สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงหลังสงกรานต์ ทำให้ไทยจำเป็นต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ท่ามกลางความลังเลและสับสนของคนจำนวนไม่น้อยเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีน ด้วยเหตุนี้ ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เราจึงเห็นบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ออกมายืนยันข้อดีของวัคซีน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีน ขณะที่กลุ่มดารานักร้องนักแสดงที่ได้รับวัคซีนแล้ว ก็แสดงความเห็นสนับสนุนการฉีดวัคซีนไปในทิศทางเดียวกัน โดยบางคนถึงขั้นกล่าวโดยใช้ถ้อยคำประชดประชันว่า “เชื่อหมอ ไม่เชื่อหมา”
วัคซีนกับความไว้เนื้อเชื่อใจทางการแพทย์
แม้ว่าวัคซีนจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยหยุดการระบาดของโรคติดต่อหลายๆ โรค แต่เนื่องจากผลที่อาจเกิดขึ้นจากได้รับวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนชนิดใหม่ๆ นี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด การเข้ารับการฉีดวัคซีนจึงต่างจากการทำตามมาตรการสุขอนามัยอื่นๆ ทั้งการล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ฯลฯ การจะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อวัคซีนจึงยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของวงการสาธารณสุข
การยอมรับวัคซีนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนได้รับ ประสบการณ์เกี่ยวกับการรับวัคซีนทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม มีงานวิจัยฉบับหนึ่งเสนอว่า การสื่อสารระหว่างแพทย์-ผู้ป่วย เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อวัคซีน อันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นในวัคซีน และความยินยอมที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนในที่สุด งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษาข้อมูลจากผลสำรวจความคิดเห็นของประชากรในสหรัฐอเมริกาหลังจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A H1N1 (ไข้หวัดหมู) เมื่อปี ค.ศ. 2009 และพบว่า แม้ว่าข้อมูลทางการแพทย์จะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการลบล้างความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน แต่ลำพังการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียวอาจไม่ก่อให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการได้รับวัคซีน หากแพทย์ไม่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้ป่วยตั้งแต่ต้น
ความไว้เนื้อเชื่อใจคืออะไร?
ความไว้เนื้อเชื่อใจ (trust) เป็นหนึ่งในประเด็นสนใจของนักสังคมศาสตร์หลากหลายสาขาวิชา โดยในวิชาเศรษฐศาสตร์สถาบัน ความไว้เนื้อเชื่อใจถือเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทางสังคมที่ส่งผลต่อการแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นกิจกรรมพื้นฐานทางเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์สถาบันเห็นว่า ความไว้เนื้อเชื่อใจมีส่วนช่วยลดต้นทุนในการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนในการควบคุมตรวจสอบ (monitoring cost) และต้นทุนในการบังคับใช้ (enforcement cost) ตัวอย่างเช่น หากมีความไว้เนื้อเชื่อใจ นายจ้างก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อจับตาดูการปฏิบัติงานของลูกจ้าง หรือคู่รักก็ไม่จำเป็นต้องคอยเช็กโทรศัพท์มือถือของกันและกัน
งานด้านเศรษฐศาสตร์สถาบันบางชิ้นแบ่งความไว้เนื้อเชื่อใจออกเป็นสามระดับ ระดับแรกคือความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างบุคคล (interpersonal trust) ระดับที่สองคือความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบัน (institutional trust) และระดับที่สามคือความไว้เนื้อเชื่อใจในทางการเมือง (political trust) ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างบุคคลต่างจากความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบันตรงที่ความไว้เนื้อเชื่อใจระดับแรกตั้งอยู่บนคุณลักษณะของผู้เล่นเกม (player) ขณะที่ระดับหลังขึ้นอยู่กับกติกาในการเล่นเกม (rules of the game) ที่กำหนดโครงสร้างแรงจูงใจ เช่นในการแข่งขันฟุตบอล มักจะมีนักฟุตบอลบางคนที่จ้องเอาเปรียบคู่แข่งเมื่อมีโอกาส ขณะที่บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม การมีกฎกติกาที่ชัดเจนและผู้ตัดสินที่เป็นกลางย่อมช่วยให้ผู้เล่นทุกคนมั่นใจได้ว่าการแข่งขันจะเป็นไปอย่างยุติธรรม
ความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบันประเภทหนึ่งที่เสนอโดย Oliver E. Williamson นักเศรษฐศาสตร์สถาบันเจ้าของรางวัลโนเบลผู้ล่วงลับคือ ความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นวิชาชีพ (professionalisation) โดย Williamson เห็นว่า ข้อกำหนดของวิชาชีพ เช่น เงื่อนไขในการประกอบวิชาชีพ (เช่น ใบอนุญาต) ประมวลจริยธรรม และบทลงโทษต่างๆ จะช่วยสร้างความน่าไว้เนื้อเชื่อใจให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพต่างๆ โดยเฉพาะครูอาจารย์ ผู้พิพากษา รวมถึงแพทย์ นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถ รวมถึงบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของบุคคลเหล่านี้
วัคซีนกับความไว้เนื้อเชื่อใจทางการเมือง
ความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะความรู้ความสามารถ หรือบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของแพทย์ และความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นวิชาชีพของแพทย์ ย่อมช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยซึ่งส่งผลในทางบวกต่อการรักษาพยาบาล เช่น การยอมรับวิธีการรักษาโรค หรือการยินดีปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์สถาบันเชื่อว่า ในภาพที่กว้างขึ้นของระบบสาธารณสุข ความไว้เนื้อเชื่อใจทั้งสองระดับนี้อาจไม่เพียงพอเสมอไป
การขาดความไว้เนื้อเชื่อใจในทางการเมืองอาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนไม่เชื่อคำอธิบายหรือคำแนะนำของแพทย์ นักเศรษฐศาสตร์สถาบันเสนอว่า หากความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างบุคคลและความไว้เนื้อเชื่อใจเชิงสถาบันเปรียบเหมือนผู้เล่นเกมและกติกาในการเล่นเกม ความไว้เนื้อเชื่อใจในทางการเมืองก็จะหมายถึงการกำหนดกติกาในการเล่นเกม หากกฎกติกาถูกออกแบบมาอย่างไม่ยุติธรรม หรือน่าเคลือบแคลงสงสัย ก็ยากที่จะสร้างความน่าไว้เนื้อเชื่อใจได้
ในกรณีของวัคซีน การยอมรับวัคซีนของประชาชนมิได้ขึ้นอยู่กับคำยืนยันของแพทย์ในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนแต่ละชนิดเท่านั้น หากแต่ยังขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาลด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดหาวัคซีนหรือการจัดสรรวัคซีนก็ตาม ดังนั้น หากไม่ไร้เดียงสาจนเกินไปหรือจงใจเบี่ยงเบนประเด็นก็จะพบว่า การจัดการทรัพยากรด้านการสาธารณสุข รวมถึงวัคซีน มิอาจแยกออกจากการเมืองได้
วัคซีนที่ดีที่สุด?
“หน้ากากคือวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ดีที่สุด”
“วัคซีนที่ดีที่สุดของประเทศตอนนี้คือ สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ ใช้ช้อนกลางส่วนตัว กินอาหารปรุงสุกใหม่ๆ”
“วัคซีนที่ดีที่สุดคือ อยู่ห่างไว้ ใส่มาสก์กัน หมั่นล้างมือ”
“วัคซีนจะมาช้าหรือเร็วแทบไม่มีผลกับคนไทย เพราะเรามีหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้าในการป้องกันอนามัยส่วนตัว”
“วัคซีนที่ดีที่สุดขณะนี้ คือวัคซีนที่ฉีดได้เร็วที่สุด”
ความเห็นของแพทย์บางท่านเกี่ยวกับ ‘วัคซีนที่ดีที่สุด’ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามสถานการณ์ในการจัดหาและจัดสรรวัคซีนของรัฐบาล แต่ความเห็นเช่นนี้ไม่ได้ตอบคำถามสำคัญๆ ที่สังคมสงสัย (เช่น เหตุใดไทยจึงมีวัคซีนแค่บางยี่ห้อ? ทำไมไทยจึงได้รับวัคซีนล่าช้า? คนทุกกลุ่มอายุเหมาะกับวัคซีนยี่ห้อเดียวกันจริงหรือไม่? ทำไมจึงต้องเว้นระยะห่างในการรับวัคซีนนานขึ้น? ฯลฯ) ซ้ำยังช่วยบดบังและปกปิดความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม คติสอนใจเหล่านี้จึงส่งผลให้ความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวแพทย์ และความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นวิชาชีพของแพทย์ ถูกกลืนหายเข้าไปในความไม่น่าไว้เนื้อเชื่อใจของรัฐบาล โดยเฉพาะศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และกระทรวงสาธารณสุขในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบ
ประชาชนมิได้ไม่เชื่อหมอ แต่ไม่เชื่อรัฐบาล และแน่นอนว่า วลี “เชื่อหมอ ไม่เชื่อหมา” ของกองเชียร์ย่อมไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
บทส่งท้าย
ในสังคมไทย แพทย์เป็นหนึ่งในอาชีพที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจในความเป็นวิชาชีพอย่างสูง จนกระทั่งกลายเป็นความเคารพนับถือ ความเคารพนับถือนี้สร้างสถานะพิเศษในสังคมให้แก่แพทย์ เช่นเดียวกันกับอาชีพอื่นๆ ทั้งครูอาจารย์ และผู้พิพากษา กระนั้นสถานะพิเศษของผู้ที่ประกอบอาชีพเหล่านี้ก็มิได้เป็นอภิสิทธิ์ให้ถูกยกเว้นจากการตั้งคำถาม โดยเฉพาะคำถามง่ายๆ ที่ชวนให้ทบทวนบทบาทของตนในสังคมอย่างเช่นว่า ทำไมคนจึงไม่เชื่อหมอ?
ผู้ประกอบอาชีพเหล่านี้ดำรงสถานะพิเศษในสังคมไว้ได้ก็ด้วยความซื่อตรงต่อวิชาชีพ หากปราศจากความซื่อตรงเช่นนี้ก็ยากที่จะรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจที่คนในสังคมมอบให้ได้ ไม่เฉพาะความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น หากแต่อาจขยายไปถึงความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับสถาบันและการเมือง ทั้งในวงการสาธารณสุข วงการการศึกษา และวงการตุลาการ
ด้วยความเคารพ เมื่อความไว้เนื้อเชื่อใจถูกทำลายลงแล้ว ย่อมไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ได้โดยง่าย
อ่านเพิ่มเติม
Borah, P., & Hwang, J. (2021). Trust in Doctors, Positive Attitudes, and Vaccination Behavior: The Role of Doctor–Patient Communication in H1N1 Vaccination. Health Communication, 1-9.
Hwang, I. D. (2017). Which Type of Trust Matters?: Interpersonal vs. Institutional vs. Political Trust. Bank of Korea WP, 15.
Williamson, O. E. (1993). Calculativeness, Trust, and Economic Organization. The Journal of Law and Economics, 36(1, Part 2), 453-486.
ชนาธิป ไชยเหล็ก (2021). วัคซีนที่ดีที่สุด คือ…? มุมมองของรัฐ vs. ประชาชน. สืบค้นจาก https://thestandard.co/best-vaccine-from-government-and-people-perspective/