“ยกโทษให้อย่างสาสม!”
คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ และผมก็น่าจะใช้ไม่ผิดเช่นกัน
เว็บไซต์ของราชบัณฑิตสภาระบุว่า สาสม (ว.) เหมาะ, สมควร, เช่น ต้องลงโทษให้สาสมแก่ความผิด. ถ้าเช่นนั้น เราทำอะไรที่ ‘เหมาะ’ หรือ ‘สมควร’ มันก็ควรจะสาสมเหมือนกันหมดนะครับ
แต่น่าสนใจว่า ไม่มีใครใช้คำว่า ‘สาสม’ กับการยกโทษหรือให้อภัยเลย ดูเหมือนคำนี้ในทาง ‘อารมณ์ภาษา’ ถูกสงวนไว้ให้กับการแก้แค้นหรือการลงโทษเท่านั้น ตามนัยนี้ดูเหมือน ‘สาสม’ จะพ่วงเอาอารมณ์ความรู้สึกอันรุนแรงเอาไว้ด้วย!
มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่เมื่อมีใครทำอะไรไม่ดีด้วยบางอย่าง แล้วยอมยกโทษให้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะในบางเรื่องที่คนทั่วไปถือว่าร้ายแรง เช่น การด่าทอ ดูถูก เหยียดหยามด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือการทำร้ายร่างกายและจิตใจในรูปแบบต่างๆ
ทำไมการยกโทษหรือให้อภัยจึงเป็นเรื่องยากสำหรับคนจำนวนมาก?
คำตอบมีหลายเหตุผลเลยทีเดียว เหตุผลหลักแรกสุดคือความเจ็บปวดทางอารมณ์ โดยเฉพาะหากเป็นผู้ที่โดนกระทำอย่างรุนแรงและต่อเนื่องยาวนาน กรณีนี้ย่อมยากจะให้อภัยกันง่ายๆ
อีกเหตุผลเป็นเรื่องของความเชื่อใจ เมื่อเราโดนหักหลัง เราจะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่เกินควบคุมและกลับไปเชื่อใจคนนั้นอีกได้ยาก เพราะเขาหรือเธอได้แสดงให้เห้นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ถึงกับมีคำกล่าวว่าทำผิดไปครั้งหนึ่ง ไม่เป็นไร อาจเพราะความไม่รู้หรือเผลอไผล แต่การทำผิดซ้ำในเรื่องเดิม แสดงให้เห็นถึงความโง่เขลา
การโกหกสำหรับคนส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องร้ายแรง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการนอกใจไปมีคนอื่น เพราะพื้นฐานทางชีววิทยาที่สำคัญสุดมี 2 เรื่อง หนึ่งคือการเอาตัวรอดไม่ให้ตาย และอีกเรื่องคือการสืบทอดพันธุกรรมของตัวเองให้ได้ การนอกใจจึงส่งผลกระทบกับเรื่องที่ 2 อย่างจัง เพราะอาจทำให้ทรัพยากรสำคัญของเรา (เงิน เวลา และความพยายาม) หมดไปกับการดูแลเลี้ยงดูลูก (พันธุกรรม) ของคนอื่น
เหตุผลต่อไปเป็นเรื่องของความไม่พอใจและความขมขื่นใจ อารมณ์พวกนี้เป็นอารมณ์ลบที่ส่งผลได้รุนแรงและปล่อยผ่านไปได้ยากมาก หากรู้สึกบ่อยๆ อาจกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยใจคอ ทำให้เป็นคนให้อภัยคนยาก เจ้าคิดเจ้าแค้น ช่างจดจำเรื่องไม่ดีที่คนอื่นทำกับเรา และให้อภัยไม่เป็น
อีก 2 เหตุผลสุดท้ายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกเรื่องความยุติธรรม-อยุติธรรม เวลาเราโดนใครหักหลัง การยกโทษให้ก็คล้ายกับการโดนพิพากษาอย่างไม่ยุติธรรม การยกโทษให้จึงสร้างความเจ็บปวดให้กับเรา ในขณะที่การแก้แค้นหรือความอยากเห็นอีกฝ่ายโดนกระทำในแบบเดียวกันบ้าง ดูเป็นความยุติธรรมในชีวิตมากกว่า ขณะเดียวกันนั้นเราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า การยกโทษให้อาจทำให้เราเป็นเหยื่อและโดนทำให้เจ็บอีกได้เสมอ เพราะไม่มีอะไรการันตีได้เลยว่าเราจะไม่โดนกระทำแบบเดียวกันอีกครั้ง
ความรู้สึกและเหตุผลที่เราบอกกับตัวเองทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลเสียทีเดียวนัก ในทางวิวัฒนาการมีการฝังแรงจูงใจทางจิตวิทยาเอาไว้ตลอดช่วงนับแสนปีของวิวัฒนาการไม่ให้เราโดนใคร ‘หลอกใช้’ และวิธีการที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือ หากโดนใครหลอกใช้หรือทำให้เจ็บปวดในทางใดทางหนึ่ง เราก็เพียงแต่โต้ตอบกลับใส่คนนั้นด้วยระดับความรุนแรงที่ไม่น้อยไปกว่ากัน หรือบางคนที่มีอำนาจน้อยกว่าอาจเลือกอีกทาง คืออาศัยการหลบเลี่ยง ตีตัวออกห่าง ไม่คบค้าสมาคมกับคนผู้นั้นอีกถ้าทำได้ เพื่อลดโอกาสโดนหลอกใช้หรือสร้างความไม่พอใจอีก
มีความรู้สึกสองอย่างที่คล้ายกัน แต่ไม่เทียบเท่ากันเสียทีเดียว คือคำว่าโกรธกับเกลียด เวลาเราไม่พอใจเรื่องอะไร เรามักจะโกรธ แต่นี่มักเป็นอารมณ์ลบแบบชั่ววูบที่ขึ้นเร็ว หายเร็ว แม้บางคนก็โกรธได้มากและได้นานราวกับชั่วนิรันดร์ก็ตาม
แต่ ‘ความเกลียด’ ซึ่งมีนิยามว่า “ชัง, รังเกียจมาก, ไม่ชอบจนรู้สึกไม่อยากพบอยากเห็น เป็นต้น” ดูจะมีน้ำหนักความไม่พอใจมากกว่า อาจจะมาจากการสะสมความไม่พอใจไว้เป็นเวลานานก็ได้ด้วย ถึงกับมีวลี ‘เกลียดเข้ากระดูกดำ’ หรือ ‘เกลียดเข้าไส้’ ที่หมายถึงเกลียดมากที่สุด เกลียดขนาดฝังลึกลงไปในกระดูกเลยทีเดียว!
บางครั้งความเกลียดชังก็ล่องลอยอยู่ในวัฒนธรรมหรือแม้แต่ถูกปลูกฝังกันได้ด้วย ดูตัวอย่างได้จากแบบเรียนเด็กไทย ที่ทำให้นักเรียนมองพม่าเป็นศัตรูเพราะมาเผาอยุธยาถึง 2 ครั้ง ทำให้เรารู้สึกไม่เป็นมิตรกับคนพม่าอย่างแทบไม่มีเหตุไม่ผลในโลกปัจจุบัน หรือในระดับนานาชาติ อิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่แย่งแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์กัน หรือคนขาวกับคนดำจำนวนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาก็ยังเกลียดชังกันจากแค่เรื่องสีผิวต่างกัน ฯลฯ เรื่องเหล่านี้เป็นตัวอย่างในการอธิบายอิทธิพลจากการถูกปลูกฝังได้เป็นอย่างดี
ในทางการเมืองระหว่างประเทศมีการทดลองและสรุปผลไว้ว่า การขอโทษทางการเมืองมี 2 เงื่อนไขหรือรูปแบบสำคัญที่พบอยู่ตลอดเวลา คือ การที่คนชาติหนึ่งจะยกโทษให้กับอีกชาติหนึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการให้ค่าความสัมพันธ์ต่อกันสูงและโอกาสที่จะหลอกใช้หรือเอาเปรียบกันอยู่ในระดับต่ำ เช่น กรณีที่รัฐบาลแคนาดาพบว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทหารแคนาดาจำนวนหนึ่งที่โดนทหารอเมริกันพลาดยิงและเสียชีวิตไปขณะรบประจันหน้ากัน
อีกเงื่อนไขหนึ่งคือการขอโทษ แทนที่จะเป็นตัวการทำให้เกิดความปรองดองกัน กลับกลายเป็นว่าการขอโทษจะเกิดขึ้นหลังจากเกิดการปรองดองกันแล้ว การขอโทษระดับนานาชาติจึงเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้และทุกครั้งที่ทำได้สำเร็จก็ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญหรือเกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่เกิดจากความพยายามจะปรองดองความสัมพันธ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งก่อให้เกิดผลประโยชน์มากเกินกว่าจะดำรงสถานะการเกลียดไว้ในระดับชาติกันต่อไป ตัวอย่างของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาข้างต้นก็ยืนยันได้เป็นอย่างดี
สำหรับในระดับบุคคล มนุษย์เป็นสัตว์สังคม นี่ย่อมเป็นเหตุให้การหลอกใช้กันเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ไม่ยากและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่การยกโทษหรือให้อภัยกันก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพื่อสร้างพื้นที่ให้กับความร่วมมือและโอกาสต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
อันที่จริง การให้อภัยมีประโยชน์สำหรับผู้ให้อภัยแทบจะไม่น้อยกว่าผู้ได้รับการอภัย โดยมีผลดีทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การให้อภัยช่วยลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ช่วยทำให้ระบบหลอดเลือด ความดัน และระบบประสาททำงานดีขึ้น เช่นเดียวกับระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานดีขึ้น มีความเจ็บปวดน้อยลง สุขภาพโดยรวมจึงดีขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ สำหรับบางคน การให้อภัยคนอื่นได้ยังช่วยส่งเสริมให้ตัวเองกลายเป็นคนมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ช่วยให้เกิดความหวังในชีวิตมากขึ้น และช่วยเพิ่มความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย การให้อภัยคนอื่นได้ง่ายๆ จนติดเป็นนิสัย จึงช่วยให้สุขภาพกาย สุขภาพใจคนผู้นั้นดีขึ้นไปด้วย
แต่การให้อภัยคนอื่นอย่างไม่มีเงื่อนไขตลอดเวลา ไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็ไม่ควรทำนัก เพราะจะทำให้เราโดนหลอกหรือเอาเปรียบได้แบบซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา
คาร์ล เซแกน (Carl Sagan) นักดาราศาสตร์และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ชื่อดัง เคยแนะนำไว้ในหนังสือ Billions and Billions [1] ว่า ‘กฎทองคำ’ สำหรับการใช้ชีวิตให้ดีและไม่เสียเปรียบหรือโดนหลอก (ใช้) มีกฎง่ายๆ ว่า เมื่อพบกับใครเป็นครั้งแรกก็ตาม ให้ทำดีด้วย แล้วจากนั้นก็ดูว่าคนนั้นปฏิบัติกับเราอย่างไร ถ้าคนนั้นปฏิบัติกับเราดี เราก็ปฏิบัติดีด้วยต่อไป แต่หากคนนั้นปฏิบัติไม่ดีกับเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เราก็หันมาปฏิบัติกับคนนั้นในรูปแบบเดียวกัน หรืออาจจะเลือกการถอยห่างออกมา ไม่คบค้าสมาคมด้วยก็ได้
หากทำดังนี้ได้ เราก็จะมีชีวิตที่ดี มีคนแวดล้อมที่ดี และมีโอกาสให้อภัยใครก็ตามได้…อย่างสาสมกับความไม่ดีของคนนั้น โดยไม่จำเป็นต้องเสียเปรียบหรือโดนหลอกใช้ร่ำไป
↑1 | Carl Sagan (1997) Billions and Billions: Thoughts on Life and Death at the Brink of the Millennium. Random House. |
---|