นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เรื่อง
ลูกหมาตัวหนึ่งอายุ 5 เดือน ป่วยด้วยลิ้นหัวใจรั่วได้ยินเสียงฟู่ชัดเจนและจะต้องตายในเวลาไม่เกินสามเดือนนับจากนี้ สัตวแพทย์ในบริเวณใกล้เคียงไม่มีใครมีความสามารถมากพอที่จะผ่าตัดรักษากรณีเช่นนี้ได้ จึงได้ส่งปรึกษาสัตวแพทย์ที่ลอนดอนซึ่งยินดีบินมาเพื่อผ่าตัดด้วยเครื่องมือพิเศษผ่านทางหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ขาหนีบ (femoral artery) การผ่าตัดประสบความสำเร็จด้วยดีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมาด้วยค่าใช้จ่าย 4,500 ปอนด์
“สัตวแพทย์ส่วนใหญ่ในประเทศพัฒนาแล้วทำคลินิกส่วนตัว อาจจะทำคนเดียวหรือทำร่วมกับเพื่อน เจ้าของสัตว์เป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ารักษาพยาบาลแปรตามความยากง่ายของสัตว์เลี้ยงที่ป่วย ประสบการณ์ของหมอ สิ่งอำนวยความสะดวก และชื่อเสียงของแพทย์ ช่วงปีหลังๆ เริ่มมีการรวมตัวเป็นบริษัท และทำงานเป็นเชน
เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(ของคน) เมื่อแปดปีที่แล้วดิฉันได้อาสาเข้าไปทำงานเพื่อการกุศล และได้เห็นความคล้ายคลึงระหว่างการรักษาสัตว์กับการรักษาคน มีบทเรียนที่ได้จากเซ็กเตอร์เล็กๆ นี้ นั่นคืองานอาสาสมัครรักษาสัตว์ป่วย
ดิฉันอาสาทำงานนี้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย(สัตว์)ที่ยากจนในอังกฤษ เราพยายามขอให้บริจาคแต่ก็เป็นเหมือนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ลงเอยด้วยการรักษาฟรีเสียมาก ลูกค้าของเราคิดถึงบริการของเราเหมือนหลักประกันสุขภาพแต่ทุนทั้งหมดของเรามาจากการบริจาคทั้งสิ้น ไม่มีทุนจากรัฐบาล ในฐานะคุณหมอเรากำลังใช้เงินของคนอื่น เหมือนหมอในระบบหลักประกันสุขภาพ เรามีข้อผูกพันที่จะใช้เงินนี้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
ประสบการณ์การทำงานรักษาสัตว์ในภาคเอกชนสอนให้ดิฉันรู้ว่า เรากำลังตีค่าความเป็นความตายทางเศรษฐกิจ ชีวิตและความตายมีมูลค่าเป็นตัวเงิน การประกันสุขภาพสัตว์มิได้เป็นเรื่องบังคับ เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มิได้ทำประกันหรือทำน้อยเกินไปจะต้องเผชิญความหวาดกลัวที่เขาจะไม่สามารถจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยงของเขา การส่งปรึกษาของเราคือสงครามระหว่างเรื่องที่เราทำได้กับเรื่องที่เราควรทำโดยต่างไม่ยอมลดราวาศอกกันง่ายๆ การถกเถียงเรื่องค่ารักษาพยาบาลเฉียดร่างที่นอนอยู่ของสัตว์เลี้ยงไปมา ความท้าทายที่จะรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานการรักษาและความมั่นคงทางจริยธรรมเป็นเรื่องที่ยากที่สุดของงานของเรา เรื่องอาจจะจบลงที่วิธีรักษาที่ห่างจากมาตรฐานมาก
หรือจบลงที่การุณยฆาตสัตว์ด้วยเหตุผลด้านการเงิน
เคสที่ดิฉันจำได้ดีเป็นหมายอร์คเชียร์เทอร์เรียร์ชื่อเบ๊ตตี้ มันอยากเป็นเพื่อนกับแมว แต่แมวไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับมัน แล้วครั้งหนึ่งเรื่องก็จบลงด้วยรอยข่วนที่ตากลายเป็นบาดแผลใหญ่ การรักษาขั้นต้นไม่ได้ผล ขั้นต่อไปคือควักลูกตาออก แม้ว่าจะคิดค่ารักษาแบบเท่าทุนแล้วเจ้าของก็ไม่มีจ่าย เรื่องจึงจบลงด้วยการทำให้มันตายอย่างสงบ เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดมากทั้งกับเจ้าของและหมอ อะไรที่ควรทำได้กลับทำไม่ได้เพราะไม่มีเงิน การทำให้ฟรีอาจจะช่วยเรื่องมโนธรรมแต่ไม่ดีต่อธุรกิจในระยะยาว
สถานการณ์แบบเบ๊ตตี้สามารถก่อให้เกิดความรู้สึกผิดและความโกรธ ดิฉันเคยพบเหตุการณ์ที่เพื่อนร่วมงานถูกเรียกว่าฆาตกรและถูกทำร้ายทั้งทางวาจาหรือทางร่างกาย มีบางครั้งที่พวกเราจ่ายเงินส่วนตัวเพื่อผู้ป่วยของเรา ผู้ป่วยของเรารอดโดยเหลือสามขาหรือตาข้างเดียว แต่น่าเสียดายเราทำแบบนี้ไม่ได้ทุกครั้ง ความสูญเสีย ความเห็นอกเห็นใจ ความเอื้ออาทร และมือของหมอที่ถือเข็มเดินยาให้สัตว์ตายอย่างสงบเป็นเรื่องที่จะถูกลืมเลือนไปในที่สุด
เหตุเหล่านี้ทำให้ดิฉันออกจากงานคลินิกส่วนตัวมาที่เซ็กเตอร์งานอาสาสมัคร และพบปัญหาเรื่องการใช้งบประมาณจากเงินทุนที่มี คือสถานการณ์เดียวกันกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ดิฉันพบว่ามาตรฐานการรักษาของเราอยู่ในเกณฑ์ดีและกรณีอย่างเบ๊ตตี้ไม่เกิดขึ้น เรารักษาผู้ป่วยแบบเบ๊ตตี้วันละหลายสิบตัวทุกวัน ชวนให้คิดถึงระบบสุขภาพของคนอเมริกันว่ามีผู้ป่วย ญาติ และหมอมากเท่าไรที่พบปัญหาด้านการเงิน ขอขอบคุณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ช่วยเรา เมื่อนึกถึงว่าเรื่องทำนองนี้เกิดกับญาติของเรา เป็นเรื่องที่ไม่กล้าคิดถึงเอาเลย
บิลค่ารักษาสัตว์สูงขึ้นมาก มันสูงขึ้นมากขนาดนี้ได้อย่างไร อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ที่สัตวแพทย์ใช้ไม่ต่างจากของคนเท่าไรนัก เราส่งเลือดไปตรวจห้องปฏิบัติการในลักษณะเดียวกัน ดิฉันยังจำได้ถึงวันเวลาที่เครื่องเอกซเรย์ MRI ยังไม่แพร่หลายในงานสัตวแพทย์ พวกเรานักศึกษาหลบเข้าไปใช้เครื่อง MRI บนถนนคราวน์ ลิเวอร์พูล เพื่อสแกนสัตว์ป่วยของเราเมื่อคนกลับไปหมดแล้ว เรารู้หรือไม่ว่าต้นทุนของ MRI เท่าไร ของเอกซเรย์ธรรมดาเท่าไร สรีระบำบัดเท่าไร เราได้ยินคนบ่นเรื่องบิลค่ารักษามาก บางทีถ้าประชาชนรู้ต้นทุนของค่ารักษาพยาบาล อะไรที่ได้นั้นแทบจะเหมือนการลักขโมยเลยทีเดียว เหมือนที่ความคาดหวังสูงทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงเรียกร้องการรักษามาตรฐานสูงโดยไม่ติดป้ายราคา
ในงานที่ดิฉันทำเราสรุปค่ารักษาพยาบาลสัตว์ให้เจ้าของทราบล่วงหน้า ให้เขารู้ว่าการรักษาของเราสมเหตุผลและเป็นการกระตุ้นให้เกิดการบริจาค บางทีการกระทำเช่นนี้แก่ผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอาจจะช่วยให้ผู้ป่วยตระหนักถึงมูลค่าของการรักษาพยาบาลมากขึ้น
ดิฉันรู้สึกสำนึกในบุญคุณของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาก และสำนึกในการทำงานหนักของบุคลากรที่อยู่ในระบบวันต่อวัน แม้ว่าวันนี้เราจะมีองค์กรการกุศลมากมายเข้ามาช่วยเหลือทั้งผู้ป่วยสัตว์และคน แต่ถ้าขาดหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ องค์กรการกุศลสำหรับสัตว์ที่ดิฉันทำงานอยู่ก็อาจจะกลายเป็นผู้สมควรได้รับความช่วยเหลือมากที่สุดไปด้วย”
เคท คาวานาห์ ศัลยสัตวแพทย์ชาวอังกฤษ เขียนไว้ในหนังสือ The NHS at 70 A Living History ของ Ellen Welch สำนักพิมพ์ Pen and Sword 2018