fbpx
เรียนไม่เก่งแล้วไง ตอนที่ 2

เรียนไม่เก่งแล้วไง ตอนที่ 1

ผมน่าจะรู้จักโลกดิจิทัลจริงๆ ครั้งแรกเมื่อประมาณ 6-7 ปีก่อน ก่อนจะออกจากราชการไม่นาน เพราะจู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่ามีการแชร์บทความเก่าที่ผมเคยเขียนไว้นานแล้วเข้าไปในโซเชียลเน็ตเวิร์กมีการส่งต่อจำนวนมาก เป็นหลักแสน

เมื่อสอบถามว่าบทความชื่ออะไร ได้รับคำตอบว่า ‘เรียนไม่เก่งแล้วไง’

เมื่อได้รับคำตอบ  นาทีแรกคือจำชื่อบทความได้ แต่จำเนื้อหามิได้ จำไม่ได้ด้วยว่าอยู่ในหนังสือเล่มไหน แต่พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นบทความที่เขียนให้นิตยสารไลฟ์แอนด์แฟมิลี่ของคุณสุภาวดี หาญเมธี แล้วนำไปรวมเล่มในหนังสือสักเล่มของสำนักพิมพ์รักลูก บรรณาธิการโดยคุณภาวนา อร่ามฤทธิ์ และคุณธิดา มหาเปารยะ บรมานันท์ วันนี้คุณสุภาวดีและบางส่วนของทีมงานรักลูกเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็น EF หรือ Executive Function ในนามสถาบัน RLG



ก่อนจะนั่งลงเขียนบทความวันนี้ (ซึ่งมีเหตุให้ต้องเขียน) จึงรื้อตู้หนังสือ (ไม่สามารถรื้อกองนิตยสารได้เพราะนำไปเก็บไว้ที่โกดัง จึงไม่ทราบว่าตีพิมพ์ครั้งแรกที่นิตยสารไลฟ์แอนด์แฟมิลี่ปีที่เท่าไร ฉบับที่เท่าไร) พบว่าตัวบทความมีชื่อว่า ‘ลูกเรียนไม่เก่งแล้วไงครับ’ ตีพิมพ์ครั้งที่สองในหนังสือ ‘วัยรุ่นไม่วุ่นได้ไง’ พ.ศ. 2545 พิมพ์ซ้ำ พ.ศ. 2551  และอมรินทร์พริ้นติ้งพิมพ์อีกครั้งในหนังสือ ‘เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจวัยไหนก็ได้ดี’ พ.ศ. 2561

ตัวข้อเขียนที่เซอร์คูเลต (circulate – หมุนเวียน) ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก มีคนเล่าว่าเริ่มตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2558 นั่นเท่ากับ 7 ปี หลังจากตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2551 และอย่างน้อย 13 ปีหลังการตีพิมพ์ครั้งแรก ช่างเป็นการเดินทางอันยาวนานกว่าผู้คนจะเริ่มเรกค็อกไนซ์ (recognize – ใส่ใจ)

เริ่มเขียนเพจเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เหตุที่เริ่มมิใช่เพราะเห็นพลังของโลกดิจิทัล แต่เพราะเบื่องานประจำที่ทำ พบว่าการเขียนเพจครั้งละสั้นๆ เป็นเรื่องไม่ยาก ไม่คอนซูม (consume – บริโภค) เวลาของตัวเองแต่อย่างไรเลย ส่วนใหญ่เขียนบนมือถือตอนติดไฟแดง แป๊บเดียวก็เสร็จ  

การเขียนเพจรายวันกลายเป็นงานที่ทำได้ทุกเวลาและสถานที่หากมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต สามารถดึงรูป หาคอนเทนต์ ค้นเอกสารอ้างอิง วางประกอบกัน แล้วโพสต์ขึ้นทันที ตอนเริ่มต้นเขียนใช้ ไอโฟน 6 แล้วใช้ไอโฟน 6 อยู่หลายปีทั้งที่มองไม่ค่อยเห็น บ่อยครั้งที่โพสต์ก่อนแก้ไขคำผิดทีหลัง เป็นงานทำเล่นๆ ที่ทำได้ทุกเวลา

ความง่ายของการทำงานทุกที่ทุกเวลาด้วยความเร็วสูงยิ่งตอกย้ำว่าอะไรที่เคยเขียนน่าจะใกล้เคียงความจริง – เรียนไม่เก่งแล้วไง

เมื่อมีเวลาและอารมณ์มากพอในอีกไม่กี่เดือนต่อมา นั่นคือหลังจากฝากฝังงานแล้วออกจากราชการ (งานราชการเป็นงานที่คอนซูมเวลาและสปิริชวลลิตี้ (spirituality – จิตวิญญาณ) ของคนคนหนึ่งสูงมาก) จึงเริ่มต้นข้อเขียน ‘เลี้ยงลูกให้ได้ดี 1-100’ ตอนที่ 1

เมื่อวานนี้เอง (14 มีนาคม 2564) มีคุณแม่ท่านหนึ่งเขียนมาในคอมเมนต์ของโพสต์หนึ่งว่า การเรียนหนังสือและการเล่นของเด็กควรจะไปด้วยกันได้ ไม่น่าจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วลงท้ายขอบคุณที่คุณตาหมอเขียนเพจเพราะได้ใช้ข้อเขียนในเพจเป็นแนวทางเลี้ยงลูกตั้งแต่แรก ลูกของคุณแม่ไม่มีปัญหาเรื่องการรักษาสมดุลของทั้งสองอย่าง นั่นคือเรียนและเล่น

ข้อความนี้ชวนให้ผมระลึกได้ว่าควรเขียนถึงเรื่องนี้ให้ชัดเจนเพื่อให้มีการบันทึกไว้สักที กล่าวคือเรื่องเรียนเก่งมิใช่ความผิดของเด็กๆ และข้อเขียนออนไลน์อย่างสั้นมีข้อเสียคือชวนให้ผู้อ่านเข้าใจไปทางเดียวได้ง่าย

เอาประการหลังนี้ก่อน “ข้อเขียนออนไลน์อย่างสั้นมีข้อเสียคือชวนให้ผู้อ่านเข้าใจไปทางเดียวได้ง่าย” ความข้อนี้จะอย่างไรก็เป็นความรับผิดชอบ (responsibility) และความรับผิดรับชอบ (accountability) ของผู้เขียนวันยังค่ำ เพราะคุณเขียนสั้นๆ ได้ไม่เก่งพอจึงก่อให้เกิดการแปลความผิด ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดเรื่องการแปลความผิดจึงมีหน้าที่ชี้แจง แล้วกลับไปฝึกเขียนมาใหม่

 พูดง่ายๆ ว่าการเขียนออนไลน์อย่างสั้นมีความเสี่ยง ถ้ายินดีรับความเสี่ยงก็ควรรับรู้จุดอ่อนของการเขียนวิธีนี้ด้วย

กลับมาที่ประเด็นที่คุณแม่ท่านนี้เขียนมาแลกเปลี่ยน เป็นไปได้ว่าผมเขียนเรื่องทำนองว่าอย่าเร่งเรียนในเด็กปฐมวัย คือชั้นเตรียมอนุบาลและอนุบาล อายุประมาณ 3-7 ขวบ มากจนเกินไป ดีกว่านั้นคือไม่เรียนเลยแล้วเอาแต่เล่น ดีกว่านั้นคือเล่นแบบบูรณาการตามที่ครูสมัยใหม่และโรงเรียนสมัยใหม่จะออกแบบไว้ แต่ด้วยความที่ตัวเองจะคำนึงถึงชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานที่ไม่มีเงินไปโรงเรียนทางเลือกราคาสูง (สูงไม่ได้แปลว่าแพง แพงแปลว่าราคามิได้สัดส่วนกับคุณภาพหรือความคาดหวัง) ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีเวลาจะเลี้ยงลูก

ผมจึงมักเขียนสั้นๆ ว่า ‘เล่นไปเถอะ’

เพราะการเล่น  คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องใช้ทฤษฎีอะไร ขอเพียงเล่นมากๆ ระหว่าง 3-7 ขวบ สมองส่วนที่รองรับ EF หรือ executive function จะพัฒนาเองโดยไม่ต้องรู้ทฤษฎีอะไรก็ได้ นอกจากนี้ผมมักเขียนเสมออีกว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่หมดแรงเล่น (เพราะกลับจากทำงานก็หมดแรงมาจากที่ทำงานเรียบร้อย หรือไปขุดดินมาทั้งวันจะไปมีแรงเหลือได้อย่างไรถ้าไม่ถอน – การถอนตอนเย็นของชนชั้นแรงงานเป็นเรื่องจำเป็น) นอนเล่นบนพื้นดูลูกเล่นคือใช้ได้

ผมขอน้อยมากจริงๆ เพราะรู้ว่าความจำเป็นแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงเปิดทางถอยให้แก่คนทุกคนเสมอว่าเราทำได้แน่เรื่องการเลี้ยงลูกให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ นั่นคือเล่นเมื่ออายุ 3-7 ปีให้มาก และเรียนให้น้อย

ชื่อคอลัมน์ที่เขียนให้ The101.World เป็นประจำนี้ก็ตามนั้นจริงๆ ‘ถอนรากถอนโคนการศึกษาไทย’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาปฐมวัยหรืออนุบาลที่ผิดทิศผิดทาง มีเอกสารอ้างอิง มีตัวอย่างในต่างประเทศ มีตัวอย่างโรงเรียนทางเลือกในประเทศ (ซึ่งนักเรียนของพวกเขาจบปริญญาตรีและโทกันมากมายแล้ว) ว่าการเรียนรู้แบบบูรณาการด้วยการเล่นตอนอนุบาลมีข้อดีมาก และไม่มีข้อเสียอะไรเลย

พูดง่ายๆ ว่าเด็กอ่านเขียนเรียนเลขได้หมดทุกคนในภายหลัง แต่จะอย่างไรการศึกษาไทยโดยกระทรวงศึกษาธิการก็จะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด

เด็กคนหนึ่งเกิดมาเรียนเก่งมิใช่ความผิดของเด็ก และมิใช่ความผิดของคุณพ่อคุณแม่ที่มีเด็กเรียนเก่ง เราภูมิใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่จะดียิ่งขึ้นไปอีกหากรับฟัง 10 ประเด็นต่อไปนี้

1.นิยามของคำว่า ‘เรียนเก่ง’ วันนี้น่าจะไม่ดีพอและอาจจะผิดทิศผิดทาง คุณพ่อคุณแม่บ้านเราจำนวนหนึ่งแปลเรียนเก่งว่าได้เกรดดี แล้วได้เข้าคณะดีๆ ของมหาวิทยาลัยดีๆ จะเห็นว่าเราควรมีปัญหาเรื่องควรแปลคำว่า ‘ดี’ อย่างไร  ยกตัวอย่างคณะ xxx ของมหาวิทยาลัย yyy ดีกว่าคณะ aaa ของมหาวิทยาลัย bbb เป็นต้น นิยามเรียนเก่งจึงมีปัญหาตั้งแต่ต้น

รวมทั้งชุดข้อเขียน เลี้ยงลูกให้ได้ดี 1-100 ด้วย

(ยังมีต่อ)

MOST READ

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

21 Nov 2018

เมื่อโรคซึมเศร้าทำให้อยากจากไป

เรื่องราวการรับมือกับความคิด ‘อยากตาย’ ผ่านประสบการณ์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คนเคียงข้าง และบทความจากจิตแพทย์

ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์

21 Nov 2018

Social Issues

22 Oct 2018

มิตรภาพยืนยาว แค้นคิดสั้น

จากชาวแก๊งค์สู่คู่อาฆาต ก่อนความแค้นมลายหายกลายเป็นมิตรภาพ คนหนุ่มเลือดร้อนผ่านอดีตระทมมาแบบไหน ‘บ้านกาญจนาฯ’ เปลี่ยนประตูที่เข้าใกล้ความตายให้เป็นประตูสู่ชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างไร

ธิติ มีแต้ม

22 Oct 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save