หากจะมี 'New Normal' เราต้องเป็น 'Green New Normal'

หากจะมี ‘New Normal’ เราต้องเป็น ‘Green New Normal’

พรพรหม วิกิตเศรษฐ์ เรื่อง

ณัฐพล อุปฮาด ภาพประกอบ

 

ภาวะ ‘ได้อย่าง เสียอย่าง’ ระหว่างเศรษฐกิจและนิเวศวิทยา

 

‘ได้อย่าง เสียอย่าง’ คือสมมติฐานสำคัญที่ผมใช้ในการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ‘เศรษฐกิจ’ และ ‘นิเวศวิทยา’ กล่าวคือ ถ้าเศรษฐกิจเติบโต ระบบนิเวศวิทยาจะเสื่อมโทรมลง หรือพูดอีกแบบก็ได้ว่า ทั้งสองตัวแปรนี้มีความสัมพันธ์ที่ ‘ตึงเครียด’ (stressed relationship) ต่อกัน

ที่ผ่านมา เราคุ้นเคยกับเรื่องราวของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต้องแลกมาด้วยความทรุดโทรมของสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานที่สูงขึ้นนำไปสู่มลพิษทั้งหลาย การใช้วัสดุต่างๆ ที่มากกว่าเดิมจนนำไปสู่ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ พูดให้ถึงที่สุด เมื่อคุณภาพชีวิตของเรายกระดับขึ้นเมื่อไหร่ ผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อมก็แทบจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่ากิจกรรมนั้นจะเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างการนั่งเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ (เพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์) หรือการหันมาทานเนื้อวัวมากขึ้น (การถางป่าเพื่อปลูกพืชธัญญาหารสำหรับการเลี้ยงสัตว์)

พูดอีกแบบคือ มนุษย์ต้องแลก ‘เศรษฐกิจ’ กับ ‘ระบบนิเวศ’ มาตลอด และดูเหมือนเราจะเลือกอย่างแรกมากกว่าอย่างหลังอย่างเห็นได้ชัด

แต่วิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้รูปแบบของ ‘stressed relationship’ ระหว่าง ‘เศรษฐกิจ’ กับ ‘ระบบนิเวศ’ เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่เราไม่คุ้ยเคย นั่นคือ การที่มิติสิ่งแวดล้อมได้ขึ้นนำมิติเศรษฐกิจ ข้อมูลชี้ว่าระหว่างเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่ผ่านมา ปริมาณปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ก่อมลพิษมากที่สุดในโลก ได้ลดลง 18% และค่าฝุ่นขนาดเล็ก (PM) ลดลง 35% ขณะเดียวกันก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ในอเมริกา ยุโรปและจีนก็ลดลง 60% ตัวเลขเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในสภาวะปกติแน่นอน

นอกเหนือจากตัวเลขเหล่านี้แล้วยังมีหลายเหตุการณ์ที่คงปรากฏได้ยากในโลกปกติ เช่นการที่สัตว์ป่าสงวนโผล่มาจากธรรมชาติหรือการพบฉลามวาฬบริเวณเกาะเต่า เราคงไม่แปลกใจว่าทำไมช่วงโควิด-19 ประเด็นสิ่งแวดล้อมถึงถูกมองในเชิงบวกเหลือเกินไม่เหมือนกับเรื่องอื่นที่มีแต่แนวลบ ต้องยอมรับว่าที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะเราอยู่ดีๆ หันมาทำด้านสิ่งแวดล้อมเป็นพิเศษแต่เพราะเศรษฐกิจเราอยู่ในช่วงที่ตกต่ำที่สุดนั้นเอง

คำถามคือ ในโลกหลังโควิด-19 เราควรตั้งหลักเรื่องนี้อย่างไร?

 

สองอนาคตของสิ่งแวดล้อม

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโจทย์ใหญ่ของทุกประเทศในโลกในหลังโควิด-19 คือ การฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับความเสียหายจากนโยบายล็อกดาวน์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ การปรับตัวไปสู่ ‘new normal’ หรือความ ‘ปกติใหม่’ อย่างไรเสียก็ตั้งอยู่บนความจริงข้อนี้ การคาดหวังให้ลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ บริโภคน้อยลง เพื่อให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น จึงเป็นความหวังที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไหร่นัก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้หมายความว่า ไม่มีโอกาสในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่เลย โจทย์ท้าทายของเราคือทำยังไงให้เศรษฐกิจฟื้นกลับมาโดยไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนเมื่อก่อน วันที่เศรษฐกิจกำลังกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่และถูกกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวมากมาย นี่คือโอกาสใหญ่ที่เราจะเพิ่มมิติของการพัฒนาแบบยั่งยืนและการคำนึงถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังเข้าไป

สำหรับประเด็นสิ่งแวดล้อม โลกหลังโควิด-19 จะสามารถออกมาได้เป็นสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

1. business as usual (BAU) – กลับมาเหมือนเมื่อก่อน เศรษฐกิจเหนือสิ่งแวดล้อม

ในสถานการณ์นี้เศรษฐกิจจะอยู่เหนือทุกอย่างเหมือนก่อน โดยที่เราสนใจเพียงแค่การทำให้ระบบเศรษฐกิจกลับคืนสภาพอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องอื่นๆ (เช่น สิ่งแวดล้อม) ค่อยมาแก้กันทีหลัง ในวันที่ธุรกิจต่างๆ ฟื้นฟูและเร่งกลับเข้าสู่สภาพเดิม คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มลพิษจะกลับมาเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะทำให้ผลเชิงบวกของสิ่งแวดล้อมในระยะเวลาที่ผ่านมานั้นหายไปในพริบตา เหมือนมันไม่เคยได้เกิดขึ้น

ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือที่หลายคนได้คาดว่าปริมาณมลพิษหลังโควิด-19 จะไม่เพียงแค่กลับไปสู่จุดเดิมก่อนวิกฤต แต่จะพุ่งเกินไปกว่านั้นอีก เพราะธุรกิจต่างๆ ก็ต้องรีบเร่งการผลิตของตัวเองเพื่อชดเชยสำหรับช่วงวิกฤตที่ผ่านมาที่กิจการโดนกระทบ ซึ่งปรากฏการณ์นี้มีชื่อว่า ‘revenge pollution’ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศจีนช่วงปี 2008-2013

เพื่อการกระตุ้นและฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตการณ์ซับไพรม์ในปี 2008 รัฐบาลจีนได้ทุ่มเงินจำนวน 5 แสนล้านดอลลาร์มุ่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยหลังจากนั้นไม่กี่ปีอุตสาหกรรมในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ผลร้ายที่ตามมาคือค่าการปล่อยมลพิษในประเทศสูงขึ้นอย่างน่ากังวล และส่งผลให้เกิดปัญหาหมอกควันพิษที่กรุงปักกิ่งและหัวเมืองต่างๆ ในช่วงหน้าหนาวปี 2012-2013 ที่รู้จักกันในนามว่า ‘air-pocalypse’

2. green new normal – ความปกติใหม่ของทุกๆ ด้านรวมถึงด้านสิ่งแวดล้อม

การเกิด ‘revenge pollution’ ในประเทศจีนเป็นบทเรียนสำคัญที่เราต้องเรียนรู้และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำขึ้นอีก นักคิดด้านสิ่งแวดล้อมจึงเห็นว่า การแก้ไขวิกฤตและออกแบบเศรษฐกิจใหม่หลังโควิด-19 ควรต้องเอาวาระสีเขียว (green agenda) เข้ามาเป็นมาตรฐานใหม่ด้วย พูดอีกแบบคือ หากจะมี ‘new normal’ เราก็ควรผลักดันให้เป็น ‘green new normal’

หัวใจสำคัญของ ‘green new normal’ คือการที่เรามุ่งเป้าเข้าสู่การฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจแบบยั่งยืนที่มองถึงผลกระทบต่างๆ ต่อสิ่งแวดล้อม และมากไปกว่านั้นคือการมองถึงโอกาสที่สิ่งแวดล้อมจะมาช่วยส่งเสริมด้านเศรษฐกิจมากกว่าที่เป็นตัวถ่วง วิธีคิดเช่นนี้คือ การเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและระบบนิเวศจากเดิมที่เป็นความสัมพันธ์แบบ ‘stressed relationship’ ให้เป็น ‘complimentary relationship’ หรือ ความสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน

 

บนเส้นทางสู่ ‘green new normal’

 

การจะนำไปสู่  ‘green new normal’ ได้ต้องประกอบไปด้วยหลักการ 3A ได้แก่ ascension (ก้าวกระโดด) assimilation (ร่วมมือ) และ acceleration (เร่งมือ)

ascension (ก้าวกระโดด) – กระแสของเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) กำลังจะแพร่หลายในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยจึงต้องก้าวกระโดดไปเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านเศรษฐกิจสีเขียว เราจะต้องกล้าเสี่ยงในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เรามีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการประเมินอุตสาหกรรมเป้าหมายคือการมีทรัพยากรธรรมชาติภายในประเทศที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างของประเทศที่สามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองให้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งใน 10 ปีที่ผ่านมา คือ สหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้ขุดค้นพบ shale oil และ shale gas จำนวนมหาศาล อเมริกาสามารถรีบปรับตัวเองจากผู้นำเข้า (net importer) เป็นผู้ส่งออก (net exporter) ได้อย่างรวดเร็วและสร้างรายได้จากอุตสาหกรรมนี้อย่างมาก

สำหรับประเทศไทยอุตสาหกรรมที่ตรงกับความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของเราคือเศรษฐกิจชีวภาพ (bio-economy) ที่ประกอบด้วย พลังงานชีวภาพ (bioenergy), ชีวเคมี (biochemical) และ ยาชีวเภสัชภัณฑ์ (biopharmaceuticals) โดยเหตุหลักคือจากการที่เราครอบครองวัตถุดิบการผลิตที่ต้องใช้ในอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปาล์มที่เราเป็นผู้ผลิตอันดับ 3 ของโลก น้ำตาลที่เราเป็นทั้งผู้ผลิตน้ำตาลอันดับ 4 และผู้ส่งออกอันดับ 2 ของโลก และมันสำปะหลังที่เราผลิตเกินครึ่งหนึ่งของอุปทานโลก

แม้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย (BOI) ได้มีการสร้างแรงจูงใจร่วมแล้ว เช่นการเว้นการเก็บภาษีนิติบุคคลและภาษีนำเข้า รวมถึงมาตรการสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) สิ่งที่เราควรจะทำต่อคือการสนับสนุนการแข่งขันและการดึงดูดของตลาดให้มีผู้เล่นมากขึ้น

เราควรสร้างแรงจูงในให้ผู้ผลิต โดยมีตัวอย่างเช่นผลักดันพลังงานก๊าซชีวภาพผ่านการเพิ่มอัตราการรับซื้อไฟฟ้า (feed-in tariff rate) ซึ่งตอนนี้ราคาอยู่ที่ 5.35 บาท/กิโลวัตต์ และน้อยกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ (6.85 บาท/กิโลวัตต์) และ พลังงานลม (6.06 บาท/กิโลวัตต์) นอกจากนี้ยังสามารถสนับสนุนพลาสติกย่อยสลายให้สู้กับราคากับโพลีเมอร์ดั้งเดิมได้ หรือส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (high-value added products) เช่น การผลิตวัสดุ phase change material หรือเรียกสั้นๆ ว่า PCM ซึ่งผลิตจากน้ำมันปาล์มและสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างได้

assimilation (ร่วมมือ) – เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกหน่วยงานจะต้องร่วมมือกันรักษาสิ่งแวดล้อมและต่างหน่วยงานจะต้องมีความรับผิดชอบของตน ยกตัวอย่างในระดับกระทรวง วันนี้เรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นใหญ่เกินที่จะเป็นความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวและควรเป็นการสามัคคีและร่วมงานของทุกกระทรวง มาตรการที่สามารถดึงทุกกระทรวงเข้ามามีส่วนร่วมคือ ‘green budgeting’ หรือการคำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการพิจารณางบประมาณกระทรวง โดยปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมจะคำนวณได้จากปริมาณมลพิษที่นโยบายต่างๆ สามารถช่วยลด ง่ายๆ คือนโยบายของแต่ละกระทรวงช่วยลดมลพิษได้เท่าไหร่ก็จะได้งบประมาณมากขึ้นเท่านั้นตามสัดส่วน

accelerate (เร่งมือ) – ในภาพรวมของการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable development) ของเรา โดยเฉพาะด้านพลังงาน อุตสาหกรรมหนัก และขนส่งที่มีความเกี่ยวข้องเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง ถ้ายึดกับหลัก ‘carrot and stick’ เราจะเห็นว่านโยบายของเราส่วนมากจะเป็น ‘carrot’ ซึ่งคือการเน้นเพิ่มแรงจูงใจให้คนทำสิ่งที่ดี (เช่นสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด) ไม่ใช่ ‘stick’ ที่เป็นการลงโทษคนเมื่อทำสิ่งที่ไม่ดี (เช่นการใช้พลังงานฟอสซิล) ถ้าเราจะครัดเคร่งเรื่องนี้จริงเราจะต้องใช้ทั้งสองมาตรการ ‘carrot’ คือการเอื้ออำนวยแต่ ‘stick’ คือเครื่องเร่งมือให้เราไปสู่เป้าหมาย ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้

หนึ่งแนวทางของ ‘stick’ ที่เป็นประเด็นถกเถียงแต่จำเป็นจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังคือภาษีคาร์บอน ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตมลพิษไม่เคยถูกคิดคำนวณหรือต้องจ่ายต้นทุนทางสังคมจากมลพิษ ผิดกับหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หรือ ‘polluter pays principal’ ซึ่งเป็นหลักที่ได้การยอมรับระดับนานาชาติ หลายประเทศทั่วโลกได้มีการใช้ภาษีคาร์บอนแล้วและได้เห็นถึงตัวเลขของสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เช่นใน 25 ปีที่ประเทศสวีเดนได้ออกมาตรการภาษีคาร์บอน ปริมาณคาร์บอนในประเทศลดลง 23% แถมในช่วงเดียวกันนั้นเศรษฐกิจของประเทศโตขึ้น 55% ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามาตรการนี้ไม่เป็นภัยต่อเศรษฐกิจเหมือนที่หลายๆ คนคิด

 

พูดให้ถึงที่สุด ‘green new normal’ คือการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาดีกว่าก่อนช่วงโควิด-19 โดยเรื่องดีๆ ที่ผ่านมาเช่น การที่สัตว์ป่าสงวนโผล่มาจากธรรมชาติ หรือฉลามวาฬถูกพบบริเวณเกาะเต่าไม่หายไป แต่การจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องใช้นโยบายและอุตสาหกรรมที่เอื้อต่อสิ่งแวดล้อมเป็นตัวขับเคลื่อนการฟื้นฟูครั้งนี้

จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือ ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะรัฐบาลและเอกชน ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการมองความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและระบบนิเวศจาก ‘stressed relationship’ ให้เป็น ‘complimentary relationship’ และต้องร่วมมือกันคิดและทํานโยบายที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ที่จะช่วยส่งเสริมให้มิติเศรษฐกิจและมิติสิ่งแวดล้อมสามารถเติบโตเคียงข้างกันได้

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

23 Nov 2023

ไม่มี ‘วิกฤต’ ในคัมภีร์ธุรกิจของ ‘สิงห์’ : สันติ – ภูริต ภิรมย์ภักดี

หากไม่เข้าถ้ำสิงห์ ไหนเลยจะรู้จักสิงห์ 101 คุยกับ สันติ- ภูริต ภิรมย์ภักดี ถึงภูมิปัญญาการบริหารคน องค์กร และการตลาดเบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจสิงห์

กองบรรณาธิการ

23 Nov 2023

Economy

19 Mar 2018

ทางออกอยู่ที่ทุนนิยม

ในยามหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ผู้คนสิ้นหวังกับปัจจุบัน หวาดหวั่นต่ออนาคต และสั่นคลอนกับอดีตของตนเอง
วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร เสนอทุนนิยมให้เป็น ‘grand strategy’ ใหม่ของประเทศไทย

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร

19 Mar 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save