การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า : ความหวังใหม่ของสังคมไทย?

การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า : ความหวังใหม่ของสังคมไทย?

กนกนัย ถาวรพานิช เรื่อง

กฎหมายแข่งขันการค้าสำคัญอย่างไร

ประเทศไทยกำลังจะมีกฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ครับ !

กฎหมายฉบับนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราอย่างไร?

ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ต้องครอบคลุมทั้งมิติทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ สิทธิเสรีภาพทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของบุคคลต้องได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐอย่างเท่าเทียมกัน

ในทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยเผชิญปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ รวยกระจุก จนกระจาย อีกทั้งประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกว่าในบางธุรกิจ มีผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่มากอยู่ไม่กี่ราย ตัวเลือกในตลาดสินค้ามีอยู่ไม่มาก ผู้บริโภคสามารถใช้ “เสรีภาพของตนในการเลือก” ได้อย่างจำกัด

เมื่อสถานการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น กฎหมายจะต้องตรวจสอบหาสาเหตุของการผูกขาดว่าเกิดขึ้นเนื่องจากความพ่ายแพ้จากการแข่งขันซึ่งเป็นเรื่องปกติ หรือเกิดจากการกลั่นแกล้งกัน หรือมาจากการกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจหน้าใหม่เข้าสู่ตลาด

กฎหมายแข่งขันทางการค้ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเข้ามาทำหน้าที่คุ้มครองตลาดให้มีการแข่งขันอย่างเต็มที่ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการในราคาและคุณภาพที่หลากหลาย วางกติกาไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจกลั่นแกล้งระหว่างกัน ไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจตกลงร่วมมือกันในทางที่จำกัดการแข่งขัน

สำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความสามารถเหนือกว่าคู่แข่ง กฎหมายก็วางวินัยไม่ให้ใช้ ‘ความใหญ่’ นี้ไปเอาเปรียบคู่ค้าและผู้บริโภค แม้ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่จะอ้างว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าคู่แข่งและสามารถพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคที่ดีกว่า แต่ในมุมมองของกฎหมายแข่งขันทางการค้า การตรวจสอบพฤติกรรมได้ย่อมดีกว่าการมอบความไว้วางใจโดยไม่เข้าตรวจสอบ เช่นเดียวกับในทางการเมือง รัฐบาลที่ถูกตรวจสอบได้ย่อมดีกว่ารัฐบาลที่เรียกร้องความไว้วางใจแต่กลับเข้าตรวจสอบไม่ได้

สรุปได้ว่ากฎหมายแข่งขันทางการค้าเป็นแกนสำคัญของรัฐธรรมนูญทางเศรษฐกิจและมีเนื้อหาสะท้อนให้เห็นมิติด้านเศรษฐกิจของหลักนิติรัฐ

ลองนึกภาพดูนะครับว่าถ้าไม่มีกฎหมายนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ผลก็คือในตลาดจะมีผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ผูกขาดอยู่ไม่กี่ราย และเพื่อให้อำนาจผูกขาดทางเศรษฐกิจดำรงอยู่อย่างมั่นคง ผู้ประกอบธุรกิจก็จะพยายามเข้าไปมีอิทธิพลในพื้นที่ทางการเมืองเพื่อให้รัฐออกนโยบายที่ไม่เป็นผลเสียแก่ตนเอง ผลก็คือผู้ผูกขาดทางเศรษฐกิจได้แปรเปลี่ยนไปเป็นผู้มีอำนาจปกครองรัฐในความเป็นจริง ทำให้หลักประกันในความเท่าเทียมกันของสิทธิเสรีภาพในทางการเมืองของบุคคลย่อมถูกกระทบตามไปด้วย

นับตั้งแต่ประเทศไทยมีกฎหมายแข่งขันทางการค้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ปรากฏว่าไม่เคยมีผู้ประกอบธุรกิจรายใดเคยได้รับโทษตามกฎหมายนี้แม้แต่รายเดียว จนอดสงสัยไม่ได้ว่าจริงหรือที่ผู้ประกอบธุรกิจในไทยจะประพฤติตัวถูกต้องเรียบร้อยกันไปเสียหมด สวนทางกับหลายประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายตัวนี้กันอย่างจริงจังมากถึงขนาดที่ผู้ประกอบธุรกิจบางรายโดนสั่งให้จ่ายค่าปรับสูงถึงหลายหมื่นล้านบาท

ความด้อยประสิทธิภาพของกฎหมายแข่งขันทางการค้าของไทยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากกลไกการบังคับใช้กฎหมาย และจากบทบัญญัติที่กำหนดองค์ประกอบของความผิด จนนำไปสู่ความพยายามเป็นเวลามากกว่าสิบปีในการปฏิรูปกฎหมาย

แล้วเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ และให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป  คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำอย่างไรให้การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าในครั้งนี้เป็นความหวังใหม่ของสังคมไทยได้อย่างแท้จริง

ความเป็นอิสระของหน่วยงานและการสอบสวน

กฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ออกแบบให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้ามีความเป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและธุรกิจ โดยการกำหนดให้กรรมการต้องไม่มีตำแหน่งในองค์กรธุรกิจหรือสมาคมการค้า และไม่เป็นข้าราชการประจำ กรรมการ หรือที่ปรึกษาในหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินธุรกิจ ข้อห้ามเหล่านี้ไม่มีในกฎหมายเก่า

ตามกฎหมายใหม่ เราจะได้กรรมการที่ทำงานแบบเต็มเวลา ต่างจากเดิมที่เป็นแบบไม่เต็มเวลาเพราะตั้งบุคคลที่ทำงานในหน่วยงานอื่นมาเป็นกรรมการทั้งหมด ทำให้การนัดประชุมแต่ละครั้งเป็นเรื่องยากและไม่สามารถให้เวลากับการทำงานได้อย่างเต็มที่

ส่วนสำนักงานของคณะกรรมการซึ่งเป็นหน่วยงานสนับสนุน กฎหมายใหม่กำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถสร้างความเชี่ยวชาญของเจ้าหน้าที่ เพราะไม่ถูกโยกย้ายไปยังหน่วยงานอื่น อีกทั้งกฎหมายยังได้กำหนดระยะเวลาการสอบสวนการกระทำความผิดเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้การสอบสวนดำเนินไปอย่างไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาดังที่เคยเป็นมา

การเผยแพร่ข้อมูลแก่สาธารณะ

หลายคนชอบพูดว่าผู้ประกอบธุรกิจเจ้านั้นเจ้านี้เป็นผู้ผูกขาด แต่ผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่าเราจะหาข้อมูลเหล่านี้ได้จากที่ใด ภาครัฐมีข้อมูลที่เป็นทางการในเรื่องนี้หรือไม่

ผู้เขียนมีความเห็นว่าประเทศไทยยังไม่เคยมีข้อมูลที่เป็นทางการและเผยแพร่แก่สาธารณะเกี่ยวกับสภาพการแข่งขันในแต่ละตลาดสินค้า ทั้งๆ ที่คณะกรรมการมีเครื่องมือตามกฎหมายเก่าและยังคงมีอยู่ตามกฎหมายใหม่ นั่นคือ การสำรวจรายตลาดสินค้าหรือบริการในภาพรวม (sector inquiry) เพื่อให้เข้าใจสภาพการแข่งขันในตลาดโดยไม่ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียนก่อนและไม่ได้มุ่งสอบสวนหาผู้กระทำความผิด

หลายประเทศใช้เครื่องมือนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานก่อนนำไปสู่การสืบสวนและสอบสวนผู้กระทำความผิดต่อไป เช่น การสำรวจตลาดในธุรกิจค้าปลีกอาหารของเยอรมนี การสำรวจตลาด E-Commerce ของสหภาพยุโรป และล่าสุดฟิลิปปินส์กำลังเริ่มสำรวจตลาดปูนซีเมนต์

อีกเรื่องที่สมควรทำคือการเผยแพร่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการโดยละเอียด โดยคำนึงถึงการรักษาความลับทางธุรกิจ เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้สังคมได้ทราบ อันที่จริงมีคำวินิจฉัยจำนวนไม่น้อยที่คณะกรรมการเคยวินิจฉัยว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่มีความผิด แต่ข้อมูลที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสำนักงานยังไม่มีความละเอียดเพียงพอที่จะนำไปศึกษาและวิเคราะห์ต่อได้ว่าคณะกรรมการวินิจฉัยถูกต้องหรือไม่

การใช้กฎหมายกับรัฐวิสาหกิจ

ประเด็นใหญ่ที่กฎหมายเก่าถูกวิจารณ์อย่างมากคือการยกเว้นการใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้ากับรัฐวิสาหกิจแบบเหมาเข่ง ทั้งๆ ที่รัฐวิสาหกิจบางแห่งประกอบธุรกิจแข่งขันกับเอกชนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจพลังงาน เช่น การจำหน่ายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ

กฎหมายใหม่ได้แก้ปัญหานี้โดยการกำหนดให้ใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้ากับรัฐวิสาหกิจด้วย แต่จะยกเว้นให้เฉพาะ “การประกอบธุรกิจ” ของรัฐวิสาหกิจที่จำเป็นในการรักษาประโยชน์สาธารณะตามกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีเท่านั้น

ผู้เขียนมีความเห็นว่า ควรตีความข้อยกเว้นนี้อย่างจำกัดยิ่งว่า หากการปฏิบัติตามกฎหมายแข่งขันทางการค้าไม่ได้เป็นอุปสรรคแก่สมรรถภาพในการประกอบธุรกิจเพื่อรักษาประโยชน์สาธารณะ และไม่มีกฎเกณฑ์เฉพาะอื่นใดที่มีรายละเอียดและมาตรฐานสูงกว่ากฎหมายแข่งขันทางการค้าสำหรับการกำกับดูแล รัฐวิสาหกิจนั้นก็ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎหมายแข่งขันทางการค้าอยู่ดี

นั่นหมายความว่า หลังจากนี้ หากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้องการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้กับผู้ประกอบธุรกิจเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม ปตท. ไม่สามารถตั้งราคาจำหน่ายให้แตกต่างกันในระหว่างผู้ซื้อโดยไม่มีเหตุผลทางธุรกิจที่เหมาะสมรองรับ (price discrimination) มิฉะนั้นการกระทำอาจเข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิดก็ได้

อันที่จริง หากเราสามารถบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้ากับรัฐวิสาหกิจอย่างเต็มที่มาตั้งแต่แรก อคติที่ประชาชนส่วนหนึ่งมีต่อการประกอบธุรกิจของรัฐวิสาหกิจอาจจะเบาบางลงกว่านี้ก็ได้

การส่งเสริมการสร้างความเป็นกลางทางการแข่งขัน (competitive neutrality)

การจำกัดการแข่งขันทางการค้าอาจมาจากการกระทำของภาคเอกชนหรือจากกฎเกณฑ์และนโยบายของภาครัฐที่เอื้อประโยชน์เอกชนบางราย ที่ผ่านมาการกระทำของภาครัฐหลายอย่างเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันการเข้ามาประกอบธุรกิจการผลิตเบียร์เพื่อจำหน่าย การจำกัดโควต้าการนำเข้าลูกไก่โดยให้อยู่ในมือของกลุ่มธุรกิจไม่กี่รายโดยคณะกรรมการนโยบายพัฒนาไก่ไข่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board)

ถึงแม้ว่าเป้าหมายการสร้างการแข่งขันไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดจนแตะต้องเสียไม่ได้ แต่สิ่งที่คณะกรรมการควรทำให้สมกับความเป็นอิสระที่ได้มาคือ การข้อสังเกตต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ เพื่อให้การจำกัดการแข่งขันเป็นไปอย่างมีเหตุผลและถูกกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

กฎหมายใหม่ได้ให้อำนาจใหม่แก่คณะกรรมการ นั่นคือ การเสนอความเห็นเกี่ยวกับนโยบายของรัฐด้านการแข่งขันทางการค้า และการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการแข่งขันทางการค้า วัตถุประสงค์ของอำนาจใหม่นี้คือการมุ่งให้รัฐหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายสร้างความเป็นกลางทางการแข่งขันในระหว่างภาคเอกชนให้เกิดขึ้นจริงในประเทศ

การกระทำที่เป็นความผิด

กฎหมายห้ามการกระทำที่เป็นการจำกัดการแข่งขันอย่างสำคัญเอาไว้ 3 ประการด้วยกัน ได้แก่ การกระทำฝ่ายเดียว (ได้แก่ การใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิด และพฤติกรรมทางธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เป็นธรรม) การตกลงร่วมกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจทั้งที่เป็นและไม่เป็นคู่แข่งระหว่างกัน และการควบรวมกิจการ สำหรับการกระทำในสองส่วนแรก กฎหมายของหลายประเทศจะบัญญัติรายละเอียดต่อไปว่าการกระทำอะไรบ้างที่เป็นความผิด

กฎหมายใหม่ของไทยเลือกวิธีตามกฎหมายเก่า คือการบัญญัติประเภทของการกระทำที่เป็นความผิดสำหรับการกระทำในสองส่วนแรกเอาไว้ในลักษณะ “จำกัด” กล่าวคือ การกระทำจะเป็นความผิดเฉพาะเท่าที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น จนน่าสงสัยว่า ถ้าพฤติกรรมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปจนต่างกับพฤติกรรมที่กฎหมายบัญญัติห้ามไว้ แม้ว่าจะเป็นการจำกัดการแข่งขันเช่นกัน พฤติกรรมนั้นจะยังคงเป็นความผิดอยู่หรือไม่

ในประเด็นนี้ บางประเทศ เช่น ประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป และสิงคโปร์ เลือกใช้วิธีการกำหนดเพียง “ตัวอย่าง” ของการกระทำความผิดเท่านั้น เพื่อให้การตีความกฎหมายมุ่งสู่ประเด็นสำคัญว่าการกระทำใดๆ เป็นการลดหรือจำกัดการแข่งขันอย่างไม่มีเหตุผลหรือไม่

สำหรับประเทศไทย คงต้องคาดหวังให้คณะกรรมการใช้ความสามารถในการตีความกฎหมายตามหลักวิชา (ไม่ใช่อภินิหาร) ในการตีความกฎหมายที่บัญญัติเอาไว้อย่างจำกัดนี้ ให้ครอบคลุมพฤติกรรมทางธุรกิจใหม่ๆ ได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อยเลยทีเดียว

จับตากฎหมายลูก

ส่วนสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมผู้มีอำนาจเหนือตลาดและการควบรวมกิจการยังไม่สามารถใช้บังคับได้จริงจนกว่าจะมีกฎหมายลูกกำหนดรายละเอียดอีกครั้ง

ในอดีต แม้กฎหมายแข่งขันทางการค้ามีผลใช้บังคับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่ต้องรออีกถึง 7 ปีกว่าที่จะมีกฎหมายลูกมากำหนดองค์ประกอบของการเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด ทำให้ก่อนหน้านั้น แม้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาเกี่ยวกับการใช้อำนาจเหนือตลาดในทางที่ผิด คณะกรรมการก็ไม่สามารถตรวจสอบใดๆ ได้

ส่วนกฎหมายลูกที่วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการควบรวมกิจการยังไม่เคยได้รับการประกาศแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่มีการประชุมพิจารณาเรื่องนี้กันหลายครั้งมากเป็นเวลาหลายปี ทำให้การควบรวมกิจการหลายกรณีที่เป็นข่าว ไม่ได้รับการตรวจสอบ แม้ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการที่อาจจะนำไปสู่การจำกัดการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม เช่น การควบรวมกิจการโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีที่นำไปสู่การตั้ง UBC ในอดีต และการควบรวมภายในธุรกิจค้าปลีก ทั้งกรณีการซื้อกิจการห้าง Makro และห้าง Carrefour

จากประสบการณ์ในอดีต สังคมต้องจับตาต่อไปว่าหลังจากมีการประกาศบังคับใช้กฎหมายใหม่แล้ว จะมีการเตะถ่วงเวลาในการออกกฎหมายลูกที่จำเป็นเหล่านี้หรือไม่ และเนื้อหาของกฎหมายลูกเป็นเช่นไร

สำหรับเกณฑ์การเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาด (เข้าใจง่ายๆ ว่าคือผู้ประกอบการรายใหญ่เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งหมดในตลาด – ใหญ่ถึงขนาดที่ว่าอยู่เหนือแรงกดดันของการแข่งขันภายในตลาดได้ สามารถขึ้นราคาสินค้า ลดจำนวนสินค้า กระทั่งปรับลดหรือไม่ยอมพัฒนาคุณภาพสินค้าก็ยังได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวใคร) กฎหมายแข่งขันทางการค้าให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับส่วนแบ่งตลาด และยอดเงินขาย โดยการกำหนดว่าผู้มีอำนาจเหนือตลาดต้องเป็นผู้ที่มีส่วนแบ่งตลาด และยอดเงินขาย “เกินกว่า” เกณฑ์ที่คณะกรรมการประกาศกำหนดเป็นกฎหมายลูกต่อไป

สมมติว่ากฎหมายลูกฉบับใหม่กำหนดเกณฑ์ตามกฎหมายลูกเดิมคือต้องมีส่วนแบ่งตลาดตั้งแต่ 50% และยอดเงินขายตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีบริษัทหนึ่งในตลาดสินค้าหนึ่ง มีส่วนแบ่งตลาด “ต่ำกว่า” แต่ใกล้ 50% มาก มีส่วนแบ่งตลาดสูงเป็นอันดับหนึ่ง ทิ้งห่างคู่แข่งไปไกล และมียอดเงินขายเกินกว่า 1,000 ล้านบาท บริษัทนี้ก็จะไม่เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดเลย

น่าสงสัยว่า ในกรณีเช่นนี้ ทำไมกฎหมายไทยจึงไม่เปิดช่องให้มีการพิจารณาปัจจัยที่สำคัญอื่นๆ “เคียงคู่” ไปพร้อมกันกับส่วนแบ่งตลาดและยอดเงินขาย เช่น อุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด ความสามารถของผู้บริโภคหรือคู่ค้าในการติดต่อกับคู่แข่งรายอื่น การครอบครองข้อมูลที่สำคัญทางธุรกิจ (เช่น รสนิยมของผู้บริโภค) ซึ่งเป็นปัจจัยที่กฎหมายในต่างประเทศ ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาใช้พิจารณาด้วย

 ความทับซ้อนกันของเขตอำนาจศาล

ข้อบกพร่องอย่างสำคัญอีกประการหนึ่งของกฎหมายใหม่คือ การเปิดโอกาสให้ศาลปกครองและศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีเขตอำนาจทับซ้อนกันเหนือการกระทำความผิดเดียวกัน ซึ่งสร้างความเสี่ยงที่ศาลทั้งสองจะพิพากษาขัดแย้งกันเอง ทำให้อาจเกิดความไม่แน่นอนในการบังคับใช้กฎหมายและเป็นผลเสียต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดด้วย

สมมติว่าบริษัท A ถูกกล่าวหาว่ามีการใช้อำนาจเหนือตลาดไปในทางมิชอบ และคณะกรรมการวินิจฉัยว่ามีความผิดจริง เมื่ออัยการสั่งฟ้องคดี ศาลทรัพย์สินทางปัญญาจะเป็นผู้พิจารณาต่อไปว่าบริษัท A กระทำความผิดหรือไม่ แต่ถ้าในระหว่างที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญายังพิจารณาคดีไม่แล้วเสร็จ คณะกรรมการได้ออกคำสั่งให้บริษัท A ระงับการกระทำที่ถูกกล่าวหาไว้ก่อน หากบริษัท A ต้องการโต้แย้งคำสั่ง ศาลปกครองจะเป็นผู้พิจารณาว่าสมควรเพิกถอนคำสั่งหรือไม่โดยพิจารณาจากหลักฐานที่คณะกรรมการใช้กล่าวหาว่ากระทำความผิด กรณีจึงอาจเป็นไปได้ว่าศาลปกครองเห็นว่าหลักฐานเพียงพอแล้วและไม่เพิกถอนคำสั่ง แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาอาจเห็นในทางตรงกันข้ามว่าหลักฐานไม่เพียงพอให้เชื่อว่ามีการกระทำความผิดและพิพากษายกฟ้อง หากสถานการณ์เป็นเช่นนี้ บริษัท A คงสงสัยแน่ๆ ว่าการกระทำของตนเป็นความผิดจริงหรือไม่

ในประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศสที่มีการแยกระบบศาลปกครองออกจากระบบศาลยุติธรรม คดีเกี่ยวกับการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายแข่งขันทางการค้าจะอยู่ภายใต้อำนาจของระบบศาลยุติธรรมอย่างเดียว เพื่อป้องกันปัญหาความทับซ้อนกันของเขตอำนาจศาล

 กลไกการฟ้องคดีโดยเอกชนที่ถูกละเลย

การบังคับใช้กฎหมายโดยคณะกรรมการเป็นคนละเรื่องกับการเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่เอกชน เพราะค่าปรับที่ต้องจ่ายนั้นเข้ารัฐ ไม่ใช่ของผู้เสียหาย หากผู้เสียหายต้องการได้รับการชดเชยความเสียหายก็ต้องฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายเอาเอง

คดีตามกฎหมายแข่งขันทางการค้าเป็นคดีที่ซับซ้อน ยากในการเข้าถึงหลักฐานและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์ หากกฎหมายไม่มีกลไกสนับสนุนที่เพียงพอ ก็จะไม่มีผู้เสียหายรายใดเลยฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าเสียหาย เท่ากับว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการเยียวยา ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงยังไม่เคยมีกรณีที่ผู้เสียหายฟ้องเรียกให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมายแข่งขันทางการค้าแม้แต่คดีเดียว

กลไกสนับสนุนที่ควรมี ได้แก่ ในเรื่องของอายุความคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย หากมีการเริ่มกระบวนการพิจารณาโดยคณะกรรมการแล้ว กฎหมายควรกำหนดให้อายุความคดีแพ่งสะดุดหยุดลงจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของคณะกรรมการออกมาเสียก่อน และในเรื่องของค่าเสียหาย กฎหมายควรกำหนดให้กำไรที่ผู้กระทำความผิดได้มาจากการกระทำละเมิดและค่าใช้จ่ายตามความเหมาะสมที่ผู้เสียหายใช้ในการหลีกเลี่ยงหรือเยียวยาความเสียหาย เป็นปัจจัยทางเลือกหนึ่งที่สำคัญในการคำนวณค่าเสียหายได้ด้วย

น่าเสียดายที่ผู้ร่างกฎหมายใหม่ไม่เห็นความสำคัญของกลไกการฟ้องคดีโดยเอกชน ทำให้ไม่มีการปรับปรุงใดๆ ในเรื่องนี้เลย

ความพยายามในการอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ

กฎหมายใหม่อนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจที่สงสัยว่าการกระทำของตนจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ สอบถามไปยังคณะกรรมการเพื่อให้วินิจฉัยเป็นการล่วงหน้าได้ด้วย

กรณีนี้ผู้ร่างกฎหมายน่าจะได้รับอิทธิพลจากกฎหมายของสิงคโปร์และสหราชอาณาจักร แต่ในความเป็นจริง หากคณะกรรมการไม่ทำงานให้เห็นประจักษ์อย่างเต็มที่เสียก่อนเพื่อให้เกิดความรู้สึกเคารพกฎหมายในหมู่ผู้ประกอบธุรกิจ กลไกตัวใหม่นี้คงไม่มีความหมาย เพราะจะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมายถึงขนาดเกิดความรู้สึกว่าต้องยื่นคำร้องขอคำวินิจฉัยก่อนล่วงหน้าเพื่อให้ช่วยพิจารณาว่าการกระทำของตนจะเป็นความผิดหรือไม่

 ความท้าทายที่ต้องเผชิญ

กฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่จะช่วยแก้ปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริงหรือไม่?

ผู้เขียนมองว่ายังเร็วเกินไปที่จะตอบคำถามนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่าคณะกรรมการและศาลจะตีความกฎหมายไปในทิศทางใดและใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณา ประเด็นถกเถียงสำคัญที่อาจเกิดขึ้น เช่น

  • จะให้ความสำคัญกับใครมากกว่ากันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ รายย่อย (รวมทั้งเกษตรกร) ผู้บริโภค หรือว่าจะให้ความสำคัญกับการรักษาเสรีภาพทางเศรษฐกิจของบุคคลทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกันผ่านการรักษาตลาดให้มีการแข่งขัน
  • จะให้ความสำคัญด้วยหรือไม่กับการควบคุมระดับราคาสินค้าไม่ให้สูงเกินไปซึ่งเป็นเป้าหมายที่อาจขัดต่อการรักษาการแข่งขันในตลาด (ความเห็นส่วนหนึ่งมองว่าควรจำกัดการควบคุมเพดานราคาเฉพาะเวลาที่กลไกตลาดไม่ทำงานหรือมีอุปสรรคการเข้าสู่ตลาดสูงเท่านั้น)
  • หากการกระทำที่จำกัดการแข่งขันช่วยก่อให้เกิดผลดี เช่น ช่วยพัฒนาคุณภาพสินค้า เทคโนโลยีการผลิต ทำให้ราคาสินค้าถูกลง ข้ออ้างเรื่องประสิทธิภาพเหล่านี้จะใช้ยกเว้นหรือจำกัดความผิดได้หรือไม่ เพียงใด

ประเด็นคำถามทั้งหมดนี้ คณะกรรมการควรคำนึงถึงระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศประกอบกันไปด้วย

ลำพังการกำหนดให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมีความเป็นอิสระตามดังที่หลายฝ่ายฝันหาเป็นเพียงขั้นตอนเริ่มแรกที่สำคัญ ภาควิชาการต้องเตรียมความพร้อมในการศึกษาประสบการณ์ในต่างประเทศเพื่อเปรียบเทียบกับของไทย

และที่สำคัญที่สุดคือการเคลื่อนไหวของผู้บริโภคในสังคม หากเห็นว่าตัวเลือกในตลาดที่มีอยู่กำลังจะหายไปหรือขาดความหลากหลาย การส่งสัญญาณดังๆ ให้รับรู้กันทั่วทั้งสังคมจะช่วยกระตุ้นการทำงานของคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าได้อย่างมากทีเดียว

ประเทศไทยประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำและการผูกขาดทางเศรษฐกิจมานานมากแล้ว สังคมไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างเต็มที่เท่านั้น

 

หมายเหตุ:

อ่าน ร่าง พรบ.แข่งขันทางการค้าฉบับที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก่อนการพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ สนช. ได้ ที่นี่ (ฉบับที่ผ่าน สนช. แล้ว อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการควบรวมกิจการ และแก้ไขเลขมาตราบ้างตามที่จะประกาศเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการในราชกิจจานุเบกษาต่อไป)

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save