ขอแสดงความไม่ยินดีกับผู้พิพากษาใหม่

แทบทุกครั้งหลังจากที่มีการประกาศผลสอบผู้พิพากษา (หรือที่เรียกกันว่าผู้ช่วยผู้พิพากษา) บรรดาคณะนิติศาสตร์ (บางแห่งอาจใช้ชื่อว่าสาขาหรือสำนักวิชานิติศาสตร์) ในสังคมไทยจำนวนมากก็จะพากันแสดงความยินดีกับศิษย์เก่าของตนเองที่สามารถสอบผ่านเข้าไปเป็นตุลาการได้สำเร็จ

เป็นที่ยอมรับกันว่าในบรรดาวิชาชีพด้านกฎหมาย การสอบเข้าไปเป็น ‘ท่าน’ นั้นมีความยากลำบากอยู่ไม่น้อย ผู้สอบต้องใช้เวลาทุ่มเทกับการอ่านตำรา ท่องจำตัวบทกฎหมาย และท่องคำพิพากษาศาลฎีกา ที่มีเนื้อหาครอบคลุมกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกฎหมายสี่มุมเมือง (กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา) รวมถึงเชื่อกันว่าการสอบเป็นผู้พิพากษามีความยากมากกว่าเมื่อเทียบกับการสอบงานกฎหมายด้านอื่นๆ

นี่จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า เมื่อลูกศิษย์จากสถาบันของตนสามารถสอบผู้พิพากษาผ่าน ก็ย่อมต้องแสดงความชื่นชม ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพด้านการเรียนการสอนของคณะนิติศาสตร์แห่งนั้นว่าสามารถที่จะผลิตบัณฑิตนิติศาสตร์ที่มีคุณภาพได้ ในสถาบันหลายแห่ง จำนวนคนที่สอบผ่านจึงกลายเป็นเครื่องบ่งชี้คุณภาพของสถาบัน

แต่การสอบผ่านจนเป็น ‘ท่าน’ ได้ คือสิ่งที่สถาบันการศึกษาควรจะต้องแสดงความยินดีจริงๆ หรือ

มักเป็นที่เข้าใจกันว่าตำแหน่งผู้พิพากษาเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติและมีผลตอบแทนมากกว่าวิชาชีพกฎหมายอื่นๆ เรื่องผลตอบแทนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ในห้วงเวลาปัจจุบัน เพราะภายหลังการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาอย่างเป็นทางการ แต่ละคนก็จะสามารถสะสมผลประโยชน์และความมั่งคั่งได้เหนือกว่าข้าราชการอื่นเป็นอย่างมาก (อาจมีข้อยกเว้นก็เพียงอาชีพนายทหารระดับสูง) การทำงานเพียงห้าปีสิบปีก็อาจมีเงินเดือนมากกว่าข้าราชการฝ่ายอื่นที่ทำงานจนถึงวัยเกษียณ แต่ก็นั่นแหละ ผลตอบแทนอันมากมายไม่ได้หมายความว่าจะนำมาซึ่งเกียรติอย่างฉับพลัน

อะไรคือ ‘เกียรติ’ ของผู้พิพากษาที่ทำให้อาชีพนี้ควรต้องได้รับความเคารพและการยกย่องจากผู้คนในสังคม

โดยทั่วไป หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้พิพากษาคือการชี้ขาดข้อพิพาทต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และการตัดสินนั้นจะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นกลางและความเป็นอิสระ สาธารณชนย่อมคาดหมายว่าจะมีอำนาจตุลาการซึ่งทำหน้าที่บนหลักวิชาความรู้ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจหรือการชี้นำของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้ข้อพิพาทต่างๆ ยุติลงได้ด้วยเหตุผล และนำมาซึ่งการยอมรับอย่างกว้างขวาง

ยิ่งเป็นข้อพิพาทที่ฝ่ายหนึ่งคือรัฐและอีกฝ่ายคือสามัญชนธรรมดา ก็ยิ่งเป็นที่คาดหวัง เพราะผู้พิพากษาเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐ จึงย่อมเป็นที่หวาดระแวงว่าจะทำหน้าที่ในทางสนับสนุนฝ่ายผู้ถืออำนาจ ดังนั้นการพยายามสร้างความเป็นอิสระจึงถือเป็นประเด็นสำคัญของการจัดวางอำนาจตุลาการในสังคมสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมแบบเสรีประชาธิปไตย การทำหน้าที่ซึ่งต้องขัดแย้ง คัดค้าน หรือจำกัดการใช้อำนาจรัฐ ได้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมีเกียรติของผู้พิพากษา

หลายประเทศที่ให้การยกย่องตำแหน่งผู้พิพากษาก็เป็นผลมาจากการทำหน้าที่ซึ่งต้องยืนอยู่ตรงกันข้ามกับอำนาจรัฐ นักเรียนกฎหมายที่ได้เล่าเรียนถึง ‘เกียรติประวัติ’ ของฝ่ายตุลาการก็คงทราบกันดีว่าล้วนสัมพันธ์กับการทำหน้าที่ในลักษณะเช่นนี้

ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีคำพิพากษาของศาลสูงสุดคดี Miranda v. Arizona 1966 ที่สหรัฐฯ ซึ่งคำตัดสินนี้ได้จำกัดการใช้อำนาจจับกุมของเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะต้องมีการแจ้งและแจงสิทธิเบื้องต้นแก่ผู้ถูกจับกุม มิฉะนั้นคำให้การใดๆ จะไม่สามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานยืนยันความผิดในชั้นศาลได้ ภายหลัง คำวินิจฉัยนี้ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแนวทางการใช้อำนาจของตำรวจอย่างมาก เหมือนกับที่เราสามารถพบเห็นในหนังฮอลลีวูดหลายเรื่อง คือเมื่อมีการจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว ตำรวจต้องพูดประโยคแรกออกมาว่า “you have the right to remain in silent.”

คำพิพากษานี้ถือเป็นหนึ่งในคดีสำคัญท่ามกลางอีกหลากหลายคดีที่นำมาซึ่งการจำกัดการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ในฐานะนักเรียนกฎหมาย ผู้เขียนพยายามนึกถึงคำตัดสินในลักษณะเช่นนี้ว่ามีอยู่มากน้อยเพียงใดในสังคมไทย แล้วก็พบว่าไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก

ตรงกันข้าม แม้ตำแหน่งผู้พิพากษาในหลายประเทศจะมีอำนาจ ผลประโยชน์ และผลตอบแทน แต่ก็ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ เพราะการทำหน้าที่ของคนกลุ่มนั้นเป็นไปเพียงเพื่อตอบสนองต่อผู้ถืออำนาจรัฐ ผู้พิพากษาไม่ได้เป็นอะไรที่มากไปกว่าเนติบริกร หรือเป็นเพียงโจรถือกฎหมายที่พร้อมจะรับใช้ผู้มีอำนาจด้วยการบิดเบือนกฎหมายที่อยู่ในมือ

แล้วผู้พิพากษาในสังคมไทยได้แสดงบทบาทที่ดำเนินไปในทิศทางใดเป็นสำคัญ ระหว่างการรับใช้ผู้มีอำนาจรัฐ หรือการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต สิทธิเสรีภาพของประชาชน?  

ไม่ต้องกล่าวถึงท่าทีที่มีต่อการรัฐประหาร ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่าศาลไทยได้ให้การรับรองกับคณะรัฐประหารที่กระทำการสำเร็จรวมถึงการใช้อำนาจที่ติดตามมา จำกัดเฉพาะห้วงเวลาทศวรรษที่ผ่านมา มีการแสดงความเห็นและการโต้แย้งต่อการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและยังคงสืบเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เป็นปัญหาระหว่างรัฐและประชาชน จะพบว่ามีคำถามจำนวนมากเกิดขึ้นนับตั้งแต่การพิจารณาในเรื่องการประกันตัว การรับฟังพยานหลักฐานชั้นศาล การวางตนของผู้ตัดสิน คำวินิจฉัยที่ขัดกับหลักการทางกฎหมาย ประเด็นปัญหาต่างๆ เหล่านี้มีอยู่มากมายในคดีที่กระจัดกระจายไปหลากหลายศาล ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ แม้กระทั่งศาลฎีกา

ลำพังการขอประกันตัวในคดีที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของคณะราษฎรในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็มีประเด็นถกเถียงเยอะมาก ไม่ต้องรวมไปถึงประเด็นอื่นที่อาจต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือนแรมปี หากจะสาธยายอย่างละเอียดให้ครบถ้วน

ทั้งหมดก็ล้วนมาจากบรรดาเหล่าผู้พิพากษา อาชีพที่คณะนิติศาสตร์ได้พากันแห่แหนแสดงความยินดีเมื่อศิษย์ของตนสามารถสอบผ่านได้ แต่จะมีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเขาและเธอจะไม่กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานที่สร้างความกังขาให้กับสังคมเหมือนกับที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ไม่ใช่เพียงแค่การชื่นชมกับผู้สอบผ่านผู้พิพากษาใหม่เท่านั้น การยึดติดอยู่กับตำแหน่งแห่งที่ในแวดวงตุลาการของบรรดาคณะนิติศาสตร์ในสังคมไทยก็เป็นสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ เมื่อบุคคลหนึ่งได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง หรือตำแหน่งใหญ่โตในระบบราชการ การดำรงตำแหน่งเช่นนี้จะกลายเป็นประกาศนียบัตรรับรองความสามารถได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องไปพิจารณาว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ไปในทางที่เป็นประโยชน์หรือก่อให้เกิดปัญหาในด้านลบขนาดไหน และยังสามารถรับประกันได้เลยว่าภายในชั่วระยะเวลาไม่นาน คณะนิติศาสตร์ที่บุคคลนั้นสำเร็จการศึกษามา จะต้องจัดหาตำแหน่งศิษย์เก่าดีเด่นหรืออะไรในทำนองที่คล้ายคลึงกัน มามอบให้บุคคลนั้นอย่างแน่นอน

การมีตำแหน่งแห่งที่ของการเป็นผู้พิพากษาอาจไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเสมอไปก็ได้ ถ้าในอนาคตบุคคลนั้นแปรสภาพไปเป็นเนติบริกรเพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจ จะดีกว่าหรือไม่ที่หากจะมีการแสดงการยกย่องและชื่นชมต่อนักกฎหมายคนใด มันควรเกิดขึ้นจาก ‘ผลงาน’ ที่บุคคลนั้นได้กระทำ ว่าได้ก่อให้ประโยชน์โภชผลแก่ผู้คนในสังคมกว้างขวางเพียงใด

ปัญญาชนในคณะนิติศาสตร์จำนวนไม่น้อยเบื่อหน่ายกับความบิดเบี้ยวของระบบกฎหมายไทยในห้วงเวลาปัจจุบัน บางทีจุดเริ่มต้นหนึ่งที่เราอาจพอช่วยกันทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือ ‘การร่วมกันยกย่องนักกฎหมายที่ควรยกย่อง’ ไม่ใช่ยกย่องแค่นักกฎหมายในแบบที่เคยปฏิบัติกันมาจนกลายเป็นพิธีกรรมที่ไร้ความหมายใดต่อสังคม และในทางกลับกันก็ควรกล้าที่จะร่วมกันคว่ำบาตรนักกฎหมายที่กลายเป็นเนติบริกรไปด้วยเช่นกัน

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save