นโยบายกำไลอีเอ็มที่เชื่อกันว่ามีมนุษยธรรมกว่าการสั่งขังห้ามประกันนั้น เอาเข้าจริงก็กลายเป็นปัญหาใหม่ เมื่อผู้พิพากษาต้องเข้ามาร่วมตัดสินใจกับเจ้าตัวผู้ใส่กำไลอีเอ็มเองว่าจะอนุญาตให้เขาใช้ชีวิตได้ ‘ปกติ’ มากน้อยแค่ไหน
ไม่มีชีวิตปกติภายใต้กำไลอีเอ็ม มีแต่ปกติมากหรือน้อยกว่าเท่านั้น
บางราย อย่าง ตะวัน ตัวตุลานนท์ อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง การติดกำไลอีเอ็มมาพร้อมเงื่อนไขต้องอยู่ในบ้าน 24 ชั่วโมง
ลูกเกด-ชลธิชา แจ้งเร็วไม่ได้รับอนุญาตให้ถอดกำไลอีเอ็มชั่วคราวเพื่อเดินทางไปร่วมเป็นวิทยากรงานเวทีเสวนาวิชาการในการประชุมใหญ่ประจำปีของเครือข่ายประชาธิปไตยเอเชีย
นักกิจกรรมบางรายไม่ได้รับอนุญาตให้ถอดกำไลอีเอ็มไปเข้าเครื่อง MRI เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคทางระบบประสาทตัวเอง
บางรายถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน แต่สมัครงานออนไลน์ เมื่อสมัครได้แล้วจึงไปขออนุญาตออกจากบ้านเพื่อทำงานประกอบอาชีพก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ตอนสมัครงานไม่ได้ขออนุญาตก่อน
คำสั่งทั้งหมดนี้ไม่ได้สั่งโดยคนที่ใจคอโหดร้ายทารุณเป็นพิเศษเลย สั่งโดยคนธรรมดาเหมือนคนจำนวนนับสิบๆ ล้านในประเทศนี้ ที่น่าจะโตมาอย่างธรรมดา เข้ารับการศึกษาสูงสุดที่ประชาชนคนหนึ่งจะแสวงหาได้และทำงานสุจริต เป็นสมาชิกครอบครัวที่ปกติ แต่คำสั่งที่ออกมามีผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
อะไรทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งออกคำสั่งที่โหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้
คนธรรมดากับการตัดสินใจที่โหดร้ายเหมือนไม่ใช่คน
การทดลองในหัวข้อความโหดร้ายของคนธรรมดา ต้องเท้าความถึงงานสองชิ้นที่ชื่อเสียงมาก คือ การทดลองมิลแกรม (Milgram’s experiment on obedience to authority) ซึ่งทดสอบเรื่องความเชื่อฟังต่ออำนาจ โดยนักจิตวิทยา Stanley Milgram ซึ่งอาสาสมัครถูกขอให้ช่วยนักวิจัยกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่กลุ่มทดลองเรื่องการทดสอบระบบความทรงจำ ซึ่งกระแสไฟฟ้านั้นเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่นักวิจัยนั้นยืนยันว่ากลุ่มทดลองนั้นปกติดี ถึงแม้กลุ่มทดลองนั้นจะเริ่มกรีดร้องโหยหวนขอความเมตตาให้หยุดปล่อยกระแสไฟฟ้าเสียที
แท้จริงการทดลองทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง ไม่มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าจริงและการกรีดร้องก็เป็นการแสดง การทดลองจริงๆ คือตัวอาสาสมัครนั่นเอง อาสาสมัครที่มา ‘ช่วย’ ด้วยการกดปุ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าตามคำสั่งของนักวิจัยอย่างเคร่งครัด โดยละเลยสัญญาณวิกฤตของเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า ข้อสรุปหนึ่งที่ได้จากการทดลองคือ คนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นั้นสามารถเชื่อฟังคำสั่งและทำตามคำสั่งที่นำไปสู่ผลเลวร้ายที่สุดได้ไม่ยากเย็นอะไร
งานของมิลแกรมถูกนำไปใช้ประกอบการวิเคราะห์เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซีด้วย เพื่อพยายามอธิบายว่า เหตุใดคนเป็นแสนๆ คนจึงเชื่อฟังพรรคนาซีแล้วกระทำการอันโหดร้ายหมือนไม่ใช่คนเช่นนั้นได้
งานทดลองอีกชิ้น คือ การทดลองผู้คุมนักโทษ (Stanford Prison Experiment) ซึ่งจำลองเรือนจำและเอาคนธรรมดามาเล่นบทผู้คุมและนักโทษเป็นเวลาสองสัปดาห์ ผลที่สุด การทดลองนี้ต้องยกเลิกกลางคันเพราะเมื่อมาถึงครึ่งทางพบว่า ผู้คุมจำแลงนั้นได้แสดงความทารุณโหดร้ายต่อนักโทษจำแลงจนเกินจะยอมรับได้ การทดลองครั้งนี้ชี้ว่า ความทารุณโหดร้ายนั้นสามารถถูกสร้างขึ้นได้อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพราะศีลธรรมส่วนตัวของปัจเจกแต่ละคน ใครก็ตามที่ถูกระบบมอบเงื่อนไขให้ก็สามารถกลายเป็น ‘ผู้คุมเรือนจำ’ ได้ในที่สุด
งานทดลองผู้คุมนักโทษนี้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ทรมาณนักโทษในเรือนจำอาบู กราอิบ (Abu Graib) ในอิรัก เมื่อทหารหนุ่มๆ สาวๆ จำนวนไม่น้อยร่วมกันทรมานนักโทษด้วยลักษณะการอุจาดต่างๆ จนเป็นที่อื้อฉาว
การทดลองทั้งสองงานนี้ไม่ใช่ไม่มีที่ติ มีผู้พยายามอ่านผลการทดลองและตีความมันใหม่ หรือวิจารณ์วิธีวิทยาที่ใช้ แต่ผลการทดลองก็ยังเป็นสิ่งเตือนใจมนุษยได้เสมอว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากคนธรรมดาหลุดเข้าไปในระบบที่สนับสนุนให้เขาแสดงด้านที่เจริญน้อยกว่าของตัวเองออกมาโดยไม่มีอะไรฉุดรั้งเอาไว้
อันความกรุณาปรานี
เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผู้พิพากษารัฐเพนซิลเวเนียมีคำสั่งอนุญาตให้คุณไรลีย์ วิลเลียมส์ออกจากบ้านไปร่วมงาน Renaissance Faire ได้
ความสำคัญคือคุณไรลีย์นี้เป็นผู้ต้องหาสำคัญในคดีร้ายแรง จากคดีจลาจลบุกเมืองหลวง The Capitol Riot เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2020 และคุณไรลีย์เองทำผิดฉกรรจ์ด้วยการขโมยคอมพิวเตอร์ของแนนซี เพโลซี ซึ่งบรรจุข้อมูลสำคัญของชาติไว้ จึงถูกจับขัง จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วศาลจึงสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว ภายใต้เงื่อนไขห้ามออกจากบ้านยกเว้นเพื่อไปทำงาน และกิจกรรมอื่นๆ
ซึ่งกิจกรรมอื่นๆ นั้นดูเหมือนว่าจะรวมถึงการไปร่วมงานแฟร์นี้ด้วย งานนี้เป็นงานสำหรับผู้สนใจในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการในยุโรป มีแต่งคอสเพลย์เป็นคนโบราณ และแสดงละครต่างๆ
ก่อนหน้านี้ อัยการก็ไม่ได้คัดค้านหากคุณไรลีย์ต้องการออกจากบ้านไปเที่ยวสักวันเต็มๆ
พูดกันตรงไปตรงมา งานแบบนี้ ไม่ไปก็ไม่ตาย ไม่เกี่ยวกับการดำรงชีพ เป็นงานสำหรับหญิงสาวที่สนใจแฟนตาซีหน่อยๆ แต่ศาลก็ให้ จะให้เพราะเหตุใดก็เหลือจะคาดเดา ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะศาลเป็นมืออาชีพ เคารพหลักการที่ว่า บุคคลต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ก็ได้ หรืออาจจะเพราะมีเมตตากับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็ได้ จึงเข้าใจว่า มนุษย์ต้องการอะไรบ้างเพื่อการดำรงชีวิตที่ดี ในระบบที่ออกแบบมาดีแล้ว ผู้พิพากษาสามารถใช้อำนาจด้วยเมตตาง่ายกว่า
ระบบที่ผลิตผู้คุมเรือนจำ
เมื่อเราเริ่มจากข้อสันนิษฐานที่ว่า ความโหดร้ายเป็นเรื่องของระบบ ไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคล คำถามคือเราจะเข้าใจระบบนั้นได้อย่างไร
ข้อสันนิษฐานเรื่องระบบ ย้อนแย้งอย่างยิ่งกับภาพลักษณ์ของวงการผู้พิพากษาตุลาการ ที่เน้นคุณธรรมจริยธรรมศีลธรรม ความกรุณาเมตตาปรานี ยิ่งทำให้การศึกษาระบบตุลาการเป็นเรื่องจำเป็นยิ่งขึ้น
อุดมการณ์ใดที่ตุลาการยึดถือ และกลไกใดที่ใช้ปลูกฝังอุดมการณ์ลงไปในสมาชิกของฝ่ายตุลาการ เขาอบรมอะไรกัน เนื้อหาสะท้อนวิธีคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพ และอาญาสิทธิของศาลอย่างไร เมื่อเริ่มปฏิบัติงาน ศาลมีกลไกภายในที่เอาไว้จัดการกับผู้ที่ลุแก่อำนาจหรือไม่ มีประสิทธิภาพไหม การลุแก่อำนาจแบบไหนถูกลงโทษ แบบไหนอนุญาตให้ใช้ได้ มีข้อยกเว้นในการควบคุมการใช้อำนาจหรือไม่ ถ้ามี อำนาจตัดสินใจจะยกเว้นหรือไม่ยกเว้นอยู่ที่ใครบ้าง สำคัญที่สุดคือ เขาทำให้คนในระบบเชื่อฟังได้อย่างไร และมีกลไกใดทำโทษคนที่ไม่ลุแก่อำนาจ หรือไม่เชื่อฟังอำนาจบ้างหรือไม่
คำถามแบบนี้ ความรู้นิติศาสตร์ที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ การวิเคราะห์คำพิพากษาไม่มีประโยชน์ ต้องใช้ความรู้สาขาอื่นเข้ามาช่วย โดยตั้งคำถามกับกับคนและระบบที่แสนจะบริสุทธิ์ยุติธรรมนี่เอง