ฟินแลนด์ แดนอุดมคติของการศึกษา และสหภาพแรงงานการศึกษาทุกระดับชั้น

สหภาพแรงงานครูในประเทศสแกนดิเนเวีย หรือประเทศนอร์ดิก อยู่ภายใต้ระบบการเมืองและพรรคด้านสังคมนิยมประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุด กระนั้น ระบบดังกล่าวได้อ่อนตัวลงอย่างมากใน 3-4 ทศวรรษหลัง อันส่งผลต่ออำนาจต่อรองของสหภาพแรงงานไปด้วย แต่พวกเขาสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อพบกับพันธมิตรและเส้นทางใหม่ๆ โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่น อำนาจของสหภาพแรงงานครูแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สวีเดนมีประสบการณ์ถูกลดทอนอำนาจมากกว่าที่อื่น ขณะที่ฟินแลนด์สหภาพแรงงานครูเดี่ยวๆ ยังคงทรงพลัง[1]

ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าฟินแลนด์เป็นประเทศขนาดเล็กที่เคยอยู่ใต้การปกครองของสวีเดน และอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของยักษ์ใหญ่แห่งยุโรปอย่างสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น จึงทำให้พัฒนาการทางการเมืองมีลักษณะที่แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในแถบนอร์ดิกทั้งหลาย และที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือ คะแนน PISA ของฟินแลนด์ที่ปรากฏอยู่หัวตารางในทศวรรษ 2000 ทำให้คนหันมาเหลียวมองระบบการศึกษาฟินแลนด์ ภายใต้ความเข้มแข็งดังกล่าว สหภาพแรงงานการศึกษาของฟินแลนด์มีบทบาทไม่น้อย บทความนี้จึงชวนผู้อ่านเดินทางไปพร้อมกับผู้เขียนในประเด็นดังต่อไปนี้

การต่อสู้ของชาตินิยมฟินแลนด์ต่อการครอบงำของสวีเดน ผ่านระบบการศึกษา

เมื่อเทียบกับประเทศสแกนดิเนเวียแล้ว  ฟินแลนด์จะก่อตั้งสหภาพแรงงานด้านการศึกษาช้ากว่าเพื่อน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานผ่านเงินเดือนที่สูงและการปรับปรุงสภาพการทำงาน และหาทางมีบทบาทในการกำหนดนโยบายโรงเรียน สหภาพแรงงานครูเป็นตัวแทนของครูในโรงเรียนหลากประเภท เช่น ครูในระบบก่อนโรงเรียน, ครูผู้หญิง, ครูประถมศึกษา ครูประจำรายวิชา ครูในโรงเรียนเอกชน, ครูโรงเรียนศาสนา ครูผู้จบการศึกษาจากระดับมหาวิทยาลัย ฯลฯ[2]

สหภาพแรงงานครูเริ่มรวมตัวกันช่วงปี 1869-1905 โรงเรียนเอกชนเริ่มหายไป หรือไม่ก็ถูกผนวกเป็นโรงเรียนของรัฐ ส่งผลต่อการปิดตัวหรือการควบรวมของสหภาพแรงงานครู ที่ทำให้จำนวนสหภาพน้อยลง แต่เป็นสหภาพที่ใหญ่ขึ้นไปด้วย[3] สำหรับประเทศนอร์ดิกอื่นแล้ว สหภาพที่ทรงพลังที่สุดคือครูระดับประถมศึกษา ครูเหล่านี้มีพื้นฐานมาจากพื้นที่ชนบท หรือจากเหล่าช่างฝีมือและเสมียนในเมือง เช่นเดียวกับชาวประมง (โดยเฉพาะในนอร์เวย์) โรงเรียนประถมมีบทบาทสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะส่วนสำคัญของชีวิตสาธารณะของเมืองขนาดเล็กและในชนบท ซึ่งเป็นกองหน้าของขบวนการทางการเมือง พวกเขามักจะเป็นสมาชิกของสภาท้องถิ่น หรือเป็นผู้กระตือรือร้นในกลุ่มผลประโยชน์และในสหภาพแรงงานอยู่แล้ว

ประเทศสแกนดิเนเวียเริ่มเข้าสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมช่วงทศวรรษ 1850 นำไปสู่ความเคลื่อนไหวของแรงงานครั้งสำคัญ ที่สหภาพแรงงานครูได้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นั่นทำให้พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยหลังจากที่พรรคนี้ก่อตั้งในทศวรรษ 1870 สหภาพแรงงานครูสายวิชาการ (academic teacher union) เป็นสหภาพสำคัญที่มีความใหญ่โตและสำคัญ เป็นตัวแทนของครูมัธยมที่จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจากเขตเมือง พวกเขาก่อตั้งองค์กรที่เชื่อมกับสายวิชาการเช่น ภาษา วิชาคลาสสิก ประวัติศาสตร์ เป็นต้น ครูสายวิชาการเหล่านี้มีจำนวนน้อยกว่า และมีบทบาททางการเมืองน้อยกว่าครูประถม และยังไปสานสัมพันธ์กับพรรคสายอนุรักษ์นิยมที่มักจะมีอำนาจน้อยกว่า[4]

ตรงกันข้ามกับสหภาพแรงงานครูฟินแลนด์ สหภาพแรงงานครูมัธยมที่ก่อตั้งในปี 1917 มีบทบาทสูงกว่าครูประถมที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1893 และที่สำคัญ ทั้งคู่มิได้คบหาสมาคมกับขบวนการแรงงานอื่นเลย เหตุผลสำคัญหนึ่งก็คือ ฟินแลนด์ก้าวสู่ความเป็นประเทศอุตสาหกรรมช้ากว่าประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ทำให้ขบวนการแรงงานอ่อนแอกว่าไปด้วย[5]

ฟินแลนด์ถือเป็นประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนมาก่อน ทำให้เหล่าครูเกี่ยวข้องกับโครงการระดับชาติที่เรียกว่า ขบวนการชาตินิยม Fennomen (ขบวนการความเคลื่อนไหวเพื่อส่งเสริมยกระดับภาษาและวัฒนธรรมฟินแลนด์[6]) ที่มีเป้าหมายจะแยกอดีตของฟินแลนด์ออกจากสวีเดน ดังคำของอดอล์ฟ อีวาร์ อาร์วิดส์สัน (Adolf Ivar Arwidsson) ที่กล่าวไว้ว่า “Swedes we are not, Russians we do not want to become, let us then be Finns” [7]

สวีเดนได้ปกครองฟินแลนด์มาจนกระทั่งสงครามฟินแลนด์ในปี 1809 แต่กระนั้นเหล่าชนชั้นนำสวีเดนยังทรงอำนาจต่อไปอีกเป็นศตวรรษ ขบวนการ Fennomen มีรากอยู่ในชนชั้นชาวนารวยและพระ ซึ่งต่อสู้ทางการเมืองกับชนชั้นนำที่พูดภาษาสวีเดน มีนโยบายที่สนับสนุนสวีเดน และกำหนดให้ผู้คนที่พูดฟินนิชอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่า

นอกจากนี้ยังพบว่า การศึกษาในระดับสูง อย่างมัธยมและมหาวิทยาลัยก็เป็นการศึกษาสำหรับประชากรผู้พูดสวีดิช เมื่อภาษาสวีดิชเป็นภาษาราชการ ภาษาฟินนิชจึงถูกกีดกัดหรือละเลยไปจากสถาบันการศึกษา เป้าหมายอันเป็นหัวใจของขบวนการ Fennomen คือ เพื่อจัดตั้งโรงเรียนมัธยมที่ใช้ภาษาฟินนิช ซึ่งต่อมาจะนำไปสู่การจัดตั้งมหาวิทยาลัยและการเข้าสู่การเป็นข้ารัฐการ[8] อย่างไรก็ดีในปัจจุบัน ภาษาราชการของฟินแลนด์คือฟินแลนด์และสวีเดน คนที่พูดได้ 2 ภาษามีโอกาสจะหางานได้ง่ายกว่าทั้งในระดับชาติ เทศบาล หรือเอกชน[9]

ต่างไปจากประเทศสแกนดิเนเวียคือ ชาวนาผู้ถือครองที่ดิน (ซึ่งมักจะมีอาชีพเป็นครูไปด้วย) มีทัศนคติเชิงลบต่อโรงเรียนระดับมัธยม และสนับสนุนให้มีการปฏิรูปโรงเรียนประถม อย่างไรก็ตาม ประชากรฟินแลนด์ได้รับการสนับสนุนจากเหล่านักบวช จึงให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับมัธยมเพื่อต่อสู้ผ่านอำนาจทางภาษา วัฒนธรรม และการเมือง ในมิตินี้ ทำให้การศึกษาระดับประถมศึกษาพัฒนาอย่างเชื่องช้า และเพิ่งกลายเป็นการศึกษาภาคบังคับในปี 1921 จึงไม่แปลกที่ครูโรงเรียนมัธยมจะมีอิทธิพลผ่านสหภาพแรงงาน ระหว่างปี 1880-1910 จำนวนนักเรียนมัธยมที่พูดฟินนิชเติบโตอย่างรวดเร็ว สัดส่วนเด็กในโรงเรียนมัธยมถือว่าสูงเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับสวีเดน แนวโน้มเช่นนี้เป็นมาจนถึงทศวรรษ 1960 ดังที่เห็นได้จาก 24% ของเด็ก 10-19 ปี ในฟินแลนด์ได้เข้าเรียนระดับมัธยมศึกษา เทียบกับสวีเดนแล้วมีเพียง 15% ขณะที่นอร์เวย์มีเพียง 12%[10]

การแยกฟินแลนด์ออกจากสวีเดนเป็นกระบวนการที่ยาวนานและซับซ้อน จุดยืนทางชาตินิยมของครูกลายเป็นป้อมปราการสำคัญช่วงสงครามกลางเมืองฟินแลนด์ในปี 1918 ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการอยู่ใต้อำนาจ Grand Duchy of the Russian Empire มาสู่รัฐอิสระ ครูที่อยู่ในชนบทเลือกข้างกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เรียกว่า ‘พวกขาว’ อันประกอบด้วยชาวนา ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง พวกเขาสู้กับ ‘พวกแดง’ และขบวนการแรงงานที่นำโดยแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย (ขณะนั้นยังไม่เป็นสหภาพโซเวียต) เหตุการณ์นี้นำไปสู่ความเป็นชาตินิยมและจุดยืนแบบฝ่ายขวาท่ามกลางเหล่าครู และจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อมา[11]

สงครามโลกและอิทธิพลของฝ่ายซ้ายต่อขบวนการสหภาพแรงงาน

ฟินแลนด์แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านเพราะสถานการณ์ทางการเมือง ที่เป็นผลจาก 2 ปัจจัย คือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า สังคมแบบเกษตร และความอ่อนแอของสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งอธิบายได้ว่าชนชั้นในชนบทที่เป็นอิสระยังคงมีอำนาจอยู่ในช่วงท้ายๆ ฟินแลนด์เคยถูกชี้นำโดยเครมลิน ศูนย์กลางอำนาจแห่งสหภาพโซเวียต นอกจากนั้นพรรคการเกษตรยังได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายซ้ายที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันอย่างพรรค SKDL (อนึ่ง พรรคนี้ถือว่าซ้ายสุดขั้วด้วยอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ที่ครองอำนาจอยู่) และพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 ถึง ต้นทศวรรษ 1960 พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยยังถูกแบ่งแยกโดยการจัดแบ่งองค์กรภายใน ที่ทำให้พรรคอยู่ห่างไกลจากอำนาจจนถึงปี 1966[12]

ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยในฟินแลนด์เริ่มมีอิทธิพลในแวดวงการเมือง เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการที่สหภาพโซเวียตแทรกแซงกิจการภายในของฟินแลนด์ และภายใต้ประธานาธิบดีอุรโฮ เกกโกเนน (Urho Kekkonen) ที่อยู่ในตำแหน่งมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1956-1981 เขาก่อตั้งรัฐบาลที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้นำโซเวียต ส่งผลให้เกิดพันธมิตรระหว่างพรรคซ้ายกลาง และปีกคอมมิวนิสต์ของพรรค SKDL ตั้งแต่ปี 1966-1982 พรรคซ้ายกลางได้สนับสนุนระบบสวัสดิการทางสังคมไปพร้อมกับทางสวีเดน แต่กล่าวได้ยากว่าเป็นการสร้างแนวคิดทางสังคมนิยม หรือเกิดจากกิจกรรมร่วมกันกับสวีเดน[13]

สถิติระดับนานาชาติด้านการจัดตั้งสหภาพแรงงานของฟินแลนด์พบว่าอยู่ในระดับล่างเสมอ การเจรจาต่อรองแบบสหภาพเพิ่งโงหัวขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง ระบบโรงเรียนในฟินแลนด์ยังถูกแบ่งแยกตามชนชั้น ระบบโรงเรียนมัธยมยังคงแผ่ขยายออกไปในฐานะโรงเรียนเอกชน ขณะที่โรงเรียนประถมเป็นของรัฐ สหภาพแรงงานครูก็ยังทำงานอยู่นอกระบบการเมือง และยังโฟกัสจุดหลักอยู่ที่การศึกษาแบบชาตินิยมในชนบท[14]

ภายในทศวรรษของสังคมนิยมประชาธิปไตย สหภาพแรงงานครูยังคงอยู่กับฝ่ายขวา การเมืองของสหภาพแรงงานหัวรุนแรง และแนวคิดซ้ายจัดยังไม่ได้ปรากฏในสหภาพแรงงานครูฟินแลนด์แม้แต่น้อย เหล่าครูในฝ่ายซ้ายได้ร่วมกับสมาคมแรงงานครูเพื่อประชาธิปไตย (Democratic School Workers Association หรือ Demko) ที่ดำรงอยู่ในช่วงปี 1973-1989 เหล่าครูฟินแลนด์ยังคงสร้างความชอบธรรมให้กับสถานะอันสูงส่งของตัวเองโดยยึดกับบทบาทการปกป้องวัฒนธรรมและภาษาฟินนิช ซึ่งอุดมการณ์นี้เข้มแข็งขึ้นเนื่องจากการคุกคามจากภายนอกอย่างสหภาพโซเวียต[15]

สหภาพฯ จึงถูกบ่มเพาะด้วยจิตวิญญาณแบบการศึกษาชาตินิยมอันชนกันกับรัฐบาลที่เริ่มต้นระบบโรงเรียนผสมโมเดลสวีเดน ปี 1968 รัฐบาลสังคมนิยมประชาธิปไตยที่ถูกย้อมสีไปด้วยเผด็จการฝั่งตะวันออก ได้ทำลายโรงเรียนระบบที่เลือกสรรเองได้ (selective system) ไปเป็นโรงเรียนแบบผสมอย่างรวดเร็ว ระบบโรงเรียนที่ถูกยกเลิกประกอบด้วย การเรียน 4 ปี ซึ่งมีการแบ่งแยกเป็น 2 เส้นทาง (2 ปีพิเศษต่อจากประถมศึกษา หรือเข้าเรียนแกรมมาร์สคูล หรือมัธยม) ซึ่งการแยกทางนี้จะทำให้การเรียนต่างกันเพื่อการเรียนที่สูงขึ้นไป สหภาพแรงงานครูคัดค้านการศึกษาแบบผสมอย่างหัวชนฝา เพราะเกรงว่าจะเป็นการทำลาย ‘สถาบันของพวกเขา’ ที่ท้าทายโรงเรียนมัธยมที่เป็นกรรมสิทธิ์เอกชน กล่าวได้ว่า โรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่ในขณะนั้นเป็นของเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐเกือบทั้งหมด (น่าจะคล้ายคลึงกับโรงเรียนคริสต์ระดับมัธยมในไทย) สถานการณ์แบบเดิมถือว่า ทำให้ครูมัธยมมีอิสระกว่า และมีสถานะที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ[16]

การต่อรองอำนาจรัฐของแรงงานฟินแลนด์อยู่ในระดับด้อยพัฒนาเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ต้องรอให้ถึงทศวรรษ 1970 และ 1980 (ก่อนจะเสื่อมลงในต้นทศวรรษ 1990) สหภาพแรงงานของฟินแลนด์และสหภาพแรงงานภาครัฐได้รับประสบการณ์ที่แหลมคมสำหรับการเติบโต ทำให้เป็นประเทศที่มีสัดส่วนสมาชิกสหภาพแรงงานสูงสุดในยุโรป ปี 1973 สหภาพแรงงานครูประถมแห่งชาติ (National Union of Elementary School Teachers) และสหภาพแรงงานครูมัธยมแห่งชาติ (National Union for Secondary School Teachers) ได้ควบรวมกันและจัดตั้งสหภาพแรงงานการศึกษาในฟินแลนด์ (Opetusalan Ammattijärjestö: OAJ) ขึ้นมา การสร้างองค์กรนี้ได้รับการสนับสนุนจากครูกว่า 75% ในประเทศ ซึ่งเพิ่มอิทธิพลในการต่อรองกับรัฐได้อีกมหาศาล[17]

การปฏิรูปการผลิตครู และการประนีประนอมครั้งใหญ่ระหว่างครูประถมและมัธยม

การปฏิรูปการฝึกอบรมครูครั้งใหญ่เกิดขึ้นช่วงปี 1973-1979 ได้ส่งผลกระทบต่อครูประถมมากที่สุด เพราะการฝึกอบรมนั้นได้ส่งครูวิทยาลัยในเมืองขนาดเล็กไปสู่การฝึกครูในคณะครุศาสตร์ อันเป็นหน่วยงานระดับมหาวิทยาลัย ต่อมาการปฏิรูปในปี 1979 การฝึกหัดครูประถมได้ยกระดับไปสู่ระดับปริญญาโท จะเห็นว่าการปฏิรูปเช่นนี้ ส่งผลน้อยกับครูมัธยม

จากการปฏิรูปในปี 1979 ความแตกต่างระหว่างครูโรงเรียนประถม (เกรด 1- 6) และครูมัธยม (ที่จะเรียกว่า ‘ครูประจำวิชา’ สอนในเกรด 7-12) ยังคงอยู่และยังคงหนักแน่น มีการเรียกร้องให้ครูในทุกประเภทจะต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโท ครูประจำวิชาจะต้องจบสาขาวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะที่ตรงสาย ต่างจากนักศึกษาครูเดนมาร์กที่จะต้องเรียนระดับวิทยาลัยใน 4 สาขาที่ต่างกัน ในระดับเกรด 1- 9/10 เพื่อที่จะสอนได้ทั้งหมดในโรงเรียนแบบผสม[18]

ในประเทศนอร์ดิกอื่นๆ วิชาชีพครูเน้นไปที่การเพิ่มขึ้นของจำนวนครูมืออาชีพที่เข้าร่วมในการพัฒนาการสอนแบบเป็นวิทยาศาสตร์ในการฝึกหัดครูและวิธีการสอนในโรงเรียน การสอนแบบก้าวหน้าและการสอนโดยให้เน้นไปที่เด็กนั้นถูกใช้เพื่อสนับสนุนแนวคิดวิชาชีพนิยมแห่งครูในระบบโรงเรียนผสม แต่ที่ฟินแลนด์ต่างออกไป คือ เน้นด้านจิตวิทยาการศึกษา และการสอบวัดความสามารถทางสติปัญญา มีผู้ชี้ว่าการสอนแบบฟินแลนด์ที่มีพื้นหลังที่ใช้จิตวิทยาเป็นฐานนั้น ได้มีส่วนสร้างความชอบธรรมของการฝึกหัดครูของฟินแลนด์ในทฤษฎีไซโคเมทริก และการทดสอบทางสถิติ อันกลายเป็นเนื้อหลักในวิธีวิทยาการการสอน ลักษณะเช่นนี้เปลี่ยนแปลงน้อยมากจนถึงทศวรรษ 1990[19]

มีข้อวิจารณ์ว่าการปฏิรูปนี้ ครูประถมได้รับผลประโยชน์มากที่สุด และชี้ว่าการฝึกหัดครูในมหาวิทยาลัยไม่ได้การันตีว่าจะดีกว่าระบบเดิมที่เคยใช้การฝึกอบรม ผลประโยชน์จึงตกอยู่เพียงกับสมาชิกของวิชาชีพครูที่เป็นเพียงการปรับฐานเงินเดือนและสถานะของครูในโรงเรียน และฐานเงินเดือนระดับมหาวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้นราว 5 เท่าภายใน 2 ทศวรรษ[20]

ฟินแลนด์ที่ยังเข้มแข็ง ภายใต้การเติบโตของอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ในประเทศนอร์ดิก

สหภาพแรงงานครูและรัฐบาลในประเทศนอร์ดิก เว้นฟินแลนด์ เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ อันเนื่องจากอุดมการณ์เสรีนิยมใหม่ พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยสูญเสียเสียงข้างมากในสภา แต่ฝ่ายขวากลางกลับขึ้นมามีบทบาทแทน ไม่เพียงเท่านั้น เป็นพรรคสังคมนิยมฯ เหล่านี้เองที่ค่อยหันขวาและสนับสนุนการศึกษาที่มุ่งเน้นการตลาด เช่นเดียวกับการทำลายเครื่องมือต่อรองที่เป็นองค์กรเชิงสถาบันเช่นคณะกรรมาธิการการศึกษาต่างๆ เพื่อลดอิทธิพลของสหภาพแรงงาน

มีเพียงสหภาพแรงงานครูฟินแลนด์ที่เข้มแข็งที่สุดในเพื่อนบ้าน เห็นได้จาก OAJ มีครูกว่า 97% เป็นสมาชิก และยังเชื่อมกับระบบการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่ประสบการณ์การเจรจารต่อรองร่วมได้เสื่อมลงตอนต้นทศวรรษ 1990 เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจ นำมาสู่ความพังทลายของการค้ากับสหภาพโซเวียตและวิกฤตการธนาคาร อย่างไรก็ดีระบบต่อรองดังกล่าวได้ฟื้นกลับมาแข็งแกร่งในได้ในภายหลัง[21]

ช่วงเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลฟินแลนด์ได้พยายามเร่งรีบปฏิรูปกระจายอำนาจและตัดลดงบประมาณ โดยข้ามหัวสหภาพแรงงาน ในปี 1987 เป็นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่พรรคอนุรักษ์นิยมยึดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ผ่านการจัดตั้งรัฐบาลผสมทั้งฝ่ายขวาและซ้าย โดยฝ่ายขวาได้ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการไป การหันขวาทางการเมืองนำมาสู่จุดจบของการครองอำนาจของสังคมนิยมประชาธิปไตยและพรรคขวาในกระทรวงและในบอร์ดการศึกษาแห่งชาติ กระนั้นพรรคอนุรักษ์นิยมในฟินแลนด์ถูกมองว่าเป็น ‘พรรคครู’ เนื่องจากสหภาพแรงงานอยู่กับพวกฝ่ายขวา สหภาพแรงงานครูได้ต่อต้านแผนการกระจายอำนาจไปสู่โรงเรียนที่จะทำให้เกิดการแปรรูปเป็นเอกชน เช่นเดียวกับในประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุผลว่าจะลดอำนาจของสหภาพแรงงาน[22]

ในอีกด้าน การรวมศูนย์อำนาจที่เข้มแข็งและการสั่งการจากบนลงล่างของโรงเรียนถูกทำลายเพื่อให้เสรีภาพมากขึ้น เช่น หลักสูตรที่ลงรายละเอียดและตัดสินใจ อุปกรณ์การสอน ตารางรายสัปดาห์ และบันทึกการสอนที่บันทึกรายละเอียดในแต่ละวิชา ที่หลักสูตรระดับชาติได้ถูกปรับให้มีรายละเอียดน้อยลง ถูกกำหนดน้อยลง และอนุญาตให้เทศบาลและโรงเรียนปรับปรุงให้สอดคล้องกับความต้องการท้องถิ่น โรงเรียนสามารถเลือกตำราเรียนและวิธีการสอนได้ด้วยตัวเอง[23]

กระบวนการการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นทะยานไปข้างหน้าด้วยกฎหมายสองฉบับ ในปี 1992 และ 1995 ที่ให้ความใส่ใจต่อรัฐบาลท้องถิ่น การเพิ่มอิสระให้กับเทศบาล สมาคมท้องถิ่นและภูมิภาคแห่งฟินแลนด์ (Association of Finnish Local and Regional Authorities: AFLRA) ได้พยายามล็อบบี้ให้เพิ่มความรับผิดชอบในการจัดหาบริการทางสังคม สุขภาพและการศึกษากับท้องถิ่น อันหมายถึงโรงเรียนทั้งระดับประถม มัธยมต้น และมัธยมปลาย ภายใต้ข้อเสนอนี้ ครูยังคงมีสถานะเป็นข้ารัฐการ ส่วนผู้อำนวยการจะได้รับอำนาจสูงในการจัดการด้านการเงินและกิจการส่วนบุคคล อำนาจที่มากขึ้นของเทศบาลได้ทำให้ระบบเงินอุดหนุนเดิมถูกยุบไปเป็นรูปแบบที่ยืดหยุ่นมากกว่า รูปแบบใหม่นั้นจะเป็นเงินก้อนที่ขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนและบทเรียนที่เทศบาลได้มาใช้จัดการตามวิจารณญาณที่เห็นควร เช่นการวางแผนการศึกษาและการจ้างครู[24]

รัฐบาลฟินแลนด์ยังคงขนบของการต่อรองรวมโดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐบาล บางทีอาจเป็นเพราะว่า AFLRA ยังคงมีอำนาจทางการเมืองน้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน สหภาพแรงงานครูจึงมีฐานอำนาจที่แข็งแรงกว่าและอุทิศให้กับเงินเดือนที่เท่าเทียม การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะต้องเกิดขึ้นผ่านกรอบข้อตกลงร่วมระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของผู้ว่าจ้างและสหพันธ์แห่งเจ้าหน้าที่วิชาชีพและฝ่ายจัดการ (Akateeminen Keskusjärjestö: AKAVA หรือ Federation of Professional and Managerial Staff) ที่สหภาพแรงงานสังกัดอยู่ได้[25]

ระหว่างที่เศรษฐกิจถดถอย เป้าหมายหลักจะอยู่ที่การปรับลดงบประมาณโรงเรียนในเทศบาลและการป้องกันการเลิกจ้างครู สหภาพแรงงานสาขาท้องถิ่นยังเสาะหาวิธีการที่จะลบความแตกต่างข้ามเทศบาล กรณีเงื่อนไขการจ้างงาน เช่น ชั่วโมงทำงาน โดยเฉพาะระหว่างเขตเมืองและชนบท เมื่อภาวะถดถอยจบลงก็ได้ทำให้สหภาพแรงงานกลับมาดำเนินการต่อเพื่อยกความสามารถระดับท้องถิ่น[26]

การควบรวมของสหภาพแรงงานอื่นระหว่างเศรษฐกิจหดตัวทำให้สมาชิกขยายตัวขึ้นอย่างมหาศาล นั่นทำให้การขับเคี่ยวระหว่างสหภาพยุติลงด้วย ในปี 1991 สมาคมครูอนุบาลเข้าร่วมกับ OAJ ปี 2006 สหภาพแห่งชาติแห่งผู้กำกับสถานศึกษาและวัฒนธรรมแห่งเทศบาลก็เข้าร่วมด้วย ไม่เพียงเท่านั้น สมาชิกอาจารย์จากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ครูโรงเรียนเอกชน ครูในระบบการศึกษาผู้ใหญ่ ครูในโรงเรียนอาชีวศึกษาและสถาบันเทคนิคก็เข้าร่วมกัน แม้แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ยังเป็นสมาชิก OAJ  [27]

เมื่อสามารถสร้างสหภาพขนาดใหญ่ได้แล้ว จึงมีความพร้อมที่จะต่อรองผ่านรูปแบบอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการผ่านรัฐสภา รัฐมนตรี การศึกษาพื้นฐานระดับชาติ (National Basic Education: NBE) และส่วนการศึกษาของเทศบาล สหภาพฯ เป็นตัวแทนในทุกกลุ่มภายในกระทรวงศึกษาธิการและ NBE สหภาพยังเป็นตัวแทนอยู่ในคณะกรรมาธิการการศึกษาของรัฐสภามาโดยตลอด รวมไปถึงการเตรียมกฎหมายและงบประมาณ อีกทั้งเป็นกรรมาธิการอื่นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ครู พวกเขายังได้ประชุมกับ 8 กลุ่มทางการเมืองในรัฐสภา โดยเฉพาะการแสวงหาครูเก่าผู้ดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐสภา และยังประชุมกับ NBE เป็นประจำ ในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น สาขาสหภาพยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจตัดสินใจ โดยเฉพาะเทศบาลที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับสมาคมผู้ปกครองที่พวกเขาก็ได้สร้างพันธมิตรไว้ด้วย[28]

สหภาพแรงงานครูของฟินแลนด์นั้นถือว่าทำงานในเชิงรุกกับสื่อมวลชนทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับชาติ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ระดับชาติ สหภาพได้ส่งข่าวให้สื่อด้วยการวิจัยจำนวนมากที่จัดทำโดยสหภาพ หรือนักวิจัยที่ได้รับมอบหมาย และยังใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อสนับสนุนข้อเสนอเชิงนโยบาย และโปรโมตภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณะ สหภาพยังขับเคลื่อนการรณรงค์จำนวนมากโดยเฉพาะการเลือกตั้งระดับชาติ เทศบาล และ EU[29]

คะแนน PISA และชื่อเสียงในระดับโลกด้านการศึกษา: ว่าด้วยอำนาจและการต่อรอง

ฟินแลนด์กลายเป็นประเทศที่ได้คะแนน PISA สูงที่สุดในปี 2001 ด้านการเขียนอ่าน คำนวณ และวิทยาศาสตร์ แม้จะเป็นที่ประหลาดใจ แต่ผลลัพธ์ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อรองของสหภาพฯ อย่างต่อเนื่องนั่นคือ 1. ปรับปรุงสภาพการจ้างงานครู 2. หยุดยั้งหรือถ่วงเวลาการปฏิรูปการศึกษาที่กำลังเป็นแนวโน้มมาแรง อันจะส่งผลต่ออำนาจการต่อรองที่ลดลงของครู

ประเด็นแรก สหภาพเอาไปขยายความต่อว่า แม้จะใช้ทรัพยากรระดับมาตรฐาน เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ด้วยกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับสูงกว่ามาก แสดงให้เห็นความล้าหลังในการลงทุนภาครัฐด้านการศึกษา ดังนั้นรัฐควรจะให้รางวัลเหล่าครูด้วยการเพิ่มกองทุนการศึกษาและการเพิ่มเงินเดือนให้สูงขึ้น[30]

ประเด็นที่ 2 สหภาพฯ ได้รณรงค์ ‘การร่วมมือทางประวัติศาสตร์ระหว่างรัฐบาลและครู’ เพื่อสร้าง ‘ครูผู้น่าเชื่อถือ’ ขึ้น โดยมีนัยว่า แม้จะไม่มีระบบการประเมินครูก็สามารถสร้างการเรียนที่มีคุณภาพได้ กลยุทธ์ก็คือการขอการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา นักการเมือง และข้าราชการ ประเด็นไม่ใช่ว่าวิชาชีพครูน่าเชื่อถือหรือไม่เท่ากับการโน้มน้าวให้สาธารณะเชื่อมั่นในครู ดังเช่นมีการเน้นคำอย่าง collaboration, consensus agreements และ trust [31] เข้าไปในการรณรงค์

มีผู้เสนอว่าสหภาพแรงงานครูฟินแลนด์ควรมีอำนาจวีโต้ในรัฐบาล เพราะหากนักการเมืองหรือผู้วางนโยบาย เห็นว่าประเด็นใดที่ฝ่ายสหภาพฯ จะทำการต่อต้าน ก็จะยอมถอยไป ดังนั้นการแปรรูปการศึกษาจึงเกิดขึ้นได้ยาก[32]

สองเหตุการณ์ใหญ่ที่ทำให้รัฐเริ่มปฏิบัติการปฏิรูปการศึกษา คือภาวะเศรษฐกิจถดถอย และคะแนน PISA ที่ลดลง

ประการแรก ฟินแลนด์ประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2009 ที่บังคับให้รัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคอนุรักษ์นิยมใช้นโยบายตัดลดงบประมาณการศึกษา เพื่อเพิ่มผลิตผลและประสิทธิภาพผ่านโครงการปฏิรูประบบการเงินสาธารณะ สิ่งนี้ทำให้เกิดการควบรวมโรงเรียน และการปิดโรงเรียนขนาดเล็ก รวมถึงการขยายขนาดห้องเรียนในเทศบาล สหภาพฯ ต่อต้านแต่ไม่สามารถจะกีดขวางการตัดลดงบประมาณได้ ทำให้พวกเขาต้องสู้กับการเลิกจ้างและเริ่มทำการรณรงค์สาธารณะเพื่อให้ความสำคัญกับห้องเรียนที่ขนาดเล็กลง เมื่อเทศบาลเลิกจ้างครูหรือเปลี่ยนสัญญาเป็นสัญญาชั่วคราว สหภาพฯ ได้นำเหตุเข้าฟ้องศาล พบว่าสหภาพฯ สนับสนุนการสู้คดีกว่า 200 คดีต่อปี กว่าครึ่งเป็นคดีที่ชนะ จากแนวคิดลดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด สหภาพฯ ได้ล็อบบี้ส.ส.อย่างเกรี้ยวกราดรวมถึงรัฐมนตรี และเทศบาลเพื่อลดอัตราส่วนนักเรียนและครูลง ขนาดห้องเรียนที่เป็นอยู่คือ นักเรียน 20 คนต่อห้อง ควรลดเหลือ 18 สหภาพฯ วิ่งเต้นจนได้รับเงินพิเศษให้กับเทศบาลเพื่อลดขนาดห้องเรียนลง[33]

ประการต่อมา ผลคะแนน PISA ที่ตกลงในปี 2012 เมื่อเทียบกับ 2006 ลดลงถึง 18 จุด ในความรอบรู้ทางวิทยาศาสตร์ 23 จุด ในการเขียนอ่าน และ 29 จุด ในการคำนวณ ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงตกต่ำที่สุดในประเทศนอร์ดิก มุมมองที่เอาครูเป็นศูนย์กลางซึ่งเป็นเครื่องมือในการโปรโมตของสหภาพฯ เริ่มถูกตั้งคำถาม[34]

ที่ผ่านมาเหล่าครูต่างมีความสุขกับอิสระเชิงสัมพัทธ์จากการจ้างงานที่เกิดจากการต่อรองของสหภาพฯ นั่นคือ แนวคิดที่ว่าครูไม่จำเป็นต้องถูกประเมิน และการศึกษานิเทศก์ไม่มีความจำเป็น ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับการวัดผลและประเมินผล แคมเปญ ‘ครูที่น่าเชื่อถือ’ ช่วงก่อนได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ฝังลึกไปในสถาบันระดับรัฐบาล นอกจากนั้นครูยังถือว่ามีมาตรฐานเดียวกัน คือจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ก็มีข้อสงสัยว่าการที่ครูจบมหาวิทยาลัยเป็นผลต่อการสอนที่โดดเด่นทุกโรงเรียนหรือทุกชั้นเรียนหรือไม่ การขาดเครื่องมือตรวจสอบทำให้กลายเป็นเรื่องยากที่จะตัดสิน แม้จะมีครูที่มีประสิทธิภาพต่ำถูกปลดออก แต่ก็เป็นส่วนน้อยมาก และสหภาพฯ มักจะชนะหากเอาคดีปลดครูไปยังศาล[35]

การประเมินเพื่อวัดประสิทธิภาพ มีการพัฒนาโดยสมาคมของผู้ว่าจ้างอย่าง Association of Finnish Independent Education Employers เพื่อใช้จ่ายเงินตามการประเมินจากผลงานสำหรับครูในภาคราชการ มหาวิทยาลัย โรงเรียนฝึกอบรมระดับมหาวิทยาลัย นักการศึกษากว่า 700 คน ในโรงเรียนฝึกอบรมได้รับเงินเดือนที่สัมพันธ์กับการประเมิน สมาคมของผู้ว่าจ้างมักจะเกี่ยวข้องกับสหภาพแรงงานครู ในการเตรียมข้อเสนอที่เริ่มแผนตั้งแต่ปี 2016 การต่อรองเริ่มขึ้นและโฟกัสว่าเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนควรจะจ่ายในระดับพื้นฐานเท่าไหร่ และเปอร์เซ็นต์ค่าตอบแทนที่สัมพันธ์กับผลการปฏิบัติการควรจะเป็นเท่าไหร่ สหภาพแรงงานครูที่นิยมการจ่ายแบบเสมอภาค ได้พยายามต่อรองให้การจ่ายค่าตอบแทนขึ้นกับผลการปฏิบัติการให้มีสัดส่วนที่น้อยที่สุด [36]

การดำรงอยู่ของ OAJ ในรัฐบาลขวากลาง

มีงานศึกษาชิ้นหนึ่งที่วิเคราะห์บทบาทของ OAJ ในรัฐบาลของจูฮา ซิปิแล่ (Juha Sipilä) ดำรงตำแหน่งช่วงปี 2015-2019 ซึ่งเป็นรัฐบาลขวากลางที่สนับสนุนนโยบายเสรีนิยมใหม่ที่เหล่าสหภาพแรงงานการศึกษาหลายประเทศต่อต้าน โดยตั้งข้อสังเกตว่า OAJ นั้นไม่ได้ต่อสู้อย่างเปิดเผยและมีลักษณะชิงความได้เปรียบเชิงอนุรักษ์นิยมมากกว่าสหภาพแรงงานในประเทศอื่นๆ [37] แต่ก็มีงานศึกษาชี้ว่า OAJ ได้พยายามอย่างหนักที่จะผลักดันวาระของพวกเขาหรือการถกเถียงกับนโยบายของรัฐ

รัฐบาลของซิปิแล่ได้วางนโยบายด้านการศึกษาชื่อว่า “Finland, the land of solutions” (ฟินแลนด์ ดินแดนแห่งคำตอบ) โครงการเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลได้เน้นไปที่การจ้างงานและการแข่งขัน, ความรู้และการศึกษา, ความเป็นอยู่ที่ดีและสุขภาพ, ชีวเศรษฐศาสตร์, การแก้ปัญหาด้วยพลังงานสะอาด, การทำให้เป็นดิจิทัล-การทดลอง-การลดการควบคุมจากรัฐ ถือเป็นยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาล[38]

ฟินแลนด์มีโครงการโรงเรียนแบบผสมแนวใหม่ (New Comprehensive School Program) เพื่อการปฏิรูป โดยสรุปแล้วคือ นโยบายที่เน้นการปฏิรูปที่หมุนรอบนวัตกรรม การทำให้เป็นดิจิทัล และการทำให้เป็นนานาชาติ ซึ่งแทบไม่ต่างกับประเทศอื่นๆ เว้นแต่ว่าไม่ได้ถกเถียงเรื่องการแปรรูปรัฐให้เป็นเอกชนอย่างโจ่งแจ้ง เพราะรัฐยังเป็นศูนย์กลางของการออกนโยบาย และอีกประการก็คือมีการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนร่วมในฟากการศึกษาอยู่[39]

อย่างไรก็ตาม นโยบายของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาก็ทำให้ OAJ ตอบโต้ในหลายกรณี เช่น การตัดงบประมาณการศึกษาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้อย่างเจอร์กี้ กาไตเนน (Jyrki Katainen) และอเล็กซานเดอร์ สตูบบ์ (Alexander Stubb) ทั้งคู่มาจากพรรค Kansallinen Kokoomus หรือ National Coalition Party อันเป็นพรรคขวากลาง มาจนถึงรัฐบาลของซิปิแล่ (Suomen Keskusta หรือ Centre Party) รวมกันแล้วมาถึง 2 พันล้านยูโร OAJ ชี้ว่าการตัดงบประมาณดังกล่าวจะนำมาสู่คุณภาพการศึกษาที่ลดลงโดยเฉพาะการให้บริการระดับเทศบาลที่เริ่มมีความไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา[40] สอดคล้องกับรัฐบาลที่เป็นฝ่ายขวากลางมาตลอด รัฐบาลล่าสุดที่เป็นฝ่ายซ้ายคือ รัฐบาลของปาโว ลิปโปเนน (Paavo Lipponen) จากพรรค Suomen sosialidemokraattinen puolue หรือ Social Democratic Party of Finland ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1999-2003

กระนั้นก็ไม่พบว่า OAJ ได้มีการยกระดับไปถึงขั้นปฏิเสธความร่วมมือ-ประท้วง-สไตรก์รัฐบาล เนื่องจากการร่วมมืออย่างเข้มข้นผ่านการพัฒนานโยบายในฟินแลนด์ และยังพบว่า OAJ ไม่เคยจะสร้างข้อพิพาทกับนโยบายการพัฒนาของรัฐบาลนอกจากวิจารณ์ในมุมมองที่แตกต่างเพียงเล็กน้อย และแทบจะไม่มีการวิพากษ์อย่างเฉพาะเจาะจง อย่างน้อยก็ไม่ใช่มาตรฐานทางวิชาการต่อผลกระทบจากนโยบายการศึกษาแบบเสรีนิยมใหม่ มีผู้อธิบายว่า การหาความร่วมมือเช่นนี้คือความสำเร็จทางการเมืองในฟินแลนด์ จึงเป็นเรื่องที่อธิบายได้ว่าเหตุใด OAJ จึงชอบที่จะทำงาน ‘ภายในเต็นท์’ มันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นภาพว่า OAJ ออกคำสั่งให้สมาชิกลงถนนเพื่อประท้วงแบบเดียวกับหลายประเทศ[41]

OAJ แทบจะไม่วิจารณ์แนวคิดและปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับโลกทางธุรกิจซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความต่อเนื่องของการปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐที่เข้ามาตั้งแต่รัฐบาลแฮร์รี่ โฮลเคริ (Harri Holkeri; 1987-1991) และเอสโก อาโฮ (Esko Aho; 1991-1995) และยังไม่พบการถกเถียงใน OAJ กรณีที่มีผู้ไม่สบายใจที่แยกตัวออกไปเมื่อคราวที่ OAJ เสนอให้เปลี่ยนแปลงชั่วโมงการทำงาน แม้ว่าความขัดแย้งจะปรากฏในสื่อมวลชนฟินแลนด์ อาจเป็นเพราะ OAJ ต้องการที่จะนำเสนอภาพอันเป็นเอกภาพและการสร้างภาคีในกระบวนการเชิงนโยบาย การที่ OAJ ให้ความสนใจกับนโยบายการส่งออกการศึกษาของรัฐบาลน้อย แม้จะเป็นเรื่องใหญ่ของรัฐบาล ได้บอกใบ้ว่าการสนับสนุนเช่นนี้ก็เท่ากับสนับสนุนนโยบายการศึกษาแบบเสรีนิยมใหม่ไปด้วย[42]

มากกว่าการละเลย เหมือนว่า OAJ จะใช้ประโยชน์ทางการเมืองผ่านประเด็นต่างๆ ให้มากที่สุด แม้ว่ารัฐบาลกับ OAJ จะพูดเรื่องเดียวกันแต่ความหมายต่างกันไปเลย OAJ พูดถึงความเท่าเทียมของโอกาสทางการศึกษาซึ่งหมายถึงว่า โอกาสอันเท่าเทียมเพื่อที่จะสำเร็จหลักสูตรโรงเรียนแบบผสมในหลักการเดียวกันไม่ว่าจะเรียนที่ไหน เพศอะไร หรือในครอบครัวที่มีสถานภาพการเงินและสังคมแบบใด อันเป็นความเท่าเทียมของทุกคน สำหรับรัฐบาลแล้ว ได้มุ่งเน้นความเท่าเทียมทางการศึกษาของปัจเจก ที่ถูกมองว่าเป็นโอกาสอันเท่าเทียมของทุกคนที่จะเติมเต็มความสามารถหรือแรงบันดาลใจซึ่งเน้นไปที่ทางเลือกของปัจเจกและการลดการควบคุมทางการศึกษา และการปลดปล่อยไปสู่ระบบ school choice[43]

OAJ ที่ไม่กล้าวิพากษ์รัฐบาลหนักกว่านี้เป็นเพราะการไม่กล้าออกจากพื้นที่ปลอดภัยของตน พวกเขาอาจนิยามตนว่าเป็นผู้สนับสนุนทางวิชาชีพที่ ‘ไร้การเมือง’ อาจรวมไปถึงว่า เจ้าหน้าที่อาวุโสของ OAJ มักเห็นด้วยกับทิศทางนโยบายการศึกษาที่เป็นอยู่ บางที OAJ จำเป็นต้องสะท้อนย้อนคิดถึงจุดยืนของสมาชิกและความไม่สามารถในการวิจารณ์นโยบายการศึกษาได้อย่างที่ควรจะเป็น กระนั้นในช่วงโรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา OAJ ได้มีจุดยืนที่เผชิญหน้ากับรัฐบาลและนโยบายเทศบาลมากขึ้น ช่วงล็อกดาวน์ในปี 2020 OAJ ได้โต้แย้งการที่รัฐบาลจะเปิดการสอนแบบออนไซต์แก่นักเรียนอายุน้อยที่สุดในฤดูใบไม้ผลิต และจะเปิดทั้งหมดในช่วงสุดท้ายของหยุดช่วงฤดูร้อน OAJ ยังแสดงความเสียใจต่อแนวโน้มที่เทศบาลจะให้ครูออกจากงานในช่วงวิกฤตโควิด-19 ดังนั้น โรคระบาดนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ OAJ ก็เป็นได้[44]

OAJ เป็นองค์กรแรงงานการศึกษาที่มีลักษณะเป็นหนึ่งเดียวของทุกระดับการศึกษาที่มีอำนาจในการต่อรองสูงในฟินแลนด์ บนพื้นฐานความเข้มแข็งของการศึกษาทำให้การยืนหยัดต่อรองของแรงงานส่วนนี้มีความชอบธรรมอย่างสูง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับระบบการตรวจสอบและการประเมินผลเช่นเดียวกับที่หลายประเทศพบเจอมาก่อน จากวิกฤตคะแนน PISA ที่ตกต่ำ เพียงแต่ฟินแลนด์ที่ได้คะแนนสูงที่สุดสามารถยื้อเวลาออกไปได้เนื่องมาจากผลคะแนนในครั้งนั้นเอง นอกจากนั้น ยังถูกวิจารณ์ว่ามีท่าทีที่ประนีประนอมกับรัฐบาลมากเกินไป แทบจะไม่มีการเดินขบวนประท้วงหรือการสไตรก์ใดๆ เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านนโยบายและปฏิบัติการของรัฐเลย


[1] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries: Solidarity and the Politics of Self- Interest”, Ibid., p.144

[2] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.145

[3] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.145

[4] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.145-146

[5] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.146

[6] คำแปลของกุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ใน กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, แปล, 100 นวัตกรรมสร้างฟินแลนด์ (พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : มูลนิธิก้าวหน้า, 2565), หน้า 90

[7] 375 Humanists.”Adolf Ivar Arwidsson “. Faculty of Arts, University of Helsinki. Retrieved on 6 July 2020 from https://375humanistia.helsinki.fi/en/humanists/adolf-ivar-arwidsson

[8] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.146

[9] กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ, เรื่องเดียวกัน, หน้า 88

[10] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.146-147

[11] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.147

[12] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.155

[13] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.156

[14] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.149

[15] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.156

[16] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.156

[17] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.155-156

[18] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.157

[19] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.157-158

[20] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.158

[21] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.174

[22] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.174-175

[23] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.175

[24] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.175

[25] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.175-176

[26] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.176

[27] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.176

[28] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.176-177

[29] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.177

[30] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.177

[31] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., pp.177-178

[32] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.178

[33] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.179

[34] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.180

[35] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.181

[36] Susanne Wiborg, “Teachers Unions in the Nordic Countries…”, Ibid., p.182

[37] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, “A Progressive Force in Finnish Schooling?: Finland’s Education Union, OAJ, and Its Influence on School-Level Education Policy”,  Martin Thrupp, Piia Seppänen, Jaakko Kauko, Sonja Kosunen, ed., Finland’s Famous Education System (Singapore: Springer, 2023), p.52

[38] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., p.53

[39] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., p.55

[40] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., p.56

[41] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., p.62

[42] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., p.62

[43] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., pp.62-63

[44] Nina Nivanaho & Martin Thrupp, Ibid., p.64

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Education

20 Jul 2023

คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ในวิกฤต (?)

ข่าวการปรับหลักสูตรของอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ชวนให้คิดถึงอนาคตของการเรียนการสอนสายมนุษยศาสตร์ เมื่อตลาดแรงงานเรียกร้องทักษะสำหรับการทำงานจริง จนมีการลดความสำคัญวิชาพื้นฐานอันเป็นการฝึกฝนการวิเคราะห์วิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจโลกอันซับซ้อน

เสียงเล็กๆ จากประชาคมอักษร

20 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save