การผูกขาดของแพลตฟอร์มดิจิทัลในมุมนักบริหาร: ข้อค้นพบจากโลกจริง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้แพลตฟอร์มดิจิทัลถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของพวกเราอย่างชัดเจนแล้ว เราใช้ Facebook เพื่อติดต่อสื่อสารกับเพื่อนของเรา เราใช้ Google เพื่อค้นหาข้อมูล หรือใช้ Grab เพื่อเดินทางหรือสั่งอาหาร แต่แพลตฟอร์มไม่ได้มีอิทธิพลเพียงเท่านั้น เพราะหากมองภาพที่ใหญ่ขึ้น แพลตฟอร์มนับได้ว่าเป็นตัวสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมไปอย่างมหาศาล ที่สำคัญคือการช่วยเติมเต็ม ‘ตลาด’ โดยเฉพาะตลาดในประเทศกำลังพัฒนาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (filling in institutional void)

อย่างไรก็ตาม พลังอันยิ่งใหญ่ของแพลตฟอร์มก็ส่งผลกระทบต่อสังคมในด้านกลับ โดยอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมตามมาได้มากมายเช่นกัน

ดังนั้น แพลตฟอร์มดิจิทัลจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถูกกำกับดูแล ทว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญในประเทศไทยที่ศึกษาการกำกับดูแลแพลตฟอร์มส่วนมากเป็นนักเศรษฐศาสตร์ (economist) ทั้งที่นักเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเพียงกลุ่มเดียวที่ควรมีบทบาทในเรื่องนี้ ในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ประเทศแถบยุโรป นักวิจัยสายบริหาร (management scholar) ก็มีบทบาทไม่น้อยหน้าไปกว่านั้นเช่นกัน

การศึกษาแพลตฟอร์มในฝั่งเศรษฐศาสตร์และฝั่งบริหารมีความเก่าแก่พอๆ กัน งานชิ้นสำคัญในยุคบุกเบิกในการศึกษาแพลตฟอร์มของนักเศรษฐศาสตร์อย่าง Platform Competition in Two-sided Markets เมื่อปี 2003 ของ Jean Tirole ซึ่งต่อมากลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล อันที่จริงก็มีอายุพอๆ กับหนังสือ Platform leadership: How Intel, Microsoft and Cisco Drive Industry Unnovation ของ Annabelle Gawer แห่งมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ (University of Surrey) ที่ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2002 ทั้ง Annabelle และ Tirole ต่างเป็นนักวิชาการที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงด้วยกันทั้งคู่ แต่สำหรับประเทศไทย คนมักจะรู้จักงานของ Tirole และนักเศรษฐศาสตร์คนอื่นๆ ที่สนใจประเด็นการกำกับดูแลมากกว่า

บทความชิ้นนี้จึงขอชวนเปิดมุมมองของนักวิจัยสายบริหารในมิติการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ผ่านบทความเรื่อง Identifying the Patterns: Towards a Systematic Approach to Digital Platform Regulation ที่เพิ่งตีพิมพ์ในปลายปี 2022 โดย Alexander Gleiss และคณะ จุดเด่นของงานวิจัยชิ้นนี้คือการมองปัญหาอย่างองค์รวมผ่านการสังเคราะห์กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นจริงกว่า 211 กรณี และฉายภาพให้เห็นได้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลกำลังสร้างปัญหาอะไร ซึ่งจะนำพาไปสู่การออกแบบการกำกับดูแลแพลตฟอร์มที่เหมาะสมมากยิ่งขึ้น

กรอบความคิดว่าด้วยการแผ่อำนาจของแพลตฟอร์มดิจิทัล

ปัญหาที่เกิดจากแพลตฟอร์มมีอยู่สองลักษณะหลักๆ คือ (1) ปัญหาเกี่ยวกับแพลตฟอร์ม (platform-related problems) ซึ่งเกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างแพลตฟอร์ม ผู้กำกับนโยบาย และผู้ใช้ และ (2) ปัญหาเกี่ยวกับการผูกขาด (monopoly-related problems) ซึ่งเกิดจากการที่แพลตฟอร์มแผ่กระจายอำนาจออกไปนอกเหนือจากตลาดที่แพลตฟอร์มดำเนินการอยู่

โดยทั่วไป แพลตฟอร์มธรรมดาจะสร้างแค่ platform-related problem แต่ถึงจุดหนึ่ง แพลตฟอร์มอาจจะโตไปจนสามารถกินรวบตลาดหลักของตัวเองได้ และเริ่มที่จะสร้าง monopoly-related problem โดยแผ่อำนาจทั้งแนวตั้ง (vertical integration) และแนวนอน (horizontal diversification) จนกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่ที่ดำเนินการอยู่ในหลากหลายตลาด

แพลตฟอร์มมีปัญหาอะไร?

เริ่มที่ปัญหาจากแพลตฟอร์มลักษณะแรกคือ platform-related problem ปัญหาลักษณะนี้สามารถแบ่งย่อยออกได้เป็น 3 ชนิดด้วยกัน

ปัญหาชนิดแรกเกี่ยวโยงกับผู้กำกับดูแลแพลตฟอร์ม (regulator behavior) โดยเฉพาะเมื่อแพลตฟอร์มนั้นเป็นองค์กรที่มีการกระจายการดำเนินการไปทั่วโลก โดยปัญหาคือการร่วมมือกันระหว่างประเทศต่างๆ ในการกำกับดูแลแพลตฟอร์มอาจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยว่าปัจจัยหนึ่งคือประเทศต่างๆ อาจมีมีการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดแพลตฟอร์มให้เข้ามาลงทุนในประเทศตัวเอง โดยการให้ผลประโยชน์ทางด้านภาษีต่างๆ

นอกจากนี้กฎหมายอาจจะยังมีช่องโหว่ ด้วยว่าการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ ทำให้กฎหมายยังกำกับและดูแลแพลตฟอร์มได้อย่างไม่ทั่วถึง จนแพลตฟอร์มสามารถอาศัยช่องโหว่ตรงนี้ในการทำกำไร ยกตัวอย่างเช่นประเด็นที่ว่ารถยนต์ที่เข้าร่วมวิ่งกับแพลตฟอร์มเฉกเช่น Grab นั้น ควรมีใบอนุญาตแบบที่รถแท็กซีธรรมดามีหรือไม่ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าอาจจะมีกฎหมายถูกบังคับใช้อยู่ แต่กฎหมายก็อาจไม่ได้ถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะผู้กำกับดูแลอาจจะไม่เห็นปัญหาหรืออาจมีทรัพยากรไม่เพียงพอในการบังคับใช้ และนอกจากนี้ แม้ว่ากฎหมายจะได้รับการบังคับใช้จริง เช่น แพลตฟอร์มที่ละเมิดกฎอาจโดนปรับด้วยจำนวนเงินที่ค่อนข้างมาก แต่ก็อาจไม่ทำให้แพลตฟอร์มเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะแพลตฟอร์มอาจคิดว่าตัวเองสามารถสร้างกำไรมากกว่าค่าปรับที่เสียไป เช่น กรณีที่ Facebook โดนปรับเป็นมูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในกรณี Cambridge Analytica เมื่อปี 2019

ปัญหาชนิดที่สองคือแพลตฟอร์มสามารถที่จะใช้อำนาจในทางที่ผิดด้วยตัวของแพลตฟอร์มเอง (platform behavior) โดยแพลตฟอร์มอาจได้ประโยชน์จากความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูล (information asymmetries) ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าแพลตฟอร์มเก็บและนำข้อมูลไปใช้มากขนาดไหนและใช้อย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น Apple และ Google ที่เก็บข้อมูลการใช้แอปพลิเคชันในมือถือระบบ iOS และ Android ตลอดเวลาเพื่อทำให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น นอกจากนี้แพลตฟอร์มยังอาจพยายาม ‘ขัง’ (lock-in) ผู้ใช้ไว้ในแพลตฟอร์มของตัวเองผ่านกลไกด้านเครือข่าย (network effect) หรือการใช้เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเพื่อทำให้ผู้ใช้ติดการใช้แพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น แพลตฟอร์มยังมีสถานะของผู้สร้างกฎต่างๆ บนแพลตฟอร์มตัวเองอีก (platform governance) อย่างเช่น สื่อสังคมออนไลน์ที่มีอำนาจในการกำกับดูแลข้อมูลที่ถูกส่งผ่านในแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยการบล็อกบัญชีของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ Donald Trump ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง เป็นตัวสะท้อนว่าแพลตฟอร์มมีอำนาจที่จะกำหนดว่าผู้ใช้คนไหนสามารถเข้าถึงทรัพยากรอะไรบ้างบนแพลตฟอร์ม

ปัญหาชนิดที่สามเกี่ยวโยงกับผู้ใช้ (user behavior) โดยผู้ใช้อาจมีพฤติกรรมหละหลวมในขณะที่ใช้แพลตฟอร์ม เช่น อาจยินยอมแชร์ข้อมูลต่างๆ ให้กับแพลตฟอร์มอย่างง่ายดาย แม้จะรู้ถึงผลที่อาจเกิดขึ้นตามมาก็ตาม นอกจากนี้ยังรวมถึงประเด็นที่ว่าคนแต่ละรุ่นอาจจะมีบรรทัดฐาน (norm) ที่แตกต่างกัน เช่น เด็กรุ่นใหม่ๆ อาจต้องการที่จะย้ายการปฏิสัมพันธ์มาอยู่บนแพลตฟอร์มทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากคนรุ่นเก่า และยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมการใช้แพลตฟอร์มในทางผิดๆ ก็ทำให้ผู้คนใช้แพลตฟอร์มมากยิ่งขึ้นเช่นกัน เช่น การใช้แพลตฟอร์มเพื่อที่จะกระจายคอนเทนต์ละเมิดลิขสิทธิ์

เมื่อแพลตฟอร์มผูกขาด

ปัญหาจากแพลตฟอร์มอีกลักษณะหนึ่งอย่าง monopoly-related problems ก็สามารถแบ่งย่อยได้เป็น 3 ชนิดเช่นกัน

ปัญหาชนิดแรกคือการผูกขาดตลาดหลัก (core-market monopoly) โดยแพลตฟอร์มมีอำนาจในการต่อรองที่เหนือกว่าด้วยความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูล และอำนาจในการออกกฎแห่งการปฏิสัมพันธ์ในแพลตฟอร์ม ด้วยเหตุเช่นนี้เอง แพลตฟอร์มอาจสามารถทำกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่สินค้าของตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Amazon ที่ได้สร้างตลาดสำหรับขายสินค้าออนไลน์ (marketplace) ขึ้นมา โดยที่ตัวเองก็ผลิตสินค้าเพื่อขายในตลาดของตัวเองด้วย ดังนั้น Amazon จึงสามารถใช้ความได้เปรียบทางด้านข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะผลิตสินค้าได้โดนใจผู้ซื้อได้มากกว่าคู่แข่ง

ปัญหาชนิดที่สองคือการผูกขาดข้ามตลาด (cross-market monopoly) โดยเกิดขึ้นได้เมื่อแพลตฟอร์มมีสถานะเป็น ‘คนคุมประตู’ (gatekeeper) สู่ตลาดอื่น และอาจจะสนับสนุนสินค้าข้ามตลาด รวมทั้งลดราคาเพื่อกำจัดคู่แข่งได้ (predatory pricing) นอกจากนั้น แพลตฟอร์มขนาดใหญ่อาจดำเนินการในลักษณะที่ให้ความร่วมมือระหว่างกันด้วย (coopetition) เช่น Apple ใช้บริการ AWS ขณะที่ Google และ Facebook ก็กระทำการฮั้วกัน (cartel) ในอุตสาหกรรมการโฆษณา

เดิมนั้นเคยมีการคาดหวังกันว่า บรรดาแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อาจแข่งกันเอง แต่ประสบการณ์สอนให้รู้ว่าเป็นเรื่องยากที่แพลตฟอร์มเจ้าหนึ่งจะเข้าไปแข่งขันในตลาดหลักของแพลตฟอร์มเจ้าอื่น เช่น กรณีที่ Google ออกบริการสื่อสังคมออนไลน์ Google+ ซึ่งก็ไปไม่รอด โดยท้ายที่สุดแพลตฟอร์มขนาดใหญ่มักตัดสินใจทำการปิดกั้นไม่ให้ให้บริษัทรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมาได้ ด้วยการเข้าซื้อกิจการดาวรุ่ง หรือการสร้างสินค้าและบริการเลียนแบบในกรณีที่ไม่สามารถซื้อกิจการได้สำเร็จ เพื่อที่จะลดทอนภัยคุกคามต่อธุรกิจของตัวเอง

ปัญหาชนิดที่สามคือการผูกขาดฐานผู้ใช้ (user-base monopoly) โดยบริษัทที่จะสามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้จะต้องเข้าถึงผ่านแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ เช่น บางเว็บไซต์อาจไม่มีใครเห็นได้เลยถ้าไม่สามารถค้นหาเจอได้โดยผ่าน Google หรือบางแอปพลิเคชันอาจไม่มีผู้ใช้บริการเลยหากไม่ได้ถูกกระจายอยู่บน iOS หรือ Android หรืออาจไม่สามารถใช้งานบน Windows หรือ Mac ได้ การผูกขาดฐานผู้ใช้นั้นเกิดขึ้นเพราะผู้ใช้ถูก ‘ขัง’ (lock-in effect) ด้วยกลไกแห่งเครือข่าย (network effect) การผูกขาดในตลาดหลัก (core-market monopoly) และการผูกขาดข้ามตลาด (cross-market monopoly) นอกจากนี้แพลตฟอร์มยังเป็นเจ้าของข้อมูลผู้ใช้จำนวนมหาศาลด้วย ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากๆ ในยุคดิจิทัล

การแผ่อำนาจของแพลตฟอร์มดิจิทัล

แม้แพลตฟอร์มดิจิทัลจะลอยอยู่ในอากาศและไม่ได้สิ้นเปลืองทรัพยากร แต่เอาเข้าจริง แพลตฟอร์มพวกนี้ก็ถูกสร้างอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานที่มักจะเป็นพื้นที่สาธารณะ เช่น ระบบอินเทอร์เน็ต ดังนั้น การทำความเข้าใจอำนาจของแพลตฟอร์มจึงเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

Gleiss และคณะ เสนอภาพใหญ่ในการทำความเข้าใจการแผ่ขยายอำนาจของแพลตฟอร์ม โดยมองว่า แพลตฟอร์มขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะแผ่อำนาจในแนวตั้ง 3 ระดับ คือ (1) แพลตฟอร์มส่วนมากเป็นเจ้าของอุปกรณ์ที่จับต้องได้ (device layer) เช่น Apple ที่เป็นเจ้าของ MacBook และ iPhone ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ต (2) การเป็นเจ้าของอุปกรณ์ (device) ทำให้แพลตฟอร์มขนาดใหญ่สามารถที่จะควบคุม Operating System (OS) ที่จะถูกนำมาลงใน device ได้ และ (3) แพลตฟอร์มสามารถที่จะควบคุมแอปพลิเคชันที่ถูกนำมาลงใน device ต่างๆ อีกทีหนึ่ง (platform service layer) ดังนั้น แพลตฟอร์มขนาดใหญ่จึงเหมือนมีประตูที่สามารถเปิดเข้าสู่ฐานผู้ใช้

นอกจากการรวมหน่วยตามแนวตั้ง (vertical integration) การกระจายไปอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้อง (horizontal diversification) ก็มีความสำคัญสำหรับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ด้วย เพราะแพลตฟอร์มสามารถแผ่อำนาจไปสู่ตลาดใหม่ๆ ด้วยการสร้างระบบนิเวศใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ที่ใช้บริการของแพลตฟอร์มอยู่แล้วเข้าไปใช้งาน

โดยรวมแล้ว แพลตฟอร์มได้รับประโยชน์จากการเป็นแพลตฟอร์ม เช่น การที่แพลตฟอร์มมีข้อมูลเกี่ยวกับบริการบนแพลตฟอร์มมากกว่านักพัฒนาภายนอก (platform-related problem) และแพลตฟอร์มก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้ครองตลาดได้ เช่น จากการที่แพลตฟอร์มสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในกฎหมาย (core-market monopoly) แพลตฟอร์มธรรมดาจะแปลงสภาพเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่ด้วยทั้งการขยายทั้งแนวตั้งและแนวนอน และสร้างการผูกขาดขึ้นมาในตลาดอื่น ๆ (cross-market monopoly) รวมทั้งฐานลูกค้า (user-base monopoly) โดยกระบวนการนี้สามารถเห็นได้ชัดเจนจากโครงสร้างธุรกิจของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ต่างๆ เช่น Microsoft, Google, Facebook, Apple และ Amazon

ระบบนิเวศดิจิทัลและแพลตฟอร์ม จากมุมมองนักบริหาร

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มองแพลตฟอร์มในฐานะตัวกลางการจับคู่ระหว่างผู้ใช้เพื่อให้ผู้ใช้ได้ประสานผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน (matching) นักวิจัยสายบริหารมองแพลตฟอร์มในฐานะส่วนหนึ่งของระบบนิเวศดิจิทัล โดยวิเคราะห์ว่าสถาปัตยกรรม (architecture) ของแพลตฟอร์มเป็นอย่างไร และเชื่อมโยงกับระบบนิเวศดิจิทัลอย่างไร

นักบริหารมองว่าระบบนิเวศดิจิทัลประกอบด้วยชิ้นส่วนดิจิทัล (modules) ต่างๆ ที่ถูกเชื่อมเอาไว้ด้วยกัน (ผ่านตัวประสานที่เรียกว่า interface) และแพลตฟอร์มก็ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนเหล่านั้นเช่นกัน หากว่ามีชิ้นส่วนบางชิ้นที่มีความคงทน เปลี่ยนแปลงได้ยาก ขณะที่บางชิ้นส่วนสามารถที่จะถูกเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เช่น โทรศัพท์มือถือที่เราใช้อยู่ทุกวันที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย ต่างจากแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

เรายังสามารถวิเคราะห์ว่า ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่ถูกนำมาประกอบขึ้นเป็นแพลตฟอร์มนั้นก่อร่างกันเป็นชั้นๆ (layered) เช่น ในระดับอุปกรณ์ (devices layer) ในระดับระบบปฏิบัติการ (operating system layer) และในระดับแอปพลิเคชันที่ถูกสร้างโดยแพลตฟอร์ม (platform service layer) (ดังแสดงเอาไว้ในตารางข้างบน)

บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Apple ดำเนินการอยู่ในหลากหลายธุรกิจ (จนอาจเรียกว่านับไม่ถ้วน และมีความซับซ้อนสูงมาก) ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรศัพท์มือถือ (iPhone) ธุรกิจแล๊ปท๊อป (MacBook) และธุรกิจเครื่องมือสวมใส่ (iWatch) โดย Apple ได้สร้างระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันสำหรับเครื่องมือเหล่านั้น และยังสร้างระบบนิเวศสำหรับแต่ละสินค้าขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วยทั้งชิ้นส่วนแอปพลิเคชันที่บริษัทสร้างขึ้นมาเอง (เช่น Siri) และที่สร้างขึ้นมาโดยนักพัฒนาภายนอก

ในระบบที่แพลตฟอร์มสร้างขึ้นมา แพลตฟอร์มถือแต้มต่อนักพัฒนาภายนอก เพราะแพลตฟอร์มเป็นผู้กำหนดกฎการดำเนินการต่างๆ บนแพลตฟอร์ม และมีข้อมูลเกี่ยวกับบริการต่างๆ บนแพลตฟอร์มมากกว่า (platform-related problem) และก่อให้เกิดการขังผู้ใช้ไว้ในระบบนิเวศที่แพลตฟอร์มสร้างขึ้นมา (monopoly-related problem) ทำให้แพลตฟอร์มสามารถแผ่นำอาจและขยายตัวได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน (vertical integration และ horizontal diversification)

บทสรุป

เส้นทางการพัฒนาของแพลตฟอร์มดิจิทัลอาจเริ่มด้วยการเป็นแพลตฟอร์มขนาดเล็กธรรมดา จนขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะกินรวบตลาดในที่สุด ด้วยปัจจัยจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างแพลตฟอร์ม ผู้กำกับดูแลแพลตฟอร์ม และผู้ใช้แพลตฟอร์ม (platform-related problems) หลังจากนั้นแพลตฟอร์มจึงเริ่มแผ่อำนาจไปตลาดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตลาดหลักของตัวเอง โดยอาจเริ่มกระทำการรวมหน่วยตามแนวยืน (vertical integration) ไปจนสุดท้ายแล้วแพลตฟอร์มอาจสามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้โดยตรง พร้อมเกิดการขังผู้ใช้ไว้ในแพลตฟอร์ม (user-base monopoly) เมื่อแพลตฟอร์มมีลูกค้าอยู่ในมือแล้ว ตลาดหลักของแพลตฟอร์มจะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเอื้อให้แพลตฟอร์มขนาดเข้าไปในตลาดอื่นๆ (horizontal diversification) ได้อีกด้วย (monopoly-related problem)

ที่ผ่านมายังไม่มีใครดึงปัญหาต่างๆ ว่าด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาอยู่ในภาพเดียวกัน และแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของปรากฏการณ์ การเข้าใจภาพรวมของปัญหาที่แพลตฟอร์มสร้างทั้งสองแบบ (platform-related problem และ monopoly-related problem) และความเชื่อมโยงกับขนาดของแพลตฟอร์มดิจิทัล (vertical integration และ horizontal diversification) น่าจะเป็นก้าวหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการออกแบบการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งจะมีความสำคัญยิ่งขึ้นไปในเศรษฐกิจโลกในอนาคตอย่างแน่นอน

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

29 Nov 2023

ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้ : ทศ จิราธิวัฒน์

สำรวจธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ 76 ปีของอาณาจักรเซ็นทรัลในฐานะหลอดเลือดใหญ่ของภาคธุรกิจไทย 101 สนทนากับ ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูล ผู้มุ่งหมายอยากพาเซ็นทรัลและประเทศไทยไปเฉิดฉายบนเวทีโลก

กองบรรณาธิการ

29 Nov 2023

Economy

31 Jul 2023

เปิดเหลี่ยมมุม ‘service charge’ และ ‘ราคาบวกๆ’ เมื่อผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการที่ไม่ได้บริการ(?)

ราคาบวกๆ มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในความเป็นจริงนั้นเรามีสิทธิไม่จ่ายค่า service charge หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

31 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save