ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการยัดเงินตำรวจเวลาได้ใบสั่ง ไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆ อย่างการทุจริตงบประมาณในโครงการของรัฐที่เห็นข่าวกันจนชิน หลายต่อหลายกรณีเป็นหลักฐานบอกกับเราตั้งแต่เด็กจนโตว่า ‘สังคมไทยน่ะ คอร์รัปชันมันกันทุกเรื่องนั่นแหละ อย่ามาโลกสวยทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย!’
พอเราจะทำตัวไม่ทุจริต ก็โดนมองว่าเป็นคนเด๋อๆ ที่ไม่รู้จักหาประโยชน์ใส่ตัวไปเสียอย่างนั้น!
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เป็นกันเฉพาะในไทย หรือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละประเทศ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในสังคมไทย มีการบ่มเพาะความคิดที่ว่า การโกงคือเรื่องปกติกันอยู่ไม่น้อย
งานวิจัยด้านจิตวิทยาในหัวข้อ “Who Doesn’t?” — The Impact of Descriptive Norms on Corruption จาก Free University Amsterdam เฉลยว่าอะไรเป็นหนึ่งในสาเหตุของนิสัยชอบคอร์รัปชันในตัวเรา โดยให้ผู้เข้าร่วมทดสอบลองเล่นเกมที่ให้ผู้เล่นเป็นหนึ่งในบริษัทที่กำลังจะเข้าร่วมประมูลงานจากรัฐบาล ซึ่งมีบริษัทคู่แข่งเข้าร่วมด้วย เป้าหมายของเกมคือต้องทำให้บริษัทของตัวเองชนะในแคมเปญประมูลนี้ โดยสามารถให้ ‘สินบน’ กับเจ้าหน้าที่รัฐได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะ
ก่อนเริ่มเกม คำอธิบายสั้นๆ จะขึ้นมาบอกกับผู้เข้าร่วมการทดสอบว่าในสังคม (ของเกมที่พวกเขากำลังจะเริ่มเล่น) มองการยัดเงินใต้โต๊ะเป็นอย่างไร โดยมีทั้งคำอธิบายที่บอกว่า ในสังคมนี้มองว่าสินบนเป็นเรื่องปกติ หรืออีกอันคือบอกว่าไม่มีใครเค้าทำกันหรอก ตัวแปรควบคุมที่ว่าทำให้ผลการทดลองออกมาแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หากผู้เข้าร่วมทดลองได้รับการบอกเล่าว่า การคอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติ พวกเขาจะเลือกยัดเงินใต้โต๊ะ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกมบอกว่าการคอร์รัปชันเป็นสิ่งที่คนในสังคมไม่ทำกัน พวกเขาก็เลือกที่จะยัดเงินน้อยลง
การทดลองนี้ให้ข้อสรุปว่า พฤติกรรมการ ‘เลือก’ ที่จะคอร์รัปชันของมนุษย์ จึงขึ้นอยู่กับตรรกะที่ว่า ‘ถ้าทุกคนทำ ฉันก็ทำด้วยแล้วกัน’
ซึ่งไปสอดคล้องกับการทดลองในงานวิจัย Intrinsic honesty and the prevalence of rule violations across societies จาก University of Nottingham ที่ทดสอบความซื่อสัตย์ของผู้คนในแต่ละประเทศ เปรียบเทียบกับค่าดัชนีวัดระดับคอร์รัปชันของประเทศนั้นๆ โดยให้ผู้เข้าร่วมทอยลูกเต๋าสองครั้ง และบอกว่าทอยครั้งแรกได้เท่าไหร่ หากได้เลข 1-5 ก็จะได้เงินตามจำนวนเลขบนหน้าเต๋า (ถ้าได้ 6 จะไม่ได้เงิน) แต่ผู้วิจัยจะไม่รู้ว่าพวกเขาพูดเลขจริงหรือโกหก ดังนั้นถ้าผู้เล่นจะโกงด้วยการบอกเลขสูงสุด หรือบอกเลขจากการทอยครั้งที่สอง (ถ้ามากกว่า) ก็ย่อมทำได้
ผลปรากฎว่า ใน 23 ประเทศที่ผู้วิจัยเดินทางไปทดสอบ ทุกที่มีคนที่แอบขี้โกงหมด แต่ที่น่าสนใจคือ ในกลุ่มประเทศที่มีค่าดัชนีการแหกกฎและคอร์รัปชันสูง เช่นจอร์เจีย แทนซาเนีย และกัวเตมาลา ค่าเฉลี่ยของการบอกตัวเลขจากการทอยเต๋าที่ไม่ตรงกับความจริงก็มาขึ้นตามไปด้วย ต่างกับออสเตรีย สวีเดน และเนเธอร์แลนด์ ที่มีอัตราการโกงน้อยมาก ผู้เข้าทดลองก็โกงน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ด้วย ผลการทดลองนี้ทำให้เราสรุปได้ว่า หากเราอยู่กับสังคมที่มีการคอร์รัปชันสูง เราก็จะมีพฤติกรรมโกงมากขึ้นตามไปด้วย
พูดง่ายๆก็คือ หากสังคมโกง ผู้คนหน่วยย่อยก็จะโกงตามไปด้วย ฟังดูเหมือนจะไม่มีทางออกเอาเสียเลย แล้วอย่างนี้เราจะอยู่อย่างไรในประเทศที่มีแต่คอร์รัปชันล่ะ จะเป็นคนดี ไม่โกง ไม่คอร์รัปชัน มันไม่มีที่ยืนเลยหรือไงกัน?
คำตอบคือ ยังมีอยู่ แต่ต้องอยู่ให้เป็น!
องค์กรที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศที่เต็มไปด้วยการคอร์รัปชันส่วนใหญ่ มักตกอยู่ในวังวนของความคิดว่า ‘ใครๆ ก็โกง เราก็ต้องโกงด้วย’ เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองไปรอด แต่จริงๆ แล้วการเลือกที่จะยืนหยัดเป็นองค์กรที่โปร่งใสในดินแดนคอร์รัปชันให้ได้ คือการลงทุนเพื่อ ‘สร้าง’ โอกาสและชื่อเสียงให้กับธุรกิจอีกทางหนึ่ง
ในประเทศที่มีอัตราการคอร์รัปชันสูงอย่างอียิปต์ ซิมบับเว และอินเดีย หลายบริษัทเลือกที่จะมองต้นทุนในการทำตามระเบียบแบบแผน ไม่จ่ายสินบนเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า แต่การต่อสู้ด้วยวิธีนี้ต้องแข็งแกร่งมาก สังคมนั้นจำเป็นต้องมีสื่อที่หลากหลายและมีศักยภาพ และเปิดกว้างในการรวมกลุ่มก้อนของประชาชน เมื่อมีองค์ประกอบครบและทำงานได้จริง ธุรกิจที่ไม่ยอมทำตามแนวคิดคอร์รัปชันของสังคมนั้นก็จะโดดเด่นออกมาจากคู่แข่ง กลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้ธุรกิจเติบโต
ข้อดีอีกอย่างของการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรม คือมันจะกระตุ้นให้เหล่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (stakeholders) ในสังคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ทั้งลูกค้าและนักลงทุน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นและถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะจริงๆ แล้วการเงียบของพวกเขาไม่ได้แปลว่าทุกคนจะพอใจ เพียงแค่ต้องการผู้ที่จะลุกขึ้นมานำการต่อสู้เท่านั้น
ซึ่งถ้าทำได้ นี่จะเป็นอีกหนึ่งข้อดีที่ทำให้ธุรกิจนั้นๆ เติบโตไปด้วย ในฐานะ ‘ผู้ริเริ่ม’ การสร้างสังคมให้ดีขึ้น!
อ่านเพิ่มเติม
บทความเรื่อง Corruption Corrupts ของ Ed Yong จาก The Atlantic,