fbpx

ชีวิตจริง-ชีวิตปลอม The Vanishing Half (สายใยสีจาง)

แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่ ระบุไว้ตรงกันว่า The Vanishing Half จัดเป็นนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ บอกเล่าถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับปัญหาการเหยียดผิวในสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมช่วงเวลา ตั้งแต่ปี 1950-1990 โดยประมาณ

การรับรู้เช่นนี้ ทำให้ขณะอ่าน ผมมีทั้งความประหลาดใจ ข้อสงสัย และผิดคาด เนื่องจากนิยายเรื่องนี้เล่าเน้นเส้นทางชีวิตผันผวนสารพัดสารพันของกลุ่มตัวละครหลัก โดยอ้างถึงเหตุการณ์ทางสังคมสำคัญๆ เช่น การเสียชีวิตของ ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง เพียงผิวเผิน มิหนำซ้ำยังเป็นการเล่าในระยะห่าง (โดยตัวละครทราบเรื่องราวเหล่านี้จากการอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ หรือข่าวทางโทรทัศน์) ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดหรือเข้าไปมีส่วนร่วมแต่อย่างไร

พูดอีกแบบคือ งานเขียนชิ้นนี้แตกต่างจากลักษณะพื้นฐานที่คุ้นเคยกันว่า นิยายอิงประวัติศาสตร์จะต้องเต็มแน่นด้วยรายละเอียดข้อมูลของเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นจริงอย่างถี่ถ้วน

อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่ง The Vanishing Half ก็มีคุณสมบัติเข้าข่ายนิยายประวัติศาสตร์อยู่เต็มเปี่ยม ด้วยใจความหลักที่สะท้อนถึงบรรยากาศของยุคสมัยที่ปัญหาการเหยียดสีผิว และความแตกต่างเหลื่อมล้ำด้านสิทธิต่างๆ ระหว่างคนขาวกับคนดำอยู่ในระดับหนักหนาสุดโต่ง แล้วต่อมาก็เกิดความเปลี่ยนแปลง คลี่คลาย กระทั่งแตกต่างผิดจากเดิมไปไกล (แน่นอนว่าท้ายสุดแล้ว ทัศนคติของสังคมโดยรวมต่อปัญหาเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ก็ไม่ได้จบสิ้นไปโดยเด็ดขาดและยังคงเป็นปัญหาอยู่จนถึงปัจจุบัน)

กล่าวได้ว่าเป็นนิยายที่ถ่ายทอดแง่มุมประวัติศาสตร์ ผ่านเรื่องราวส่วนตัวบุคคล (ซึ่งเป็นตัวละครสมมติทั้งหมด)

ความน่าสนใจถัดมาคือ บริต เบนเนตต์ เขียนนิยายเรื่องนี้แตกต่างจากขนบส่วนใหญ่ของงานสะท้อนปัญหาเหยียดผิว ซึ่งมักจะเน้นให้เห็นถึงรายละเอียดที่คนขาวกระทำทารุณต่อคนดำในรูปแบบต่างๆ นานา ความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมของกฎหมาย ที่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายหนึ่ง แล้วกีดกันรังแกอีกฝ่าย ฯลฯ

สิ่งต่างๆ ข้างต้นยังมีอยู่ครบในนิยายเรื่องนี้ แต่นำเสนอในลักษณะ ‘เหตุการณ์ก่อนหน้า’ ที่เรื่องราวในนิยายจะเริ่มต้น และปรากฏเป็นส่วนเสี้ยวปลีกย่อยทีละนิด เมื่อตัวละครซึ่งพยายามลืมอดีตเลวร้าย เผลอนึกทบทวนย้อนหลังในบางขณะ

สิ่งที่นิยายเรื่องนี้บอกเล่าขับเน้นคือการเติบโตและมีชีวิตท่ามกลางสังคมที่ห้อมล้อมด้วยการเหยียดผิว ส่งผลให้ตัวละครตัดสินใจเลือกเส้นทางดำเนินชีวิตอย่างไร

เรื่องเริ่มต้นที่เมืองเล็กๆ ชื่อแมเลิร์ด ซึ่งผู้ก่อตั้งเมืองเป็นลูกครึ่ง เกิดจากทาสหญิงผิวดำถูกนายทาสผิวขาวขืนใจ ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่จึงเป็นคนผิวสีจาง และมีค่านิยม ‘อยากเป็นคนขาว’ แต่ถึงที่สุดแล้ว ทุกคนก็ยังมีสถานะเป็นคนดำและไม่อาจสลัดหลุดพ้น

ตัวเอกของเรื่อง เป็นพี่น้องฝาแฝดหน้าเหมือนกัน อายุห่างกัน 7 นาที คนพี่ชื่อเดเซอเรย์ นิสัยกล้าไม่เกรงใคร ดื้อและมีบุคลิกแข็งกระด้าง ไร้ระเบียบ ตรงข้ามกับสเตลลาผู้เป็นน้องสาว เงียบขรึม สงบเสงี่ยม เรียนเก่ง ความต่างทำให้ทั้งสองเติมเต็มชดเชยข้อบกพร่องของกันและกันได้อย่างเหมาะเจาะ เหมือนรวมกันเป็นหนึ่งคนที่สมบูรณ์แบบ ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ทำทุกสิ่งและใช้ชีวิตร่วมกันทุกขณะ

เรื่องเปิดฉากในปี 1968 หนึ่งในฝาแฝด เดเซอเรย์ วีนส์ ซมซานกลับมาที่แมเลิร์ด พร้อมกับลูกสาวตัวน้อยผิวดำสนิทชื่อจู๊ด กลายเป็นข่าวใหญ่ให้ชาวเมืองซุบซิบนินทาวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก

14 ปีก่อนหน้านั้น เดเซอเรย์กับสเตลลา ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน หวังไปตายเอาดาบหน้า เสาะแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าการจมปลักดักดานอยู่ที่แมเลิร์ด ซึ่งสามารถหยั่งคะเนได้ทะลุปรุโปร่งว่าหากยังคงปักหลักอยู่ที่บ้านเกิด ชีวิตที่เหลือทั้งหมดเห็นทีไม่แคล้วต้องเป็นคนทำความสะอาดในบ้านคนผิวขาวไปจนตาย

สองพี่น้องจึงมุ่งหน้าไปยังนิวออร์ลีนส์ ตกระกำลำบาก ดิ้นรนหางานทำ มีรายได้พออยู่พอกินจากงานร้านซักรีด พักอาศัยในห้องเช่าซอมซ่อ

จนวันหนึ่งสเตลลาก็หนีอีกครั้ง เป็นการหายไปจากชีวิตของพี่สาวอย่างปุบปับฉับพลัน ไร้ร่องรอยและการบอกกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น การหนีครั้งนี้ ยังเป็นการพลัดพรากจากกันตลอดกาล หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ครึ่งหนึ่งในชีวิตของเดเซอเรย์หายไป

ไม่นานต่อมา เดเซอเรย์ย้ายไปอยู่วอชิงตัน ดี.ซี. ค้นพบความสามารถพิเศษของตนเอง จนกระทั่งได้งานเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์ลายนิ้วมือ พบรักและแต่งงานกับแซม วินสตัน ชีวิตทำท่าว่าจะเป็นสุขลงตัว (ยกเว้นความทรงจำอันเจ็บปวดรวดร้าวที่ไม่เคยลดทอนจากการหายไปของน้องสาว) แต่เพียงแค่ไม่กี่ปีต่อมา เธอก็ต้องหอบลูกหนีสามีกลับไปยังบ้านเกิด เนื่องจากไม่อาจทนต่อแซมที่ใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายเธออยู่เนืองๆ (และดูจะหนักหน่วงสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆ)

ข้างต้นคือตอนแรกสุด จากการแบ่งบททั้งหมด 6 ตอนของนิยายเรื่องนี้

ตอนที่ 2 ของ The Vanishing Half จับความเหตุการณ์ในปี 1978 เล่าถึงชีวิตสิบปีถัดจากการหลบหนีของสเตลลา ซึ่งแต่งงานกับเบลก แซนเดอร์ส หนุ่มรูปหล่อ ผิวขาว ฐานะร่ำรวย

สเตลลามีชีวิตปัจจุบันบนความเป็นอยู่หรูหราสุขสบาย แต่ปัญหารบกวนจิตใจก็คือชีวิตที่เธอตัดสินใจเลือก เริ่มต้นจากการโกหกว่าตัวเองเป็นคนผิวขาว จนเลยเถิดถลำลึกไปสู่คำโป้ปดมดเท็จติดตามมาอีกมากมาย เพื่อรักษาสถานะความเป็นภรรยาและแม่ให้มั่นคงปลอดภัย

ถึงที่สุด เส้นทางที่สเตลลาเลือก ก็นำพาตนเองตัดขาดจากอดีตอย่างเด็ดขาด ปราศจากแม่ พี่สาว รวมถึงบ้านเกิดที่แมเลิร์ด เธอกุเรื่องหลอกลวงเกี่ยวกับความเป็นมาในอดีตว่าสมาชิกในครอบครัวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจนหมด และใช้ความเจ็บปวดโศกเศร้าจากเรื่องโป้ปดมดเท็จ เป็นเกราะกำบังในการปกปิดหลีกเลี่ยงไม่ให้สามีและลูกสาวรับรู้ประวัติชีวิตหนหลัง

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในความพยายามจะเป็นและใช้ชีวิตแบบคนผิวขาว สเตลลาเกิดอาการหวาดระแวง กลัวคนดำทุกๆ คนที่พบเจอ กระทั่งถึงขั้นแสดงท่าทีเป็นฝ่ายเหยียดผิวเสียเอง

ทั้งหมด 6 ตอน เล่าโดยไม่เรียงตามลำดับเวลา และเล่าผ่านอีก 2 ตัวละครสำคัญคือ จู๊ด (ลูกสาวของเดเซอเรย์) กับ เคนเนดี (ลูกสาวของสเตลลา) เมื่อรวมสมทบกับตัวละครรุ่นแม่ ตัวเอกทั้ง 4 ต่างมีเส้นทางชีวิตแยกย้ายไปคนละเส้นทาง มีเรื่องราวของตนเองที่ดูเหมือนจะขาดจากกัน แต่ท้ายที่สุดทั้งหมดก็ข้องแวะเกี่ยวโยงพัวพันกันอย่างพิสดาร

ผมไม่ลงรายละเอียดเล่าถึงคู่ตัวละครรุ่นลูกนะครับ เนื่องจากมีหลายเหตุการณ์อยู่ในโซนต้องห้ามเป็นความลับ อันที่จริงตรงส่วนที่กล่าวถึงสเตลลา ก็เป็นหนึ่งในความลับสำคัญ แต่จำเป็นต้องเปิดเผย เนื่องจากเป็นหัวใจและศูนย์กลางของเรื่องราว ทั้งในแง่การขับเคลื่อนเหตุการณ์ โครงสร้างของพล็อต และการนำไปสู่ประเด็นทางเนื้อหา

อย่างไรก็ตาม ตรงที่เล่าถึงสเตลลา ผมได้ละเว้นความลับที่สำคัญกว่านั้น เพื่อรักษาอรรถรสสำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่าน นั่นคือ เหตุผลและความในใจเบื้องลึกของตัวละครนี้ (ตรงที่ไม่เป็นความลับก็คือเธออยากเป็นคนขาว เพื่อหวังจะหลุดพ้นจากชะตากรรมในการเป็นคนดำ)

สิ่งที่พอจะกล่าวได้กว้างๆ เกี่ยวกับตัวละครรุ่นลูกอย่างจู๊ดกับเคนเนดีคือ ทั้งสองมีชีวิตแตกต่างจากแม่ของตน ด้วยสภาพสังคมเหยียดผิวที่เปลี่ยนไป และพื้นฐานวัยเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวของตน ความสัมพันธ์กับแม่ ซึ่งมีปัญหาไปคนละแบบ

จู๊ดมีผิวสีดำจัด เมื่อแม่พาหนีกลับมายังเมืองคลั่งผิวขาวอย่างแมเลิร์ด ทำให้ชีวิตวัยเด็กของเธอเปรียบได้กับการอยู่ในดินแดนฝันร้าย ทั้งโดนจับจ้อง หมิ่นหยาม กลั่นแกล้ง และการโดนตั้งแง่รังเกียจ จนเมื่อเติบโตจึงมีโอกาสหลุดพ้นไปสู่เมืองอื่น เพื่อเรียนมหาวิทยาลัย

เคนเนดีมีวัยเด็กที่แตกต่าง เติบโตมาในครอบครัวที่เพียบพร้อมสุขสบาย และเข้าใจว่าตนเองเป็นผิวขาว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแม่มีช่องว่างความเหินห่าง เป็นโพรงขนาดใหญ่ ด้วยสาเหตุจากการใช้ชีวิตปลอมของสเตลลา จึงทำให้ผู้เป็นแม่เลี้ยงดูเคนเนดีแบบเต็มไปด้วยการปกปกป้องวิตกจริตเกินเหตุ บวกรวมกับความพยายามปิดบังอดีตอย่างเข้มงวดมิดชิด

เคนเนดีจึงยิ่งเติบโต ยิ่งรู้สึกว่าไม่ทราบสิ่งใดเกี่ยวกับแม่ จนเลยเถิดถึงขั้นเสมือนว่า ‘ไม่รู้จัก’

พูดอีกแบบ ชีวิตของตัวเอกผู้หญิงทั้ง 4 คนใน The Vanishing Half เล่าถึงการหยุดนิ่ง ติดกับดักบางอย่าง เผชิญกับความทุกข์ และผ่านการเรียนรู้อย่างเจ็บปวด เพื่อเติบโต หลุดพ้น และเป็นอิสระ

ความยอดเยี่ยมอีกอย่างของนิยายเรื่องนี้ก็คือ แม้ว่าในบั้นปลายท้ายสุด ตัวละครทั้งหมดจะผ่านการคลี่คลายทางความคิด จนสามารถก้าวเดินใช้ชีวิตต่อไปแตกต่างจากเดิม แต่พวกเธอทั้งหมดก็ยังมีปัญหาใหม่ๆ ให้ต้องเผชิญหน้ารับมืออยู่ไม่เว้นวาย

The Vanishing Half จบเรื่องแบบลงเอยด้วยดี ขณะเดียวกันก็ไม่ได้มีบทสรุปเบ็ดเสร็จ คลายปมทุกอย่างให้กระจ่างหมดจด ยังคงทิ้งค้างหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งมีความเป็นไปได้หลายทิศทาง

เป็นการจบทิ้งท้าย แบบที่ชีวิตจริงควรจะเป็น เห็นจะพอกล่าวได้เช่นนี้นะครับ

เรื่องปัญหาการเหยียดผิวและความเลวร้ายมากมายจากสิ่งเหล่านี้ เป็นประเด็นที่นิยายสะท้อนชัดและนำเสนอได้ดี ทรงพลัง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ว่าพูดถึงประเด็นที่มีการบอกเล่ามาแล้วมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน ผ่านลีลาการนำเสนอที่สดใหม่ ไม่เป็นสูตรสำเร็จ)

หากตัดความโดดเด่นเกี่ยวกับสาระสำคัญออกไป สิ่งที่ประทับใจผมมากสุดในนิยายเรื่องนี้คือวิธีการดำเนินเรื่อง ทั้งการเล่าสลับไปมาผ่านมุมมองของหลายๆ ตัวละคร ซึ่งนำไปสู่จุดเด่นอย่างหนึ่งคือความเข้าใจต่อตัวละครนั้นๆ และภาพภายนอกที่เธอมองไปยังคนอื่นๆ (ซึ่งเมื่อเรื่องเปลี่ยนไปเล่าผ่านตัวละครอื่น ก็กลายเป็นความจริงและความเข้าใจคนละอย่าง)

ในแง่นี้ บริต เบนเนตต์ เก่งมากในการสร้างความสมดุลและให้น้ำหนักเท่าเทียมกันแก่ตัวละครทั้ง 4 (รวมถึงตัวละครแถวสองที่มีบทบาทสำคัญอีกหลายราย) และทำให้ผู้อ่านรู้สึกกับทุกตัวละครแบบเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา

เป็นวิธีการสร้างความลึกให้กับตัวละครที่ฉลาดมากเลยครับ

จุดเด่นในการดำเนินเรื่องอีกอย่างคือ แม้จะแบ่งแต่ละตอนโดยระบุปีเกิดเหตุไว้แน่ชัด ทว่าในรายละเอียดระหว่างทาง กลับเต็มไปด้วยการเล่าแบบไม่เรียงตามลำดับเวลา มีทั้งการย้อนอดีตหลายช่วงวัย การล่วงหน้าไปยังอนาคตหลายปีต่อมา สลับกับปัจจุบันขณะที่เป็นแกนหลัก

ทั้งหมดนี้นำเสนอได้ลื่นไหลชวนติดตาม เข้าใจง่าย ไม่ก่อให้เกิดความสับสนงุนงง ที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกคือมันสร้างจังหวะที่ทำให้เรื่องราวเหตุการณ์เกิดผลกระทบพิเศษขึ้นมาในความรู้สึกของผู้อ่าน โดยไม่ต้องมีการบีบคั้นเร้าอารมณ์กันอย่างฟูมฟาย

ผมอยากจะพูดอย่างนี้ครับ ว่าพล็อตของ The Vanishing Half นั้นเหมือนนิยายดรามาที่มีลักษณะพาฝัน เต็มไปด้วยช่วงตอนเอื้อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า cliche หรือการเร้าอารมณ์ด้วยวิธีดาดๆ แต่ด้วยการเล่นแร่แปรธาตุโดยฝีมือและวรรณศิลป์อันช่ำชองของผู้เขียน งานชิ้นนี้ก็ทำให้พล็อตที่เกือบจะเป็นน้ำเน่า กลายเป็นพล็อตที่ดี เปี่ยมไปด้วยชั้นเชิงความแยบยลและลีลาทางศิลปะในเกณฑ์ดีเยี่ยม คาดเดาไม่ได้

ที่เก่งกาจมากคือ มีหลายจุดสำคัญที่เส้นทางของตัวละครโคจรมาบรรจบพบกัน ในลักษณะที่ดูเผินๆ เหมือน ‘บังเอิญจังเลย’ และทำให้รู้สึกว่า ‘โลกแคบ’ เหมือนละครน้ำเน่าจำนวนมาก แต่ลำดับวิธีเล่าและการสร้างความเป็นเหตุเป็นผลอย่างชาญฉลาด ก็ทำให้ผู้อ่านยอมรับได้สนิทใจ ไม่รู้สึกถึงร่องรอยยัดเยียด และไม่เพียงแค่คล้อยตามเท่านั้น แต่ยังรู้สึกว่าเป็นไปได้และมีความสมจริง

จุดเด่นต่อมาคือ The Vanishing Half ไม่ได้มีเพียงแค่ประเด็นการเหยียดผิว แต่ยังสะท้อนถึงแง่มุมอื่นๆ อย่างหลากหลาย ที่เด่นชัดและเกี่ยวเนื่องกันได้แก่ เรื่องเชื้อชาติและอัตลักษณ์ ความแตกต่างระหว่างชนชั้นและอภิสิทธิในสังคมสำหรับคนรวยคนผิวขาว

ประเด็นข้างต้นเชื่อมโยงไปยังแง่มุมว่าด้วยการหลบหนี ทั้งจากที่ใดที่หนึ่งไปยังแห่งอื่น และหนีจากการเป็นใครสักคนไปเป็นผู้อื่น (ไม่ใช่เฉพาะสเตลลาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีกหลายตัวละคร เช่น รีชแฟนของจู๊ด ซึ่งหนีจากบ้านเกิด ควบคู่ไปกับการหนีจากเพศหญิงมาเป็นเพศชาย, เคนเนดี ซึ่งหนีจากชีวิตการเรียนมาเป็นนักแสดง และหนีจากสภาพเคว้งคว้างไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริง, เดเซอเรย์ ซึ่งหนีออกจากบ้านเกิด และหนีจากสามีในเวลาต่อมา, จู๊ด ผู้หนีจากเมืองคลั่งผิวขาวซึ่งเธอเป็นแกะดำเด่นชัดและตกเป็นเป้าสายตารังเกียจของชาวเมือง ใช้ทักษะความสามารถพิเศษในการเป็นนักวิ่ง จนได้ทุนการศึกษา หนีไปสู่ชีวิตการเรียนมหาวิทยาลัย โดยหวังว่าจะกลมกลืนกับโลกรอบๆ ข้างได้มากขึ้น)

อีกแง่มุมที่โยงใยสัมพันธ์กันคือ แม้ทุกชีวิตต่างดิ้นรนหลบหนี ทั้งหมดก็เลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องโกหก เสแสร้ง และทำการแสดง สวมบทบาทเป็นคนอื่น

สเตลลา วีนส์ กลายเป็นสเตลลา แซนเดอร์ส, เคนเนดีกลายเป็นดาราละครเวทีและละครโทรทัศน์ และถูกเรียกขานจดจำด้วยชื่อของตัวละครมากกว่าชื่อจริง, เธอรีซ แอนน์ คาร์เตอร์ กลายเป็นรีซ

กระทั่งตัวละครที่ไม่ได้หลบหนี แต่มีอาชีพเป็นนักไล่ล่า (คนหนีประกัน ตามหาตัวคนหาย หรือคนก่อเหตุอาชญากรรม) อย่างเออร์ลี โจนส์ คนรักในเวลาต่อมาของเดเซอเรย์ ก็มีชีวิตร่อนเร่ไร้หลักแหล่งถาวร และมีเคล็ดลับสำคัญในอาชีพ คือการสวมรอยแสดงตัวเป็นใครต่อใครอย่างหลากหลายเพื่อสืบหาเป้าหมาย

กล่าวโดยรวม The Vanishing Half เป็นส่วนผสมที่เหมาะเจาะ ระหว่างความสนุกบันเทิงแบบนิยายขายดี กับความคมลึกทางประเด็นเนื้อหา อ่านสนุก เข้าใจง่าย

ที่สำคัญคือ เขียนได้น่าอ่านและเปี่ยมด้วยชั้นเชิงทางศิลปะ

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save