศ์จักรีในวันนี้ การกระทำของท่านในวันนี้ทำให้รู้สึกยินดีเปนอย่างยิ่ง ไม่ใช่ยินดีที่ท่านมาขอขมาแก่ตัวข้าพเจ้าโดยเฉพาะเพราะข้าพเจ้าเองก็ได้ให้อภัยโทษแก่ท่านทั้งหลายนานมาแล้ว เพราะเข้าใจในความประสงค์ของท่านดี ท่านกระทำการในคราวนี้ก็เพื่อหวังประโยชน์ต่อชาติจริงๆ ข้าพเจ้าได้ตั้งใจช่วยเหลือท่านทำการเปนผลสำเร็จเรียบร้อยดีอย่างที่สุดจะเปนได้ โดยที่ข้าพเจ้ามีความเห็นใจในความคิดของท่าน

ข้อที่ข้าพเจ้าดีใจมากนั้นคือ ในคำขมานั้นได้กล่าวถึงสมเด็จพระมหากษัตราธิราชและเจ้านายในพระราชวงศ์จักรี ว่าได้ทรงมีส่วนในการนำความเจริญมาสู่ประเทศสยามด้วยหลายพระองค์ด้วยกัน ซึ่งเปนความจริงในคำประกาศในวันที่ ๒๔ มิถุนายนนั้น ข้อความที่ทำให้ข้าพเจ้าเอง และสมาชิกของพระราชวงศ์จักรีรู้สึกคนโทมนัสอย่างยิ่ง คือในข้อที่ทำให้เข้าใจว่าพระราชวงศ์จักรีไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศสยามอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ข้อนั้นทำให้สมาชิกในพระราชวงศ์จักรีทั่วไปโทมนัสน้อยใจและแค้นเคืองมาก

เมื่อท่านได้กล่าวแก้ไขในวันนี้แล้ว ข้าพเจ้าหวังว่าจะเปนผลสมานไมตรีระหว่างพระราชวงศ์จักรีกับพวกท่าน และราษฎรทั่วไปให้เปนอันหนึ่งอันเดียวกันได้ อันที่จริงเจ้านายในพระราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ย่อมทรงถือว่าเปนหน้าที่ของพระองค์ที่จะทำอะไรให้เปนประโยชน์แก่บ้านเมืองจึ่งทรงรับราชการในกระทรวงต่างๆ ทุกพระองค์ตามแต่จะทำได้ แต่ตามวิสัยธรรมดาของคนและตระกูลอันใหญ่มีความสามารถยิ่งหย่อนกว่ากันเปนธรรมดา และย่อมมีทำการพลาดพลั้งบ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเจ้านายจะได้ทรงทำการพลาดพลั้งไปบ้างก็มิใช่อคติ โดยเหตุนี้เมื่อท่านได้แก้ไขในวันนี้ และท่านมีความรู้สึกว่าพระราชวงศ์จักรีได้ทรงทำประโยชน์แก่ประเทศของเราเช่นนี้ ก็ย่อมจะล้างความโทมนัสทั้งหลายทั้งปวงข้าพเจ้าเองและพระราชวงศ์จักรีได้สิ้น

นอกจากนี้ข้าพเจ้ามีความยินดีมากที่ท่านได้คิดมาทำพิธีขอขมาวันนี้เอง โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องขออย่างหนึ่งอย่างใดเลย การที่ท่านทำเช่นนี้ย่อมเปนเกียรติยศแก่ตัวท่านเปนอันมาก เพราะท่านทั้งหลายได้แสดงว่ามีธรรมะในใจ และเปนคนที่สุจริตและใจเปนนักเลง คือเมื่อท่านรู้สึกว่าได้ทำอะไรที่เกินไปพลาดพลั้งไปบ้าง ท่านก็ยอมรับผิดโดยดีและโดยเปิดเผย การกระทำเช่นนี้เปนของที่ทำยากและต้องใจเปนนักเลงจริงๆ จึงจะทำได้ เมื่อท่านได้ทำพิธีเช่นนี้ในวันนี้ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า การใดๆ ที่ท่านได้ทำไปนั้น ท่านได้ทำไปเพื่อหวังประโยชน์แก่ประเทศแท้จริง ท่านได้แสดงว่า ท่านเปนผู้มีน้ำใจกล้าหาญทุกประการ ท่านกล้ารับผิดเมื่อรู้สึกว่า ตนได้ทำการพลาดพลั้งไป ดังนี้ เปนทางที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไว้ใจในตัวท่านยิ่งขึ้นอีกเปนอันมาก

เพราะฉะนั้นในที่สุด ข้าพเจ้าขอให้พรแก่ท่านทั้งหลาย ขอจงเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ทุกประการ มีกำลังกาย กำลังน้ำใจเพื่อจะสามารถทำการงานให้เปนประโยชน์แก่ประเทศชาติของเราสืบไป”

ในช่วงก่อนร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแสดงให้เห็นทัศนะ การต่อรอง การคานดุลอำนาจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและคณะราษฎร ขณะที่การขอพระราชทานอภัย และพิธีขอขมาของคณะราษฎรสะท้อนถึงความพยายามในการสร้างระบอบ constitution monarchy ให้เป็นผลสำเร็จและด้วยวิธีการสันติของระบบรัฐสภา

สุนทรพจน์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นเจ้านายอีกพระองค์หนึ่งซึ่งทรงสนับสนุนระบอบใหม่และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ ทรงเป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ ประสูติเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2447 หากทรงกำพร้าพระมารดาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระอัยกาจึงทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ต่อมาทรงได้รับการศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ในระยะแรกทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ และทรงย้ายไปศึกษาด้านประวัติศาสตร์กับการปกครอง ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อเสด็จกลับมาทรงเข้ารับราชการในกระทรวงมหาดไทย และทรงเป็นเลขานุการในพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 กระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2481 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้ทรงสถาปนาขึ้นเป็น ‘พระเจ้าวรวงศ์เธอ’ ทั้งยังทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จนถึง พ.ศ. 2489

พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ทรงมีมุมมองต่อการอภิวัฒน์สยามในทางบวก หากในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ทรงเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมกลับได้รับสั่งให้เตรียมการป้องกันโดยด่วนเพราะความเข้าพระทัยผิด แต่หลังจากนั้นก็ทรงให้คํามั่นสัญญาต่อคณะราษฎรว่าจะไม่คิดร้ายต่อคณะราษฎรดังสำเนาคำมั่นสัญญานี้

สําเนาคํามั่นสัญญา

ตามที่คณะราษฎร ได้กระทําการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพื่อให้ประเทศสยามมีความเจริญขึ้น ทัดเทียมประเทศอื่นนั้น ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วยทุกประการ และขอให้คํามั่นสัญญาไว้ว่าจะไม่คิดร้ายต่อคณะราษฎรด้วยประการใดทั้งปวง และจะพยายามทําหน้าที่จะเป็นหน้าที่อย่างไรก็ตาม ให้สมกับที่เป็นราษฎรชาวไทยที่มีความจงรักภักดีต่อชาติไทยอย่างแข็งแรง.

(ลงพระนาม ) อาทิตย์

พระที่นั่งอนันตสมาคม

วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕

ขณะที่สุนทรพจน์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ในช่วงระยะหนึ่งเดือนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองยังกล่าวถึงการนิรโทษกรรมคณะราษฎร โดยเสนอทั้งในมุมมองการเมืองภายในและการเมืองระหว่างประเทศว่า พระราชกําหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475 คือตัวบทที่สะท้อนว่าการลงพระบรมนามาภิธัยต่อการกระทำของคณะราษฎรได้รับความเห็นชอบจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยปรากฏชัดเจนใน “มาตรา 3 บรรดาการกระทําทั้งหลายทั้งสิ้นเหล่านั้นไม่ว่าของบุคคลใดๆ ในคณะราษฎรนี้ หากว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมายใดๆ ก็ดี ห้ามมิให้ถือว่าเป็นการละเมิด. กฎหมายเลย

ส่วนการนิรโทษกรรมคณะราษฎรในการเมืองระหว่างประเทศนั้นได้ ‘เป็นเหตุให้ประเทศอื่นๆ แปลกใจ ถึงกับชมเชยการทำครั้งนี้ของชนชาวไทยเป็นอันมาก ซึ่งเราทุกคนเป็นคนไทยควรมีความยินดีปลาบปลื้มในข้อนี้’ สุนทรพจน์นี้ไดเสะท้อนมุมมองต่อการอภิวัฒน์สยามเชิงบวกไว้ช่วงหนึ่งว่า

“ท่านทั้งหลาย

วันนี้ข้าพเจ้าได้เชิญให้ท่านมา ณ ที่นี้ เพื่อแถลงการณ์บางอย่างซึ่งเป็นสิ่งสำคัญให้ท่านทั้งหลายทราบ ท่านคงทราบทั่วกันแล้วว่า ในขณะนี้ในขณะนี้ประเทศสยามได้มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองแผ่นดินขึ้น หลักสําคัญมีอยู่ คือ จัดให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้น เลิกใช้วิธีการปกครองซึ่งพระเจ้าแผ่นดินมีอํานาจเด็ดขาด ข้าพเจ้ายังมีความสงสัยว่าบางท่านคงยังไม่เข้าใจตลอด หรือเข้าใจแจ่มแจ้งให้แน่ชัด ฉะนั้นจึ่งขอถือโอกาสนี้เล่าให้ท่านฟังพอสังเขป เพื่อจะได้เข้าใจว่าเหตุใดจึ่งมีการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนี้มีความมุ่งหมายเพียงไหน.

เพื่อจะให้เข้าใจถึงเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงนี้ จําต้องกล่าวถึงประวัติศาสตร์บ้าง ประเทศทุกประเทศในโลกนี้ เดิมทีเดียวก็ใช้วิธีปกครองแผ่นดินโดยให้พระเจ้าแผ่นดินมีอำนาจเด็ดขาดในกิจจานุกิจทั่วไป ทั้งนี้ ก็เพราะเดิม ปวงประชาราษฎรยังมีความรู้น้อย มีสติปัญญาไม่ลึกซึ้ง โดยเหตุที่การศึกษาไม่เจริญ จึ่งพากันนิยมให้คนๆ เดียวบัญชาการทั่วไป ครั้นต่อมาการศึกษาเจริญขึ้นราษฎรได้เล่าเรียน มีจํานวนมากขึ้น ก็มีความรู้สึกยิ่งขึ้น มีสติปัญญาลึกซึ้งทวีขึ้น จึ่งเล็งเห็นได้ว่าในการที่คนๆ เดียวมีอํานาจบัญชาการ ประเทศผู้เดียวนั้นมักจะมีพลาดมีพลั้ง ทําให้ประเทศเสื่อมโทรมลงได้ เพราะคนๆ เดียวแม้จะมีสติปัญญาปราดเปรื่อง มีสุขุมญาณแก่กล้า มีความตั้งใจดีสักเพียงใด ก็ต้องพลาดพลั้งเป็นธรรมดา เพราะเหตุว่าเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ก็บังเกิดมีความประสงค์ที่จะให้อํานาจบัญชาการแผ่นดินอยู่ในมือของราษฎรทั่วไป เพื่อช่วยกันปกครองประเทศของตนให้มีความเจริญยิ่งขึ้น จึ่งรวมกันยึดอํานาจการแผ่นดินไว้ให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน มีสภาราษฎรขึ้นเป็นหลัก เพื่อแก้ไขความเสื่อมโทรมและให้ชาติมีความเจริญให้ราษฎรทั่วไปได้รับความสุขสําราญยิ่งขึ้น นี่คือเหตุอันสําคัญ ซึ่งทําให้มีการเปลี่ยนแปลงการแผ่นดินทุกประเทศ จนเหลือแต่ประเทศสยามประเทศเดียว.

ครั้นมากาลสมัยนี้ ชาวไทยเรามีความรู้สึกถึงเรื่องนี้ขึ้น เป็นลําดับมา จนในที่สุดเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายนศกนี้ คณะราษฎรจึ่งพากันยึดอํานาจการปกครองแผ่นดินไว้ มีความมุ่งหมายจะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้นเป็น ข้อใหญ่ เพื่อจะแก้ไขความเสื่อมโทรมบางประการของรัฐบาลสยามและชาติไทยให้หายไป และเพื่อนําชาติไทยเข้าสู่ความเจริญรุ่งเรือง และทัดเทียม กับชาติ และประเทศอื่นๆ ทั่วไป ฉะนั้นถ้าดูเผินๆ แล้ว ที่ราษฎรชาวไทยได้ทําไป ก็ดูเหมือนคล้ายคลึงกับการกระทําของราษฎรชาติอื่นๆ ถ้ามาใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนแน่ชัดลงไปแล้ว จะเห็นการกระทําของชาวไทยผิดกับราษฎรชาติอื่น คือ ในประเทศอื่นๆ เมื่อมีการกระทําการเปลี่ยนแปลงปกครองแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินมักต่อสู้ ไม่ปล่อยอํานาจนี้ไปโดยง่าย ทําให้เกิดเสียเลือดเสียเนื้อเสียทรัพย์สมบัติ เสียความสงบเรียบร้อยชั่วคราว แต่ครั้งนี้ในประเทศเรา การกระทําของคณะราษฎร ได้เป็นไปโดยความละมุนละม่อม ราบรื่นไม่เสียเลือด เสีย เนื้อ เสียทรัพย์ และยังได้รับความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดั่งปรากฏในพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมซึ่งได้ประกาศมา ณ วันที่ ๒๖ มิถุนายน ศกนี้แล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้ประเทศอื่นๆ แปลกใจ ถึงกับชมเชยการทําครั้งนี้ของชนชาวไทยเป็นอันมาก ซึ่งเราทุกคนเป็นคนไทยควรมีความยินดีปลาบปลื้มใจในข้อนี้.”

ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาคล้ายตักเตือนพลเมืองกับชนชั้นนำสยามกลายๆ ว่าการที่ไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงการปกครองจะส่งผลดีคือ ทำให้ไม่เกิดการแทรกแซงจากต่างประเทศที่อาจทำลายความเป็นไทย

“…เพื่อช่วยกันรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศให้คงอยู่ ข้อนี้สําคัญนัก ถ้าหากปราศจากความสงบเรียบร้อยแล้ว จะทําให้ต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงได้โดยง่าย ซึ่งอาจทําลายความเป็นไทยของเราและของประเทศสยามให้สิ้นสูญไปได้ ฉะนั้นขอย้ำอีกว่า เราทุกคนต้องทําหน้าที่รักษาความเป็นไทยของชาติให้มั่นคงยืนยาวต่อไป โดยรักษาความสงบเรียบร้อย ทําหน้าที่ต่างๆ ของเราโดยสุจริต ซื่อตรงต่อชาติและประเทศ เลิกการถือไม่เข้าเรื่องต่างๆ อย่ามีการตกอกตกใจ และการพูดจาเสียดสีใส่ร้ายให้เป็นเสี้ยนหนามต่อคณะราษฎรผู้ซึ่งพยายามนําความเจริญและความสุขมาให้แก่ชาติ และประเทศสยาม และคนไทยทั่วไป สําหรับตัวข้าพเจ้าเอง ได้ห้ามปรามคนใช้และคนในบ้านของข้าพเจ้าแล้ว ถ้าปรากฏว่าคนเหล่านั้นคนใดมีเชื่อฟัง ขอให้บอกข้าพเจ้าทันที ข้าพเจ้าจะได้จัดการมอบตัวไปให้คณะราษฎรจัดการดําเนินการต่อไป

ส่วนตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นชอบด้วยประการทั้งปวง ดังปรากฏ ในคํามั่นสัญญาซึ่งข้าพเจ้าได้ให้ไว้ต่อ คณะราษฎรแล้วทุกประการ…”

สุนทรพจน์ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้ระยะแรกของการก่อร่างระบอบใหม่เริ่มต้นด้วยความมั่นคง และแสดงถึงความสำคัญของการนิรโทษกรรมทางการเมืองต่อคณะราษฎรของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าว่าเสมือนความเห็นชอบต่อระบอบใหม่

ส่งท้าย

จากหลักฐานประวัติศาสตร์ข้างต้นของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะราษฎร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา แสดงให้เห็นถึงบริบททางประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครองสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบ constitution monarchy โดยอาศัยกลไกหลากหลายทั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ รวมถึงบทบาทของกลุ่มต่างๆ ในช่วงหนึ่งปี หลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475 ได้แก่

  1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่าน และทรงมีแนวพระราชดำริสนับสนุนการปฏิรูปทางการเมืองในบางแง่มุม แม้ว่าในภายหลังจะมีความเห็นต่างกับแนวทางของคณะราษฎรจนถึงขั้นสละราชสมบัติ
  2. คณะราษฎร กลุ่มบุคคลที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 โดยเน้นสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตยผ่านระบอบรัฐธรรมนูญ และพยายามจัดระเบียบทางสังคมและเศรษฐกิจใหม่ให้สอดคล้องกับหลักเสมอภาค ภราดรภาพ และเสรีภาพ ภายใต้หลักหกประการที่คณะราษฎรวางหลักการไว้
  3. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา พระบรมวงศานุวงศ์ที่มีแนวคิดสนับสนุนการปรับเปลี่ยนสู่ระบอบที่มีหลักการประชาธิปไตยและร่วมมือกับคณะราษฎร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกฝ่ายในระบอบเก่าจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง
  4. ราษฎรสามัญ ปัญญาชน ข้าราชการ ทหาร และชาวบ้านทั่วไปในสังคม ซึ่งสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยเฉพาะช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ดังนี้ การนิรโทษกรรมทางการเมืองครั้งแรกของสยามหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนา 2475 การขอพระราชทานอภัย และพิธีขอขมา คือกระบวนการผสานความร่วมมือโดยมีพระราชกําหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475 ที่เป็นทั้งสัญญะแห่งการประนีประนอมและเครื่องมือสำคัญที่รับรองระบอบใหม่ผ่านความเห็นชอบของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยการลงพระบรมนามาภิธัย

บรรณานุกรม

หลักฐานชั้นต้น

  • คลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ
  • พิพิธภัณฑ์รัฐสภา
  • ราชกิจจานุเบกษา
  • สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
  • สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
  • หอสมุดดำรงราชานุภาพ
  • หอสมุดปรีดี พนมยงค์

หนังสือพิมพ์

  • ประชาชาติ, 9 ธันวาคม 2475

หนังสืออนุสรณ์งานศพ

  • ธีรัชย์ พูลท้วม, ประวัติคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475, ดร. เจริญ-คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี จัดพิมพ์เป็นอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายธีรัชย์ พูลท้วม เป็นกรณีพิเศษ ณ ฌาปนสถานคุรุสภา วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร 11 มีนาคม 2539, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์บริษัทสหธรรมิก จำกัด, 2539)

หนังสือภาษาอังกฤษ

  • Arjun Subrahmanyan, Amnesia: a history of democratic idealism in modern Thailand, (NewYork : State University of New York,  2021)

หนังสือภาษาไทย

  • กุหลาบ สายประดิษฐ์, เบื้องหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕, (กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2565)
  • จดหมายเหตุบันทึกเหตุการณ์ของคณะราษฎรปกครองแผ่นดิน  และพระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475, (พระนคร: โรงพิมพ์เจตนาผล, 2475)
  • ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, 2475 และ 1 ปีหลังการปฏิวัติ, (กรุงเทพฯ : สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543)
  • บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ, รัฐธรรมนูญสถาปนา : ชีวิตและชะตากรรมของประชาธิปไตยในวัฒนธรรมไทย, (กรุงเทพฯ : วิภาษา และสถาบันเพื่อการศึกษาวัฒนธรรมร่วมสมัย, 2549)
  • เบนจามิน เอ. บัทสัน, อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม, บรรณาธิการแปลโดย พรรณงาม เง่าธรรมสาร, สดใส ขันติวรพงศ์, ศศิธร รัชนี ณ อยุธยา, (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2560)
  • นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475, (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2553)
  • นริศ จรัสจรรยาวงศ์, ๒๔๗๕ ราษฎรพลิกแผ่นดิน,(กรุงเทพฯ : มติชน, 2564)
  • ปั้น บุณยเกียรติ และเฮง เล้ากระจ่าง, สยามรัฐเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินอย่างมีพระราชาธิบดีอยู่ใต้พระธรรมนูญการปกครอง ภาค 1, (พระนคร: โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2475)  

MOST READ

Thai Politics

3 May 2023

แดง เหลือง ส้ม ฟ้า ชมพู: ว่าด้วยสีในงานออกแบบของพรรคการเมืองไทย  

คอลัมน์ ‘สารกันเบื่อ’ เดือนนี้ เอกศาสตร์ สรรพช่าง เขียนถึง การหยิบ ‘สี’ เข้ามาใช้สื่อสาร (หรืออาจจะไม่สื่อสาร?) ของพรรคการเมืองต่างๆ ในสนามการเมือง

เอกศาสตร์ สรรพช่าง

3 May 2023

Politics

24 Jul 2025

“ในสงคราม สิ่งแรกที่ถูกฆ่าตายคือความจริง” สถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา เรารู้อะไรอย่างเป็น ‘ทางการ’ แล้วบ้าง?

วันโอวัน สรุปข้อมูลการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากทางการทั้งสองฝ่าย พร้อมความเห็นจากนักวิชาการ ผู้ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

กองบรรณาธิการ

24 Jul 2025

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save