แม้ ‘วิสามัญฆาตกรรม’ อันมีความหมายถึงการตายของบุคคลภายใต้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐจะถือเป็นเหตุการณ์ที่ต้องมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด เนื่องจากความตายดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากการใช้อำนาจหน้าที่เกินกว่าขอบเขตอำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
เช่น การเข้าจับกุมตัวบุคคลผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดจนทำให้มีการตายเกิดขึ้น ซึ่งมักเป็นไปโดยเจ้าหน้าที่มักให้เหตุผลว่าเนื่องจากผู้ต้องหาได้ทำการต่อสู้ โดยทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องป้องกันตนเองกระทั่งมีการสังหารอีกฝ่ายหนึ่งเกิดขึ้น
การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐกรณีของการวิสามัญฆาตกรรมเป็นเรื่องที่สามารถได้ยินได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ดังจะพบว่ามีการรายงานข่าวถึงการยิงผู้ต้องหาเสียชีวิตเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การวิสามัญกรณีของ ‘หน่อง ท่าผา’ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืนภายหลังตกเป็นผู้ต้องหาว่ายิงนายตำรวจในงานเลี้ยงจึงอาจไม่ใช่เหตุการณ์ที่ชวนให้ประหลาดใจแต่อย่างใด (แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนจะเห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวนี้)
ตรงกันข้าม นี่คืออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความจริงว่า ‘วิสามัญฆาตกรรม’ ในสังคมไทยเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน
ต้องไม่ลืมว่าการวิสามัญฆาตกรรมก็คือการทำให้บุคคลหนึ่งถึงแก่ความตายโดยที่ยังไม่ได้มีการตรวจสอบถึงข้อกล่าวหาที่มีต่อบุคคลนั้นๆ หรือกล่าวได้ว่ามันคือการลงโทษในแบบเดียวกันกับประหารชีวิต แต่เป็นการลงโทษโดยยังไม่มีกระบวนการพิสูจน์อย่างโปร่งใสผ่านกระบวนการยุติธรรมแต่อย่างใด การกระทำในลักษณะนี้จึงควรต้องถูกควบคุม ตรวจสอบ รวมทั้งความรับผิดอย่างเข้มงวด การปล่อยให้การใช้อำนาจนอกขอบเขตกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่รัฐสามารถเกิดขึ้นได้ตามอำเภอใจ ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากการยอมให้รัฐกลายเป็นเพียงแก๊งมาเฟียอีกประเภทหนึ่งเท่านั้น
คำถามสำคัญที่ควรต้องร่วมกันขบคิดก็คือว่าเพราะเหตุใดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้จึงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่ยากลำบากในสังคมแห่งนี้
ในด้านหนึ่ง เมื่อมีการวิสามัญฆาตกรรมเกิดขึ้น ผู้ตกเป็นเหยื่อเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนค้ายา ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ผู้ทำธุรกิจสีดำสีเทา รวมทั้งได้ต่อสู้ขัดขืนในระหว่างการเข้าจับกุมตัว การสังหารด้วยน้ำมือเจ้าหน้าที่จึงเป็นไปเพราะความจำเป็น โดยเฉพาะการป้องกันตนเองจากการต่อสู้ การป้ายสีกับคนตายมีผลไม่น้อยที่ทำให้วิสามัญฆาตกรรมดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความสนใจของผู้คน หรืออาจเป็นความรู้สึกว่า ‘ก็สมควรแล้ว’ ที่จะต้องได้รับการปฏิบัติแบบนั้น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง เฉพาะอย่างยิ่งกับกระบวนการในการตรวจสอบเพื่อค้นหาความจริงของเหตุการณ์ว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้อำนาจตามอำเภอใจหรือเป็นการป้องกันตัวแบบไม่อาจหลีกเลี่ยง ที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะทำให้เกิดการตรวจสอบในกระบวนการยุติธรรมให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ปรากฏในขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพและการไต่สวนการตาย
สำหรับการชันสูตรพลิกศพ ได้มีการออกแบบให้มีองค์กร 4 ฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม อันประกอบด้วยตำรวจ อัยการ หมอ และฝ่ายปกครอง บนความคาดหวังว่าองค์กรที่หลากหลายจะสามารถช่วยทำให้การดูร่องรอยจากศพดำเนินไปตามหลักวิชา โดยไม่ถูกครอบงำไว้เพียงจากฝ่ายตำรวจซึ่งอาจเป็นคู่พิพาทกับผู้ตาย อันอาจชวนให้สงสัยในความเป็นกลางในการทำหน้าที่
ส่วนการไต่สวนการตาย ได้มีการปรับแก้กฎหมายเพื่อทำให้การค้นหาความจริงในการตายว่าเกิดขึ้นโดยมี ‘เหตุและพฤติการณ์’ ของการตายไว้อย่างไร มีการให้อำนาจเชิงรุกแก่ศาลในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเหตุวิสามัญฆาตกรรมที่เกิดขึ้น
ความคาดหวังในการปรับแก้ด้วยความเชื่อว่ากระบวนการมีส่วนร่วมจากหลายฝ่ายจะทำให้เกิดการตรวจสอบระหว่างกัน หรือการคาดหวังว่าศาลอันเป็นองค์กรที่เชื่อกันว่ามีความเป็นอิสระและมีความเป็นกลางจะทำให้เกิดการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา ก็เป็นเพียงความเชื่ออย่างผิวเผินโดยไม่ได้ตระหนักว่าอุดมการณ์ของการเป็นกลไกรัฐจะมีพลังอำนาจเหนืออย่างสำคัญ กระบวนการตรวจสอบการตายจึงอาจไม่ได้ทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติมากนัก
ความพยายามปรับแก้กระบวนการยุติธรรมส่งผลต่อการค้นหาความจริงมากน้อยเพียงใด เหตุการณ์หลายเหตุที่เกิดขึ้นก็อาจเป็นคำตอบให้ได้
คดีที่เคยโด่งดังในอดีต ดังกรณีของโจ ด่านช้าง ซึ่งถูกวิสามัญฆาตกรรมด้วยเหตุว่าต่อสู้ขัดขืนทั้งที่ถูกใส่กุญแจมือและมีตำรวจหลายสิบนายเข้าควบคุมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว จบลงด้วยนายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวในปฏิบัติการครั้งนั้นต่างเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเป็นอย่างดี กระทั่งเกษียณอายุราชการด้วยตำแหน่งระดับสูงในยศพลตำรวจเอก
สำหรับกรณีชัยภูมิ ป่าแส ที่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทหารยิงเสียชีวิตบริเวณด่านตรวจเมื่อ พ.ศ. 2560 ก็เกิดขึ้นด้วยการอ้างว่ามีการขัดขืนต่อสู้การจับกุมในระหว่างตรวจค้นยาเสพติด ทำให้เกิดการยิงป้องกันจนผู้ต้องสงสัยถูกยิงตาย ผู้บังคับบัญชาระดับสูงจะยืนยันว่าได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดรวมทั้งคิดว่าการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างเหมาะสม แต่ในชั้นศาลก็ไม่มีการเรียกให้นำหลักฐานดังกล่าวมาแสดงในการไต่สวนการตาย แม้ทางญาติผู้ตายจะเรียกร้องก็ตาม
เช่นเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็เกษียณอายุราชการในตำแหน่งระดับสูง ไม่มีบุคคลใดต้องรับผิดชอบต่อการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าอาจมีบางกรณีที่ผู้สูญเสียอาจสามารถใช้กระบวนการยุติธรรมในการเรียกร้องให้เกิดความรับผิดขึ้น แต่ในขั้นตอนดังกล่าวก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย มีต้นทุนส่วนตัว ความปลอดภัยในชีวิต การช่วยเหลือจากองค์กรเอกชน ฯลฯ ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้พอจะมีแรงในการเผชิญหน้ากับกลไกของรัฐ
เมื่อปราศจากกระบวนการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพจึงทำให้ ‘ความจริง’ ของการวิสามัญฆาตกรรมเป็นเรื่องการใช้อำนาจต่อบุคคลที่เป็นผู้ร้ายซึ่งได้ทำการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ โจ ด่านช้าง, หน่อง ท่าผา หรือชัยภูมิ ป่าแส ก็ล้วนตกอยู่ในสถานะที่ไม่แตกต่างกัน การใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ต่อผู้ตายนั้น ‘สมควรแล้ว’ แม้หลายคนอาจโต้แย้งว่าบุคคลเหล่านี้ไม่ควรถูกนับรวมเป็นคนกลุ่มเดียวกัน
ตราบเท่าที่ยังไม่มีกระบวนการตรวจสอบและการตระหนักว่าการใช้ความรุนแรงของรัฐเป็นประเด็นที่ต้องถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด วิสามัญฆาตกรรมก็จะเป็นเหตุการณ์สามัญธรรมดาๆ ที่สามารถจะเกิดขึ้นและเป็นเรื่องราวให้เราสามารถได้ยินได้ฟังต่อไป