เสมือนฟ้าผ่าลงมาในวันอากาศแจ่มใส – ไม่มีใครคาดคิดว่าภายหลังการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 จะตามมาด้วยการลงนามคำสั่งประกาศระงับเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศแบบทันทีทันใด สร้างแรงสั่นสะเทือนขนานใหญ่แก่สารพัดองค์กรทั่วโลก นับตั้งแต่กลุ่มผู้ป่วยเอชไอวี ผู้ลี้ภัย และโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นๆ อีกมากมาย จนต้องตกที่นั่งลำบากภายในชั่วข้ามคืน
หนึ่งในนั้นคือองค์กรสื่อไทย – ที่ลึกไปกว่านั้นคือสื่อท้องถิ่นไทย ซึ่งได้รับผลกระทบชัดเจนสองระลอกหลักๆ ด้วยกัน
ระลอกแรก คือเมื่อครั้งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตรงอย่างองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ The United States Agency for International Development (USAID) ยุติทุนสนับสนุนเป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้องค์กร Internews ที่ได้รับงบประมาณจาก USAID มาจัดโครงการร่วมกับสื่อไทยหลายเจ้าต้องยกเลิกแผนงานทั้งหมดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง อีกทั้งเมื่อสำทับด้วยข่าวคราวการเดินหน้าผลักดันปิด USAID เป็นการถาวรจากฟากฝั่งทรัมป์ ร่วมกับอีลอน มัสก์ ก็ยิ่งเกรงว่าการลงทุนด้านทรัพยากร บุคคล และเวลาในโครงการที่ผ่านมาอาจสูญเปล่า รวมถึงอาจสูญเสียโอกาสการพัฒนางานสื่อที่มีคุณภาพอีกมากมายหลังจากนี้
ระลอกที่สอง สะเทือนถึงระดับความอยู่รอดขององค์กรสื่อในระยะยาว เมื่อองค์กรภาคเอกชนผู้มอบทุนสนับสนุนแก่สื่อท้องถิ่นสายประชาธิปไตยรายใหญ่อย่าง National Endowment for Democracy (NED) ถูกระงับการจ่ายงบประมาณจากสภาคองเกรสในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา การส่งมอบเงินขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ จึงตกอยู่ในภาวะหยุดชะงัก
ถึงแม้ว่าต้นเดือนมีนาคมนี้ กระแสข่าวเรื่อง NED ยื่นฟ้องร้องต่อหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการระงับงบดังกล่าวจะจุดประกายความหวัง รวมถึงเห็นแนวโน้มว่า NED น่าจะได้รับเงินที่สภาคองเกรสอนุมัติก่อนหน้าทรัมป์ขึ้นดำรงตำแหน่งมาดำเนินภารกิจส่งเสริมประชาธิปไตยและเสรีภาพทั่วโลกได้ต่อไป แต่ใช่ว่าอนาคตภายใต้ยุคทรัมป์ 2.0 นี้จะคาดเดาทิศทางได้อย่างแน่นอน ไม่มากก็น้อย มันสร้างความคลอนแคลนหวั่นใจให้แก่องค์กรสื่อที่เคยพึ่งพาเงินจากแหล่งทุนสหรัฐฯ ณ ปลายทาง ว่าถึงที่สุดแล้ว เราจะอยู่รอดหรือไม่? และที่แน่นอนกว่านั้น คือเราต้องปรับตัวอย่างไร ถึงจะอยู่ให้รอด?
การอาศัยอยู่ในอุตสาหกรรมสื่อปัจจุบัน กล่าวได้ว่าแม้จะเป็นสื่อขนาดใหญ่ก็ยังหาทางเติบโตต่อไปได้ไม่ง่ายดายนัก ดังนั้นเส้นทางของสื่อท้องถิ่น -โดยเฉพาะสื่ออิสระที่มุ่งนำเสนอประเด็นสังคมการเมือง สิทธิมนุษยชน และหาได้ดำรงตนเป็นกระบอกเสียงแก่ผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ – ย่อมเต็มไปด้วยขวากหนามยิ่งกว่า จากความท้าทายเรื่องข้อจำกัดด้านทรัพยากร บุคลากร ลักษณะกลุ่มผู้อ่าน ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การปะทะกันระหว่างอุดมการณ์วิชาชีพสื่อ และโอกาสในการเติบโตของสำนักข่าว ฯลฯ
เมื่อความท้าทายแต่เดิมเหล่านี้ถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาด้านงบประมาณติดขัดจากนโยบายอีกฟากโลก สื่อท้องถิ่นไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? วันโอวันชวนฟังเสียงสะท้อนจากคนทำงาน – วัชรพล นาคเกษม บรรณาธิการ Lanner และหทัยรัตน์ พหลทัพ บรรณาธิการบริหาร The Isaan Record ต่อสถานการณ์ที่กำลังเผชิญและอนาคตของสื่อท้องถิ่นสายประชาธิปไตยหลังต้องรับมือกับอีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
Lanner – ‘เราอยู่ในพื้นที่ แต่กลับรายงานข่าวไม่ได้เต็มที่’

“ทุกอย่างของเราชะงักหมด เพราะเราไม่มีเงิน”
ขวบปีที่ 3 ของ Lanner สื่อออนไลน์ภาคเหนือที่ก่อร่างสร้างตัวจากทีมงานเล็กๆ จำนวน 3-4 คน โดยมี วัชรพล นาคเกษม เป็นบรรณาธิการ ดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ไม่ราบรื่นนัก เมื่อเขาพบว่าโครงการที่ตนทำงานร่วมกับมูลนิธิสื่อประชาธรรมต้องพับเก็บกะทันหัน เพราะขาดเงินทุนจาก Internews มาดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม 2568 และมีเค้าลางว่า NED ซึ่งเป็นผู้มอบเงินสนับสนุนหลักของ Lanner อาจได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
“ช่วงแรกผู้ประสานงานยังบอกกับเราว่าไม่เกี่ยว เพราะเขาเป็นองค์กรอิสระ มุมหนึ่งเราก็โล่งใจ แต่อีกมุมหนึ่งก็คิดว่ายังไม่น่าโล่งได้ ซึ่งสุดท้ายก็กระทบตามที่เห็น”
เดือนกุมภาพันธ์ วัชรพลได้รับการแจ้งข่าวจาก NED อีกครั้งว่าจำต้องยุติการมอบทุนแก่สำนักข่าวเป็นการชั่วคราว และเนื่องจากเงินส่วนดังกล่าวคือแกนหลักในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร ทั้งเงินเดือนของกองบรรณาธิการ ค่าใช้จ่ายในสำนักงาน ตลอดจนงบประมาณสำหรับการลงพื้นที่ทำข่าว ทำให้ Lanner ถึงคราวสะดุดอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เราไม่สามารถทำงานได้ตามสิ่งที่เราเชื่อและอยากทำ โดยเฉพาะการทำข่าวสืบสวนสอบสวนในท้องถิ่นภาคเหนือ” แม้วัชรพลจะมองว่าโชคดีที่แหล่งทุนอีกแห่งของ Lanner ยังคงมอบเงินให้ตามปกติ แต่ก็ยอมรับว่านั่นไม่ใช่เงินก้อนใหญ่อะไรนัก เมื่อนับรวมกับเงินสำรองที่เหลืออยู่ อย่างมากก็มีเงินติดบัญชีแค่หลักหมื่น พอจะจุนเจือให้สำนักข่าวอยู่รอดต่อไปได้เท่านั้น
“พอเราได้ยินข่าวจาก NED ก็คิดเลยว่าด้วยเงินเก็บที่มีอยู่ เราจะสามารถอยู่ได้กี่เดือน” วัชรพลเล่า “ผลปรากฏว่าน่าจะอยู่ได้สักสามเดือน คือกุมภา มีนา เมษา ถึงช่วงต้นพฤษภา เรารู้ตัวเลยทันทีว่าต้องลดสเกลงานลง เช่น ไม่ไปลงพื้นที่ทำข่าว ทำงานแค่ที่พอทำในออฟฟิศได้อย่าง data journalism หรืองานในพื้นที่บางอย่าง เราก็ใช้วิธีการโทรสัมภาษณ์ ขอภาพจากชาวบ้าน ภาคประชาสังคมที่ไปทำงาน หรือถ้าต้องเดินทางจริงๆ เราก็อาจจะขอติดรถเพื่อนเอ็นจีโอไปด้วย ติดรถอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ลงพื้นที่ไปด้วย”
แน่นอนว่าการทำงานภายใต้มาตรการ ‘รัดเข็มขัด’ โดยจำกัดการลงพื้นที่เพื่อลดต้นทุน ส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมา – หรือกระทั่งในอนาคตอันใกล้ – Lanner สูญเสียโอกาสในการสื่อสารประเด็นสำคัญจากสุ้มเสียงอันหลากหลายของท้องถิ่นภาคเหนือไปไม่น้อย
“การเลือกตั้ง อบจ. หรือเลือกตั้งเทศบาล เป็นสิ่งที่เราเชื่อว่า Lanner ควรจะทำที่สุด แต่เราก็ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือช่วงนี้เป็นฤดูไฟป่า เราควรรายงานการจัดการ สถานการณ์ฝุ่นควัน แต่ก็ไม่สามารถลงพื้นที่ได้เต็มที่” วัชรพลว่า – สำหรับเขา สิ่งที่ตลกร้ายและน่าเจ็บใจที่สุด คือการที่สื่อท้องถิ่นต้องทำงานเป็น ‘นักข่าวห้องแอร์’ ทั้งๆ ที่ “หันหน้าออกไปก็เห็นดอยสุเทพ เห็นภูเขา แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“เพราะเราไม่มีงบประมาณ และต้องลดต้นทุนในการทำข่าวเพื่อให้องค์กรยืนระยะไปได้ ในมุมหนึ่งมันก็เจ็บปวดอยู่เหมือนกัน”
ผลกระทบอื่นที่ตามติดกันมาเป็นลูกโซ่ คือการถอดคอลัมนิสต์ที่เคยช่วยเติมเต็มช่องว่างด้านเนื้อหาเกี่ยวกับภาคเหนือตอนล่าง หรือพื้นที่อื่นนอกเหนือจากเชียงใหม่ซึ่ง Lanner ประจำอยู่ และช่องว่างด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องทั้งหมดออก รวมถึงคนทำงานต้องมาพิจารณาปริมาณเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ใหม่ – จำเป็นต้องโพสต์ข่าวทุกวันไหม? หากกำลังคนน้อยเช่นนี้ ควรทำข่าวจำนวนน้อยลง แต่เพิ่มคุณภาพและรายงานเชิงลึกมากขึ้นดีหรือเปล่า?
สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่คนทำงานยังคิดกันไม่ตกผลึก แต่ชัดเจนที่สุด คือ “ตัวพวกเรายืนยันกันเองว่าจะพยายามไม่ลดเงินเดือนเด็ดขาด ซึ่งจริงๆ เงินเดือนทาง lanner น้อยอยู่แล้ว แต่เราจะไม่ลดเงิน เพราะแต่ละคนก็มีเงื่อนไขชีวิตแตกต่างกัน และเราไม่เชื่อว่าการลดเงินเดือนจะทำให้องค์กรยืนระยะได้”
อันที่จริง หากย้อนไปถึงจุดตั้งต้นของ Lanner จะเห็นว่าสำนักข่าวท้องถิ่นแห่งนี้วางแนวทางการทำงานภายใต้ข้อจำกัดด้านการเงินมาโดยตลอด วัชรพลเล่าว่าตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มก่อตั้งปี 2565 เขาและกองบรรณาธิการตั้งต้นทำงานโดยคิดว่าแต่ละปี ได้ทุนมาจำนวนเท่าใด จะสามารถทำงานอะไรได้บ้าง “เราไม่ได้คิดว่าสำนักข่าวในฝันของเราควรมีคนจำนวนเท่าไหร่ เราคิดบนทรัพยากรที่มีก่อน แล้วค่อยออกแบบการทำงาน”
นอกจากนี้ “เราคิดกันมาเสมอว่าแหล่งทุนที่เรารับ สุดท้ายเขาก็อาจจะต้องถอย ถ้าภารกิจของแหล่งทุนจบแล้ว ยังไงก็ต้องจบไป ดังนั้นสิ่งที่เราคิดตลอดคือแล้วเราจะอยู่กันแบบไหนได้บ้าง”
ทางออกเบื้องต้น คงเป็นการแสวงหาแหล่งทุนใหม่ที่เข้ากันได้ ทั้งวิสัยทัศน์ ความคิดความเชื่อ ที่อยากร่วมกันพัฒนา ‘คุณภาพชีวิต’ ของคนภาคเหนือ ซึ่งวัชรพลกล่าวว่ายังมีมิติอื่นๆ มากกว่าแค่เรื่องสิทธิมนุษยชนหรือประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยความเป็นสำนักข่าวขนาดเล็ก หรือเข้าถึงช่องทางหาแหล่งทุนได้ยาก ถึงตอนนี้เขาก็ยอมรับว่ายังหาทุนใหม่ๆ ที่ ‘ใช่’ ไม่พบ
ดังนั้นจึงนำมาสู่ทางเลือกที่สอง คือ “เราคงต้องจริงจังกับงานเซอร์วิสมากขึ้น” กล่าวคือ Lanner เคยรับงานประเภทรับจ้างผลิตคอนเทนต์ สตรีมไลฟ์จากองค์กรภาคประชาสังคมหรือสถาบันการศึกษาในพื้นที่อยู่บ้าง แต่ก็ทำงานเชิงรับ หรือให้คนที่สนใจเป็นฝ่ายติดต่อเข้ามาก่อนตลอด วัชรพลจึงมองว่าหลังจากนี้อาจต้องขยับไปทำงาน ‘เชิงรุก’ มากขึ้น แม้ว่านั่นจะไม่ใช่ทักษะที่เขาถนัด แต่คงไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับคนที่สวมหมวกบริหารองค์กรควบคู่ไปกับการทำงานข่าว
“ผมกลัวทำพังเหมือนกันนะ” วัชรพลหัวเราะ พร้อมกล่าวว่าอันที่จริง ตนอยากหาเซลส์ฟรีแลนซ์มาช่วยเรื่องการติดต่อเสาะหาลูกค้ามาก ติดที่ว่าในเชียงใหม่ – หรืออาจกล่าวได้ว่าในหลายจังหวัดนอกเมืองกรุง – หาคนทำงานด้านนี้ได้ยากเสียเหลือเกิน “มุมหนึ่งผมไม่อยากให้เพื่อนๆ ในกองบรรณาธิการต้องมาแบกภาระเรื่องนี้ แค่ต้องคิดข่าว คิดประเด็นก็เหนื่อยมากแล้ว”
ขณะที่งานประเภท advertorial เองก็เป็นอีกโจทย์ที่วัชรพลและชาว Lanner กำลังขบคิด เขาเล่าว่าเมื่อต้นปีที่แล้ว Lanner พยายามเปิดพื้นที่ใหม่เรียกว่า ‘Lanner Joy’ ไว้ทำคอนเทนต์แนวไลฟ์สไตล์ ผู้คนที่ลงมือพัฒนาท้องถิ่นตามความคิดความเชื่อของตนเองในรูปแบบต่างๆ นอกเหนือไปจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือแง่มุมทางกฎหมาย เพื่อลดโทนเคร่งขรึมของสำนักข่าวลง เป็นมิตรมากขึ้น มีเนื้อหาหลากหลายขึ้น
“เราอยากเดินไปเจอพรมแดนใหม่ๆ ของผู้อ่าน ขณะเดียวกันก็มองให้เห็นว่ามีผู้เล่นคนไหนอยู่ในเมือง ในภาคเหนือบ้าง เท่าที่ทำมาก็ช่วยลดโทนเคร่งขรึมได้จริง เวลาไปที่ไหน บอกว่ามาจาก Lanner คนก็รู้จักมากขึ้น ว่าเราไม่ได้ทำแค่เรื่องการเมือง การเคลื่อนไหว” และลึกๆ แล้ว วัชรพลยอมรับว่าอาจใช้พื้นที่ตรงนี้สำหรับการหาสปอนเซอร์มาสนับสนุนองค์กรด้วย อย่างไรก็ตาม เขาเน้นย้ำว่าถึง Lanner อาจจะรับงานประเภท advertorial หรือพีอาร์เพิ่มขึ้นหลังจากนี้เพื่อความอยู่รอด แต่คุณภาพของงานข่าวเชิงสืบสวนอันเป็นหัวใจของสำนักข่าวยังคงเข้มข้นเท่าเดิม รวมถึงจะเลือกผู้ลงโฆษณาที่มีความคิดความเชื่อ เข้าใจตัวตนของ Lanner เป็นอย่างดี
“ถ้าเป็นไปได้ เราอยากได้ผู้ประกอบการในท้องถิ่น” วัชรพลกล่าว “สิ่งที่เป็นโจทย์ยากระยะยาวและไม่รู้ว่าจะทำสำเร็จไหม คือการทำให้คนในท้องถิ่นรู้สึกเป็นเจ้าของสื่อ” – รู้สึกว่ามีสิทธิเสียงต่อสื่อ ร่วมกันออกแบบว่าสื่อควรนำเสนอเรื่องอะไร และยอมจ่ายเงินสนับสนุนเพราะเห็นความสำคัญของสื่อท้องถิ่น แต่ตัวเขาเองก็เข้าใจว่าเป็นไปได้ยากยิ่งในเนื้อดินสังคมไทยที่มีปัญหาเศรษฐกิจสังคมแต่เดิม เพิ่มเติมด้วยทางเลือกของผู้เสพข่าวสารว่าสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้หลากหลายในโลกอินเทอร์เน็ต ทำให้โมเดลธุรกิจแบบที่มีประชาชนเป็นผู้สนับสนุนหลักยังแลดูเป็นความฝันอันห่างไกล
“อีกความท้าทายหนึ่งที่เราเจอคือเราไม่มีโรลโมเดลในพื้นที่ให้เราเห็นว่าการทำสำนักข่าวท้องถิ่นต้องทำแบบไหน เราจะเห็นแค่จากพื้นที่อื่น เช่น The Isaan Record หรือสื่อออนไลน์ในกรุงเทพ ซึ่งเราคิดว่าพอบริบทพื้นที่ต่างกัน มันก็เทียบเคียงกันได้ยาก แม้ว่าเราจะพยายามเรียนรู้โมเดลธุรกิจของสื่อยุคใหม่ ให้ตายยังไงก็ไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีต้นแบบที่ไปด้วยกัน”
ท้ายที่สุดแล้ว แม้เส้นทางหลังได้รับผลกระทบจากการถูกระงับเงินทุนอาจยากลำบากกว่าเดิมไม่ใช่น้อย แต่ในฐานะบรรณาธิการสำนักข่าว วัชรพลยืนยันว่าคนทำงานทุกคนยังสู้ไปด้วยกัน ด้วยความเชื่อแบบเดียวกันว่าการนำเสนอข่าวท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายงานเชิงลึก ข่าวสืบสวนสอบสวน เป็นกระบอกเสียงของประชาชน คือสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาท้องถิ่นและต่อวงการสื่อไทย ในวันที่งานข่าวตามหลักวารสารศาสตร์ (journalism) อาจลดน้อยถอยลงทุกที
“เพราะเราทุกคนเชื่อว่าการมีอยู่ของสำนักข่าว โดยเฉพาะสำนักข่าวท้องถิ่นยังจำเป็นอยู่ การมีอยู่ของสำนักข่าวท้องถิ่นเป็นเครื่องยืนยันว่าพื้นที่นี้ยังมีประชาธิปไตยอยู่นะ ถ้าเราถอยตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นมาอีกทีเมื่อไหร่” วัชรพลทิ้งท้าย
The Isaan Record – ‘โมเดลธุรกิจสื่อตอนนี้อาจไม่ยั่งยืนมากพอ?’

“เมื่อรู้ว่าได้รับผลกระทบ ตอนแรกเราก็หวั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเราเริ่มมานั่งดูเงินในถังที่มีอยู่ว่าเหลือเท่าไหร่”
ละม้ายคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ Lanner พบเจอ – The Isaan Record สื่อท้องถิ่นที่นำเสนอเรื่องราวในภูมิภาคอีสานภายใต้การนำของ หทัยรัตน์ พหลทัพ ก็แว่วข่าวคราวความไม่มั่นคงของแหล่งทุนมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม เริ่มต้นจากการสั่งระงับโครงการที่ทำงานร่วมกับสถานทูตอเมริกาในกรุงเทพฯ กะทันหัน (ก่อนจะกลับมาดำเนินการต่อภายหลังเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น) ไล่เรื่อยมาถึงต้นกุมภาพันธ์ว่าด้วยการชะลอส่งมอบเงินทุนจาก NED ซึ่งแม้จะได้รับเงินงวดสุดท้ายครบแล้วช่วงกลางมีนาคม แต่ก็ทำให้บรรณาธิการใหญ่ต้องกลับมาทบทวนงบประมาณขององค์กรที่เหลืออยู่ ว่ามีสภาพคล่องแค่ไหน อย่างไร
“เราพอมีเงินเก็บอยู่ประมาณหนึ่ง ประเมินว่าถ้า NED ตัดเราออก น่าจะอยู่รอดได้ประมาณสองปี” หทัยรัตน์กล่าว และอาจจะเป็นโชคดีของ The Isaan Record ที่ หนึ่ง มีแหล่งทุนจากต่างประเทศหลายแห่งคอยรองรับนอกเหนือไปจากองค์กรในสหรัฐฯ สมทบด้วยทุนในประเทศอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้พอวางใจไปได้ว่ายังคงสามารถหล่อเลี้ยงคนทำงานจำนวน 6-7 คน ภายใต้บริบทสังคมอีสานที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ากรุงเทพฯ ได้ไม่ยากเย็นนัก
สอง คือนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้กับ The Isaan Record โดยหทัยรัตน์เล่าว่าวิกฤตการถูกระงับแหล่งทุนจำนวนเงินหลักล้านเคยเกิดมาแล้วครั้งหนึ่งราวปี 2564 “จากสถานการณ์ครั้งนั้นทำให้เราตั้งสติได้ในครั้งนี้ หาก NED จะถูกตัดไป ก็ไม่ได้ช็อกเหมือนคราวที่แล้ว เหมือนเรามีภูมิต้านทานว่าจะอยู่รอดได้ยังไง”
“คราวที่แล้วเราก็อยู่รอดได้ด้วยการไปรับจ้างทำคอนเทนต์จากหน่วยงานต่างๆ เหมือนโปรดักชันเฮาส์ ก็พออยู่รอดได้แบบเขียมๆ เวลาลงพื้นที่ก็พยายามจำกัดงบประมาณ ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และเริ่มใช้มาตรการ work from home ตั้งแต่ปี 2563-2564 เพื่อประหยัดงบ”
ผลจากการใช้มาตรการ ‘รัดเข็มขัด’ มาตลอดหลายปี ทำให้สำนักข่าวพอมีเงินสำรองนอกงบประมาณดำเนินการตามปกติไว้สำหรับรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่อย่างไรก็ตาม เวลา ‘2 ปี’ ที่หทัยรัตน์ประเมินไว้ก็ไม่ได้ยาวนานอะไรนัก เธอจึงยังคงติดตามสถานการณ์ของ NED อย่างใกล้ชิด โดยมีความหวังว่าปีต่อๆ ไปองค์กรแห่งนี้จะทำงานร่วมกับสื่อในประเทศไทยต่อ แม้ว่าแหล่งทุนที่ส่งเสริมประชาธิปไตยหลายแห่งอาจมองว่าประเทศไทยเข้าใกล้ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าช่วงรัฐบาลนายกฯ ทหาร จนอาจหันหัวเรือไปช่วยเหลือองค์กรประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหาชัดเจนยิ่งกว่าอย่างพม่าก็ตาม
“แต่ในสายตาเรา ไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยน่ะสิ” หทัยรัตน์กล่าวเสียงสูงกลั้วเสียงหัวเราะ ในแง่หนึ่ง สำหรับ The Isaan Record ซึ่งนำเสนอข่าวการเมืองชนิดที่บรรณาธิการสาวเอ่ยปากว่า “ทุ่มทุน พร้อมตาย” ในช่วงการเคลื่อนไหวบนถนนร้อนแรง เธอยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่แหล่งทุนภายในประเทศ – ผู้ไม่อยากแตะต้องเรื่องการเมือง – จะเข้ามาสนับสนุนสำนักข่าวแห่งนี้ในระยะยาว
เมื่อสำทับด้วยเหตุการณ์ระงับแหล่งทุนสนับสนุนต่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ การติดต่อขอทุนจากแหล่งอื่น เช่น ในสหภาพยุโรป อาจเป็นไปด้วยความลำบากมากขึ้น มีกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้น เนื่องจากคงมีองค์กรหลายแห่งทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไปติดต่อของบดำเนินการเช่นเดียวกัน – และนั่นเท่ากับเหลือหนทางอยู่รอดสำหรับสื่อท้องถิ่นไทยน้อยลง
ในภาพรวม แหล่งทุนที่สนับสนุนสื่อด้วยเงินก้อนใหญ่ภายใต้ภารกิจกว้างๆ อย่าง ‘ส่งเสริมประชาธิปไตย’ นั้นถือว่ามีจำนวนน้อยอยู่เป็นทุนเดิม โดยมากมักเป็นแหล่งทุนที่ตามมาด้วยการกำหนดโจทย์โครงการให้ทำงานเสียมากกว่า แง่นี้ หทัยรัตน์มองว่า “มีทั้งข้อดีและข้อเสีย” กล่าวคือถึงแม้จะมีหัวข้อกำกับว่าสื่อต้องทำเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่ส่วนมากก็ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องฝืนใจทำ
เธอยกตัวอย่างชุดผลงานเรื่องแรงงานอพยพในอุตสาหกรรมการเก็บเบอร์รี่ป่าที่ประเทศแถบสแกนดิเนเวียของ The Isaan Record ว่าเป็นประเด็นที่คนทำงานสนใจอยู่แล้ว เมื่อได้โจทย์จากแหล่งทุนมาจึงมีโอกาสทำงานเชิงลึกที่พบประเด็นสำคัญแยกย่อยอีกมากมาย – จากการอพยพแรงงาน สู่มิติด้านประชากรศาสตร์ และความเกี่ยวเนื่องกับขบวนการค้ามนุษย์ – ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านนโยบายการส่งแรงงานไปยังกลุ่มประเทศดังกล่าว นับว่าเป็นงานประเภท ‘win-win’ ด้วยกันทั้งสำนักข่าวและเจ้าของทุน
หทัยรัตน์ยังเล่าว่าเอาเข้าจริง ทุนจากต่างประเทศส่วนใหญ่ก็ไม่ได้จำกัดแนวทางการทำงาน หรือขอตรวจสอบเนื้อหาก่อนเผยแพร่แต่อย่างใด ตรงกันข้าม เป็นทุนของหน่วยงานในประเทศไทยเสียมากกว่า ที่มีลักษณะเหมือน ‘จ้างมาทำคอนเทนต์’ และข้อจำกัดด้านเนื้อหามากมาย ยิ่งถ้าเป็นงานลักษณะ advertorial ยิ่งมีเงื่อนไขมากเข้าไปกันใหญ่
อย่างไรก็ดี ไม่มีใครมองข้ามความจริงได้ว่าโมเดลการขอทุนมาทำงานอาจเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับสื่อท้องถิ่น กระทั่งบรรณาธิการของ The Isaan Record เองก็ตระหนักถึงจุดนี้ และยอมรับว่าพยายามเสาะหาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนมากขึ้นมาตลอด
“ตั้งแต่โดนตัดงบช่วงปี 2564 เราก็เริ่มตั้งคำถามว่าจะอยู่รอดได้ยังไง” ทางเลือกหนึ่งที่หทัยรัตน์สนใจคือโมเดลสื่อแบบ Wartani ที่ยะลา ซึ่งนำเงินขององค์กรไปฝากให้ชาวบ้านเลี้ยงวัว แล้วรับเงินปันผลต่อปี หรือเปิดโอกาสให้ชาวบ้านท้องถิ่นเข้ามากู้ยืมเงินไปประกอบอาชีพ แล้วหักส่วนแบ่งจากการขายผลผลิตที่ได้ สะท้อนให้เห็นการหยิบจับข้อได้เปรียบของสื่อท้องถิ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชนมาออกแบบโมเดลธุรกิจ กระนั้น คงต้องพิจารณาว่าเข้ากับบริบทของ The Isaan Record มากน้อยแค่ไหน
“เคยคุยกันเล่นๆ ว่าอาจจะเอาสินค้าชาวบ้านมาขาย เช่น เอาข้าวหอมมะลิจากทุ่งกุลาร้องไห้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงงานน้ำตาลมาขายไหม แต่เราก็ไม่เคยทำ จะได้ผลดีหรือผลเสียก็ไม่รู้ เราต้องมาระดมสมองกันก่อนว่าจะไปต่อกันยังไง
“อีสานเรคคอร์ดไม่ได้ถนัดทำธุรกิจเลย” เธอยอมรับ พร้อมบอกว่าเคยทดลองขายสินค้าเพื่อหารายได้เข้า The Isaan Record อยู่บ้าง แต่จากประสบการณ์ครั้งนั้น มันก็ช่างเหนื่อยแสนเหนื่อย “เราเป็นนักข่าวมาตลอดชีวิต ทำธุรกิจไม่เป็น สิ่งที่ทำได้คือขอทุนจากต่างประเทศ และคุยกับสถานทูต หน่วยงานในไทย ขายไอเดีย คอนเทนต์”
ทั้งนี้ หทัยรัตน์ยืนกรานหนักแน่นว่าต่อให้ในอนาคต โมเดลสื่อของตนต้องปรับเปลี่ยนไปทางขายสินค้าจากชาวบ้านมากขึ้น แต่จะแยกงานส่วนบริหารธุรกิจและงานขายออกจากตำแหน่งนักข่าวให้เป็นเรื่องของผู้บริหารหรือคนที่เกี่ยวข้อง เพราะ “นักข่าวไม่ควรทำหน้าที่แบบนั้น นักข่าวควรตรวจสอบและนำเสนอข้อมูล เขียนคอนเทนต์ไป ไม่ใช่การยื่นเรตการ์ด ขายโฆษณา มันจะปนเปกันไปหมดแล้วไม่เหลือหลักการอะไรให้ยึดถือ”
ขณะเดียวกัน ต่อคำถามว่าคิดเห็นอย่างไรกับโมเดลในอุดมคติอย่างการให้ประชาชนเข้ามาร่วมจ่ายเงินสนับสนุนสื่อ หทัยรัตน์เผยว่า “ตอนที่เราคุยกับเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจาก NED ก็คุยกันว่าจะเรียกร้องให้ประชาชนมาเป็นเจ้าของสื่อได้ยังไงบ้าง” เพราะ The Isaan Record เคยมีประสบการณ์ขอระดมทุนจากชุมชน ผลปรากฏว่าได้สมาชิกสนับสนุนรายปีหลักสิบคนเท่านั้นเอง นับเป็นเรื่องที่ท้าทายจริงๆ สำหรับการสื่อสารให้กลุ่มผู้อ่านเห็นความสำคัญของสื่อท้องถิ่น
“แต่เราก็ไม่สิ้นหวังนะ ว่าจะไม่มีใครสนับสนุน” หทัยรัตน์มองโลกในแง่ดี “เรายังมีความหวังว่าตัวเราเป็นประโยชน์ต่อสังคมอีสาน และสังคมอีสานเป็นสังคมพี่น้อง ชอบช่วยเหลือกันและกัน หากเขาคิดว่าเรามีความสำคัญต่อคนอีสาน คนก็น่าจะสนับสนุนเรา”
อนึ่ง บรรณาธิการ The Isaan Record เล่าให้ฟังว่าแม้สำนักข่าวจะมีที่ตั้งอยู่จังหวัดขอนแก่นและนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลักก็จริง แต่จากข้อมูลพบว่ากลุ่มผู้ติดตามเกินครึ่งหนึ่งกลับอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ รองลงมาคือเชียงใหม่ สงขลา แล้วจึงมีขอนแก่นรั้งอันดับที่สี่ – สิ่งนี้อาจตีความว่าเป็นเพราะคนอีสานกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศก็ย่อมได้ หรืออาจสะท้อนว่าคอนเทนต์เกี่ยวกับอีสานนั้นให้ความรู้สึก ‘จับต้องได้’ ‘เห็นเลือดเนื้อ เห็นชีวิต’ ตามคำของหทัยรัตน์ และประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน คุณภาพชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่คนทุกภาคให้ความสำคัญก็ได้เช่นกัน
และสำหรับโลกที่อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ผันผวนไม่แพ้การเมืองในต่างประเทศนั้น ไม่ว่าจะตีความแบบไหน อย่างน้อยนี่คือสัญญาณที่ดีว่าสำนักข่าวเล็กๆ แห่งนี้ยังมีที่ทางเติบโตได้ แม้จะเชื่องช้า ค่อยเป็นค่อยไปอยู่บ้างก็ตาม
หากเหลียวมองแวดวงสื่อท้องถิ่น จะเห็นว่าอันที่จริงก็มีอยู่หลายสำนักหลายแนวทาง บ้างก็แนบชิดกับหน่วยงานราชการและผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ บ้างก็มีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์ข่าวสารชุมชนเป็นหลัก แต่หากเพ่งพินิจไปยังสื่ออย่าง Lanner, The Isaan Record และอีกหลายสำนักซึ่งมุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาเชิงลึก ตั้งต้นเป็นคู่ตรงข้ามผู้มีอำนาจ ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น และเป็นกระบอกเสียงให้คนตัวเล็กตัวน้อยแล้ว อาจพบว่ามีความท้าทายมากมายที่ต้องเผชิญตลอดเวลา
ทั้งข้อจำกัดด้านทุนดำเนินการและจำนวนคนทำงาน โอกาสในการขยายกลุ่มผู้อ่าน วิธีสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มที่หลากหลาย แต่อัลกอริทึมเอาแน่เอานอนไม่ได้ ตลอดจนโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน ฯลฯ
เมื่อสมทบซ้ำเติมด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างความเปลี่ยนแปลงของการเมืองโลก – ประชาธิปไตยในโลก ถึงภาคส่วนที่เล็กที่สุด ยากจะคาดเดาที่สุดอย่างสื่อท้องถิ่นไทยแล้ว แน่แท้ว่ามันสั่นสะเทือนถึงทางรอดของสื่อท้องถิ่นนับจากนี้ในระยะยาว และนั่นผูกรวมถึงคุณภาพชีวิตของคนทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ต่อให้นักข่าวท้องถิ่นส่วนใหญ่จะยืนกรานหนักแน่นว่าขอสู้ต่อ ตราบใดที่เสี้ยวส่วนหนึ่งของผลงานสื่อสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในบ้านเกิด – ที่หลายครั้งก็ถูกรัฐเพิกเฉยต่อปัญหา และใส่ใจแค่เหตุการณ์ในเมืองกรุง – ได้สักนิด สามารถนำเสนอข้อมูลอันแตกต่างไปจากมุมมองของสื่อกระแสหลักได้สักหน่อย หลายคนก็พร้อมยอมทำงานแบบเข้าเนื้อ แลกหยาดเหงื่อแม้ไม่คุ้มค่าตอบแทน
แต่ถ้าเราเล็งเห็นความสำคัญของการมีสื่อที่หลากหลายและงานข่าวที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาท้องถิ่นไทย แล้วเราจะทำอย่างไรให้สื่อเหล่านี้อยู่รอด โดยที่นักข่าวเองก็สามารถเลี้ยงปากท้องตนเองและครอบครัวได้มีคุณภาพไม่แตกต่างไปจากอาชีพอื่น
เป็นคำถามที่แม้แต่คนในวงการยังคิดไม่ตก ขบไม่แตกมานานแล้ว
หมายเหตุ: สัมภาษณ์ช่วงวันที่ 12-13 มีนาคม 2568