ศักราชผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ปี 2025 แต่วี่แววแห่งความหวังยังไม่ปรากฏ ไม่ว่าจะในไทยหรือโลก
ในไทย การเลือกตั้งปี 2023 ได้นำไปสู่การก่อร่างของหุ้นส่วนทางอำนาจใหม่ แต่ภายใต้การเมืองที่นิ่งสงบไร้คลื่นลม การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยยังคงเป็นคำถามใหญ่ ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา-โตช้ายังไม่มีทางออกที่ตรงจุด
ในระดับโลก โลกยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ ซึ่งอาจทวีความรุนแรงหลัง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กลับเข้าทำเนียบขาวอีกครั้ง
ในวันที่โลกไร้ความแน่นอนและไทยกำลังแน่นิ่ง เราจะเดินหน้าไปต่อไปในปี 2025 ได้อย่างไร วันโอวันเปิดวงสนทนา Round Table กับ ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมด้วย พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร และ จันจิรา สมบัติพูนศิริ นักวิชาการประจำสถาบัน German Institute of Global and Area Studies (GIGA)
หมายเหตุ : เรียบเรียงเนื้อหาบางส่วนจากรายการ 101 Round Table : จับตาอนาคตไทยและโลก 2025 เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568
การเมืองไทย 2025: ภูมิทัศน์การเมืองใหม่ไร้คลื่นลม
“การเมืองไทยปีนี้ไม่น่าจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย การเมืองไทยช่วงนี้นิ่งๆ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น” ประจักษ์ ก้องกีรติ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มการเมืองไทยปี 2025

แม้ว่าการเลือกตั้งปี 2023 จะเปลี่ยนการเมืองไทยไปสู่ภูมิทัศน์ใหม่ กล่าวคือเกิดการสร้างหุ้นส่วนพันธมิตรทางอำนาจใหม่จากการจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคภูมิใจไทย แต่สาเหตุที่ประจักษ์มองว่าการเมืองไทยจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับล้มรัฐบาลหรือยุบสภาในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากการสร้างหุ้นส่วนทางอำนาจมีราคาที่ต้องจ่ายแพงมาก นั่นคือแลกกับการสกัดไม่ให้ ‘สิ่งแปลกปลอมทางการเมือง’ อย่างพรรคประชาชนเข้าสู่อำนาจ
ส่วนภาพความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลที่ปรากฏให้เห็นในหน้าสื่อ ประจักษ์อธิบายว่าเป็นเรื่องปกติสำหรับรัฐบาลผสมและไม่น่านำไปสู่การสลายหุ้นส่วนอำนาจ เนื่องจากเป็นการทะเลาะเรื่องนโยบายหรือตำแหน่งในรัฐบาลเพื่อให้การเจรจาลงตัว ไม่ใช่การแตกหักแบบถอนรากถอนโคน
ทั้งนี้ ด้านดีของการเมืองแบบ ‘นิ่งๆ’ ที่ประจักษ์ชี้ให้เห็นคือ การเมืองมีความต่อเนื่องระดับหนึ่งและยังไม่มีสัญญาณของการทำรัฐประหารเพื่อล้มกระดาน
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งปี 2023 ไม่ได้เปลี่ยนผ่านโครงสร้างทางการเมืองไทยไปสู่ประชาธิปไตย “ผมมองว่ามรดกเชิงโครงสร้างจาก ‘ระบอบประยุทธ์’ ยังคงอยู่”
องค์ประกอบของระบอบประยุทธ์ตามการนิยามของประจักษ์ ร่วมกับ วีระยุทธ์ กาญจน์ชูฉัตร ได้แก่
1.ทหารมีอำนาจ
2.ระบบทุนนิยมแบบช่วงชั้นที่เอื้อให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเส้นสายกับรัฐเข้าถึงกระบวนการกำหนดนโยบาย
3.การเมืองแบบกึ่งประชาธิปไตยกึ่งเผด็จการ กล่าวคือ เปิดให้มีการเลือกตั้งและฝ่ายเผด็จการเองก็สร้างพรรคการเมืองเพื่อลงเลือกตั้งและธำรงอำนาจ แต่การเลือกตั้งถูกควบคุมผ่านกติกาทางการเมืองที่วางไว้ล่วงหน้าอย่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 (2017) และมีกลไกสกัดฝ่ายต่อต้าน
4.พิทักษ์อำนาจนำของสถาบันกษัตริย์ (royal hegemony) ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนผ่านการประกาศไม่แก้ไขมาตรา 112 ของแทบทุกพรรคการเมือง
“สิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปคือ พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่ ‘หัว’ ของระบอบอีกต่อไปแล้ว”
หากประเมินที่ทางและสถานะของพรรคเพื่อไทยหลังจับมือข้ามขั้วและเข้าสู่อำนาจ ประจักษ์ตั้งข้อสังเกตว่า “พรรคเพื่อไทยพาตนเองมาอยู่ในจุดที่ลำบาก” เนื่องจากการจับมือกับพรรคที่มี DNA แนวคิดและนโยบายไม่ตรงกัน ส่งผลให้การผลักดันนโยบายเป็นไปอย่างยากลำบาก อีกทั้งยังทำให้พรรคเพื่อไทยต้องลดเพดานจนเสีย branding ในฐานะ ‘พรรคฝ่ายประชาธิปไตย’ หรือก็คือทำให้ความหมายของประชาธิปไตยถูกลดทอนจนเหลือเพียงแค่กระบวนการเลือกตั้งเท่านั้น
มองต่อไปในอนาคต ปี 2025 มีสองวาระที่ต้องจับตา คือการแก้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งอบจ. ประจักษ์ประเมินว่า “เป็นหมุดหมายของการเมืองไทยปีนี้ แต่ไม่ถึงระดับเป็นความหวังที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่”
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเมืองจะ ‘ซึม’ แต่ประจักษ์เสนอว่าสังคมยังต้องผลักดันไม่ให้แนวคิดประชาธิปไตยหายไป
“หากหยุดผลักดัน ไม่ต่อสู้ สิ่งเหล่านี้ก็จะยิ่งถอยหลัง เรายังต้องต่อสู้ ต้องวิพากษ์วิจารณ์และผลักดันเพื่อมุ่งไปสู่การเมืองที่ดีกว่านี้”
เศรษฐกิจไทย 2025: 1 ข่าวดี 2 ข่าวร้าย
กับโจทย์ปฏิรูปเศรษฐกิจที่ไร้ฉันทมติ
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2025 พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย มองว่ามีข่าวดี 1 เรื่อง ส่วนข่าวร้ายมี 2 เรื่อง
ข่าวดีคือการท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอดยังคงสามารถเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม พิพัฒน์เตือนว่าการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวกำลังเข้าสู่จุดอิ่มตัว ซึ่งที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาคบริการเป็นภาคส่วนเดียวที่ขยายตัวในยุคหลังโควิด ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมหดตัว ส่วนภาคการเกษตรก็ไม่เติบโต
“หมายความว่าภาคบริการกำลังแบกเศรษฐกิจอยู่ หากบทบาทของภาคบริการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจากต่างประเทศกำลังชะลอตัว คำถามคือเครื่องจักรอื่นๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมีแรงผลักเพียงพอหรือไม่”

ส่วนข่าวร้ายเรื่องแรก คือภาคอุตสาหกรรมไทยซึ่งเคยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ยุคถดถอย เนื่องจากเริ่มมีปัญหาเรื่องความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตและส่งออกสินค้าที่ไทยเคยได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี พิพัฒน์กล่าวว่า มีเพียงอุตสาหกรรมอาหารเท่านั้นที่ยังพอแข่งขันได้
นอกจากการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อีกปัญหาหนึ่งคือในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่ได้พัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อเข้ามาทดแทนหรือช่วยหนุนเศรษฐกิจแทนอุตสาหกรรมที่ค่อยๆ หดตัวลง
ข่าวร้ายเรื่องที่สอง คือภาคการเงิน สัญญาณลบที่พิพัฒน์ชี้ให้เห็นคือการให้สินเชื่อของธนาคารติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี กล่าวคือ ธนาคารระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ พิพัฒน์ให้ความเห็นว่าสภาวะดังกล่าวส่งผลให้วงจรเศรษฐกิจซบเซายุติลงได้ยาก เพราะเมื่อธนาคารไม่ปล่อยกู้ คนก็ไม่มีเงินซื้อสินค้า เศรษฐกิจก็ตกต่ำ
นอกจากข่าวดีและข่าวร้าย อีกประเด็นสำคัญที่มีความไม่แน่นอนสูงและต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด คือภูมิรัฐศาสตร์และการกลับมาของทรัมป์ที่อาจมาพร้อมกับสงครามการค้าภาคสอง นำมาสู่ความเสี่ยงที่ไทยต้องเผชิญจากการแยกห่วงโซ่อุปทาน (decoupling)
สำหรับอนาคตเศรษฐกิจไทยในระยะยาว พิพัฒน์ประเมินว่าเป็นไปได้ยากที่เศรษฐกิจไทยจะมีศักยภาพกลับไปเติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนในอดีต สาเหตุคือปัญหาโครงสร้างประชากร โดยในปี 2025 ถือเป็นปีแรกที่ประชากรเกิดใหม่มีจำนวนน้อยกว่าประชากรที่เสียชีวิต ทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจค่อยๆ ลดลง ซ้อนทับกับปัญหาแรงงานวัยทำงานลดลงอย่างต่อเนื่องและปัญหาแรงงานทักษะต่ำ
สองปัจจัยความหวังที่พิพัฒน์มองว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อีกครั้งท่ามกลางสภาวะดังกล่าว คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มผลิตภาพ (productivity) และการลงทุน
“นี่คือโจทย์ระยะยาวของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ หากเราปรับโครงสร้างได้ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมี”
เมื่อมองไปที่นโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย พิพัฒน์ให้ความเห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การตีโจทย์ไม่แตก แต่อยู่ที่การขาดฉันทมติของฝ่ายการเมืองในการผลักดันการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป้าหมายหลักของพรรคการเมืองคือการชนะเลือกตั้งในสมัยต่อไป ดังนั้นนโยบายที่ออกมาจึงมีลักษณะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นมากกว่าการปฏิรูปในระยะยาว
“ขณะนี้ไทยกำลังมีปัญหาศักยภาพทางเศรษฐกิจถดถอย สภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยกระตุ้นด้วยนโยบายแบบเดิมๆ”
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณว่ารัฐบาลเพื่อไทยกำลังหาทางแก้โจทย์ในการลงทุนพัฒนา ‘เครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่’ ที่จะเข้ามาทดแทนอุตสาหกรรมที่ถดถอยลงไปแล้ว “แต่คำถามคือ อุตสาหกรรมหรือโครงการที่จะลงทุนจะตอบโจทย์การปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจหรือไม่”
การหวนคืนของภูมิรัฐศาสตร์และการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ภูมิรัฐศาสตร์’ (Geopolitics) กลายเป็น ‘คำยอดฮิต’ ที่มักถูกหยิบมาใช้อธิบายความผันผวนของสถานการณ์การเมืองเศรษฐกิจโลก ไปจนถึงวิเคราะห์ผลกระทบต่อไทย
และเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์หวนคืนสู่ทำเนียบขาวอีกครั้งในปีนี้ เค้าลางที่ว่าโลกและไทยอาจต้องรับมือคลื่นลมทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความปั่นป่วนจากสงครามการค้าภาคสองระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ปรากฏอีกครั้ง

แม้ จันจิรา สมบัติพูนศิริ จะชี้ให้เห็นว่า ที่จริงแล้วภูมิรัฐศาสตร์อยู่คู่การเมืองโลกมาตลอด แต่สาเหตุที่ภูมิรัฐศาสตร์หวนกลับมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง เนื่องจากระเบียบโลกเสรีนิยมที่สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดและครองอำนาจนำมาตลอดในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมาถูกตั้งคำถามจากทั้งนอกสหรัฐฯ และภายในประเทศ – ไม่ว่าจากการเข้าไปพัวพันในกิจการโลกและใช้อำนาจในนามของการสนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน หรือจากการค้าเสรี-กระแสโลกาภิวัตน์ที่ไม่ได้กระจายความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียม
เมื่อความชอบธรรมของสหรัฐฯ และระเบียบโลกเสรีนิยมเริ่มเสื่อมถอย ขั้วอำนาจอื่นๆ อย่างเช่นจีนและรัสเซียก็ก้าวขึ้นมาท้าทาย
“เวลาที่เรากล่าวว่าภูมิรัฐศาสตร์กำลังกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันเพื่อช่วงชิงอำนาจระหว่างผู้นำโลก”
ตัวอย่างเช่นมาตรการตั้งกำแพงภาษีหรือการสกัดอีกฝ่ายออกจากห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของสินค้าที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ต่อจีน จันจิราชี้ให้เห็นว่าเป็นเพียงมิติหนึ่งของการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์เท่านั้น นั่นคือการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้า
ผลกระทบที่ตามมาจากการเสื่อมถอยของระเบียบโลกเสรีนิยมและการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจคือ ความไม่แน่นอน ซึ่งทำให้ผู้คนทั่วโลกรู้สึกว่าสิ่งที่เคยดำรงอยู่กำลังจะหายไป กล่าวคือต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงชีวิต
“ประเด็นไม่ได้อยู่เพียงแค่ว่าภูมิรัฐศาสตร์เป็นเรื่องดีหรือแย่ และจะนำมาสู่ความเสี่ยงอย่างไร แต่ยังอยู่ที่ว่าเรากำลังต้องเผชิญกับอะไรบ้างในโลกที่ไม่แน่นอน”
สำหรับประเด็นร้อนที่ส่งต่อมาจากปี 2024 อย่างการ come back ของทรัมป์ จันจิราเสนอมุมมองว่า ชัยชนะจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุดอาจไม่ได้สะท้อนการกลับมาของปรากฏการณ์ ‘โลกหันขวา-ฝ่ายซ้ายก้าวหน้าถดถอย’ ได้อย่างชัดเจนอีกต่อไป กล่าวคือ ไม่ใช่ทุกคนที่เลือกทรัมป์จะเห็นด้วยกับอุดมการณ์ที่ทรัมป์เสนอทั้งหมด โดยกลุ่มที่ส่งมอบชัยชนะให้แก่ทรัมป์ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มผู้แพ้จากระเบียบโลกเสรีนิยมและกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างชนชั้นแรงงานผิวขาวที่เสียงานไปจากการโยกย้ายฐานการผลิตออกไปนอกสหรัฐฯ และผู้ที่ตั้งคำถามต่อเสรีนิยมประชาธิปไตย แต่ยังมีกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งเป็นกลุ่มคนผิวดำหรือเชื้อสายละติน และได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่ฐานเสียงพรรคเดโมแครตคือผู้ที่มีรายสูงกว่า
“จะเห็นว่าพรรคขวากลายเป็นตัวแทนเสียงของฐานเสียงที่เคยเป็นของพรรคฝ่ายซ้ายแทน การเมืองซ้าย-ขวาแบบเดิมไม่ได้ถูกแบ่งอย่างชัดเจนอีกต่อไป”
ส่วนคำถามที่ว่าการเลือกทรัมป์เท่ากับการปฏิเสธประชาธิปไตยหรือไม่ จันจิราชวนตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่เลือกทรัมป์อาจปฏิเสธคุณค่าแบบเสรีนิยมที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและการเมืองเชิงอัตลักษณ์ที่อิงกับเชื้อชาติและเพศสภาพมากกว่าจะปฏิเสธกระบวนการประชาธิปไตยอย่างการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ หากมองออกไปนอกสหรัฐฯ ผลการเลือกตั้งทั่วโลกจากปี 2024 สะท้อนว่ากระแสการเมืองโลกยังมีทิศทางไม่ชัดเจนนักว่าจะหันขวาหรือซ้าย เนื่องจาก “เป็นปีปราบเซียน” ที่พารัฐบาลไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขวาหรือซ้ายลงจากอำนาจแทบทั้งหมด โดยที่มีประเด็นเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญชี้ขาด