ในฤดูกาลเลือกตั้งที่ดันมาพ้องกันกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชวนกังวล ไม่ว่าจะเป็นเงินเฟ้อพุ่ง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมธนาคารสั่นคลอน ยังไม่นับรากฐานทางเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่แข็งแรงดีเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ชวนให้ตั้งคำถามว่าภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้จะกระทบต่อผลการเลือกตั้งอย่างไร
ไม่ใช่ผมคนเดียวนะครับที่สงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการลงคะแนนเลือกตั้งกับภาวะเศรษฐกิจ ศาสตร์แขนงนี้ตั้งอยู่บนรากฐานทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การลงคะแนนเสียง (Economic Voting Theory) ที่สามารถสืบย้อนกลับไปราวห้าทศวรรษก่อน โดยมีผลงานชิ้นสำคัญคือการศึกษาเชิงประจักษ์ในสหรัฐอเมริกาที่พบว่าความพึงพอใจต่อผลงานด้านเศรษฐกิจของพรรครัฐบาลส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อสัดส่วนคะแนนเสียงที่ได้ในการเลือกตั้งหลังหมดวาระ
ทฤษฎีดังกล่าวลงหลักปักฐานอย่างแม่นมั่น พร้อมกับมีหลากหลายงานวิจัยที่ช่วยเสริมแง่มุมต่างๆ ผ่านการมองว่าการตัดสินใจลงคะแนนเสียงคือการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ขณะที่ช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจนั้น การตัดสินใจของประชาชนอาจแตกต่างจากภาวะปกติและมักจะเทคะแนนให้กับพรรคฝ่ายขวา การศึกษาชิ้นล่าสุดพบว่าเหตุการณ์ธนาคารล้มละลายอาจเป็นสาเหตุให้ประชาชนเอนเอียงไปเลือกพรรคอนุรักษนิยมสุดโต่งโดยมีกรณีตัวอย่างคือการก้าวขึ้นสู่อำนาจของพรรคนาซีในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของเยอรมนี
เศรษฐศาสตร์ของการลงคะแนนเสียง
การลงคะแนนเสียงนับเป็นการแสดงออกของพฤติกรรมทางการเมืองที่แวดวงวิชาการต่างพยายามเฟ้นหาคำอธิบาย ในแง่สังคมวิทยามองว่าการลงคะแนนเสียงสะท้อนเครือข่ายทางสังคมของแต่ละชนชั้น ในแง่จิตวิทยามองว่าผู้มีสิทธิออกเสียงโอนอ่อนผ่อนตามผู้มีอำนาจ ในแง่ประวัติศาสตร์อาจมองว่าผู้มีสิทธิออกเสียงก็มักจะมีพฤติกรรมคล้ายเดิมคือเลือกพรรคเดิมและคนเดิมที่คุ้นชิน ในแง่วารสารศาสตร์อาจเน้นหาคำตอบว่าสื่อและข้อมูลต่างๆ เปลี่ยนใจผู้มีสิทธิออกเสียงได้อย่างไร
แต่หากมองผ่านมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ เหล่าผู้มีสิทธิออกเสียงที่มีเหตุมีผลย่อมทำการชั่งตวงวัดผลลัพธ์ที่ตัวเองจะได้จากการออกเสียง โดยสะท้อนจากมุมมองต่อ ‘ภาวะเศรษฐกิจ’ ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา
หากเศรษฐกิจคึกคักและเติบโตสูง ผู้มีสิทธิออกเสียงก็จะมองว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันมีผลงานโดดเด่นและตอบแทนพรรคการเมืองเหล่านั้นด้วยการลงคะแนนให้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ถ้าเศรษฐกิจย่ำแย่ เหล่าพลเมืองก็จะลงโทษพรรครัฐบาลโดยการเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคฝ่ายค้าน ทฤษฎีดังกล่าวฟังดูสมเหตุสมผล อีกทั้งยังมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนจำนวนมากจากหลายประเทศจนเรียกได้ว่าน่าเชื่อถือทั้งในทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเชิงประจักษ์ก็ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจโดยเฉพาะการหานิยามของคำว่า ‘เศรษฐกิจดี’
นักเศรษฐศาสตร์จัดแบ่งมุมมองของพลเมืองต่อ ‘เศรษฐกิจดี’ เป็นสองประเภท โดยในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น พลเมืองในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาจะจัดเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงที่ให้ความสำคัญกับสังคม (Sociotropic Elector) โดยพิจารณาภาวะเศรษฐกิจแบบภาพรวมโดยอิงจากตัวแปรมหภาค ในขณะที่ฝั่งประเทศกำลังพัฒนา อาทิ ผู้มีสิทธิออกเสียงในกลุ่มประเทศแถบแอฟริกาจะให้ความสำคัญกับตนเอง (Egotropic) โดยจะมองว่าเศรษฐกิจดีหรือแย่ผ่านการเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของระดับรายได้ตนเองภายใต้การบริหารของแต่ละรัฐบาล
ช่วงระยะเวลาที่ใช้อ้างอิงก็มีผลเช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์พบว่าประชาชนมักจะมองผลลัพธ์แบบย้อนหลัง (Retrospective) กล่าวคิดพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจในอดีต หรือคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่ประชาชนจะมองไปข้างหน้าโดยเปรียบเทียบนโยบายที่แต่ละพรรคเสนอในการรณรงค์หาเสียง เช่นกรณีที่รัฐบาลชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นวาระแรกจึงอาจยังไม่เห็นผลงานที่เด่นชัดมากนัก
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ปุถุชนก็ไม่มีทางตัดสินใจโดยปราศจากอคติ มีการศึกษาพบว่าประชาชนจะเอนเอียงไปทางให้โอกาสพรรคที่สอดคล้องกับรสนิยมของตนเอง เช่น กลุ่มคนที่ชื่นชอบพรรคอนุรักษนิยมก็จะประเมินผลงานทางเศรษฐกิจของพรรคอนุรักษนิยมแบบใจดีเป็นพิเศษ กล่าวคือเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญก็จริง แต่อคติก็มีผลไม่น้อยเช่นกัน
วิกฤติเศรษฐกิจ และการเถลิงอำนาจของฝ่ายขวา
แล้วถ้าเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรุนแรงล่ะ ผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร?
การศึกษาชิ้นล่าสุดฉายภาพหลักฐานใหม่ในช่วงเวลาที่น่าสนใจอย่างยิ่งทางประวัติศาสตร์ของเยอรมนี คือการเกิดวิกฤติของภาคธนาคารที่เชื่อมโยงกับความนิยมของพรรคนาซีและส่งอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจในยุคไรช์เยอรมันที่สาม นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและสงครามโลกครั้งที่สอง
ย้อนกลับไปเมื่อราวทศวรรษที่ 1930s เยอรมนีเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่องยาวนาน ก่อนจะลุกลามเป็นวิกฤติครั้งใหญ่จากการล้มละลายของธนาคารดานัต (Danatbank) หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมันจนส่งผลให้เกิดการแห่ถอนเงิน (Bank Run) อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามบรรเทาวิกฤติโดยสั่งห้ามถอนเงินเป็นการชั่วคราว แต่กลับกลายเป็นว่าประชาชนยิ่งตื่นตระหนกจนทำให้ธนาคารเดรสด์เนอร์ (Dresdner Bank) ล้มเป็นรายต่อไป
การศึกษาชิ้นนี้ระบุว่าวิกฤติธนาคารของเยอรมนีมีผลอย่างยิ่งต่อความนิยมของพรรคนาซี เพราะนอกจากจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงและคนตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์สุดโต่งมากขึ้น ยาคอบ โกลด์ชมิดท์ (Jakob Goldschmidt) ผู้บริหารของธนาคารดานัตในขณะนั้นยังเป็นเป้าหมายที่พรรคนาซีโจมตีอยู่เนืองๆ ในฐานะนายทุนชาวยิวที่อยู่เบื้องหลังภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และทำให้ชาติเยอรมันไม่เจริญเสียที
ทีมวิจัยทดสอบสมมติฐานดังกล่าวโดยหาความสัมพันธ์ระหว่างผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคารดานัตกับกระแสความนิยมพรรคนาซีในแต่ละพื้นที่ ผลปรากฏว่าเสียงสนับสนุนฮิตเลอร์สูงขึ้นอย่างมากในพื้นที่ซึ่งมีบริษัทคู่ค้าของธนาคารดานัตและชุมชนที่ธนาคารดานัตไปเปิดสาขา ผลลัพธ์ดังกล่าวยิ่งชัดเจนมากขึ้นในชุมชนซึ่งมีแนวคิดต่อต้านชาวยิวเป็นทุนเดิม สะท้อนให้เห็นผลทบทวีระหว่างปัจจัยด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อการเมือง
แม้กรณีของฮิตเลอร์อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง แต่เราก็มีตัวอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้คือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ระหว่างปี 2007–2008 ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและคนตกงานจำนวนมหาศาล โลกตะวันตกเผชิญกับกระแสที่มาแรงแซงทางโค้งของพรรคประชานิยมเอียงขวา ไม่ว่าจะเป็นสวีเดน สเปน เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา มีการศึกษาหลายต่อหลายชิ้นที่พบความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤติการเงินกับการเถลิงอำนาจของพรรคประชานิยมฝ่ายขวา แม้แต่นิตยสารอย่าง Financial Times ยังโปรยบทบรรณาธิการในวาระครบรอบ 10 ปีวิกฤติซับไพรม์ว่า “ประชานิยมคือมรดกที่แท้จริงของวิกฤติการเงิน”
การศึกษาอีกหนึ่งชิ้นวิเคราะห์ข้อมูลระยะยาวกว่า 140 ปีของประเทศพัฒนาแล้ว 20 ประเทศก็ได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกัน โดยพบว่าวิกฤติทางการเงินจะส่งผลกระทบต่อการเมืองโดยนำไปสู่การเถลิงอำนาจของฝ่ายขวาจัดซึ่งมักจะชูกระแสชาตินิยมและกล่าวโทษชาวต่างชาติหรือชนกลุ่มน้อยว่าเป็นสาเหตุของวิกฤติ โดยพรรคการเมืองขวาจัดจะได้รับคะแนนเสียงเฉลี่ยในสัดส่วนที่สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ที่น่าสนใจคือผลลัพธ์เช่นนี้จะไม่ปรากฏในช่วงเศรษฐกิจถดถอยธรรมดา หรือวิกฤติเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดจากภาคการเงิน
หันกลับมามองประเทศไทย ต้องยอมรับว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมาพรรครัฐบาลเผชิญกับวิกฤติหลายประการ แต่กระนั้นก็ยังถือว่าทำผลงานด้านเศรษฐกิจได้ไม่ดีนักโดยฟื้นตัวค่อนข้างช้าและต่ำกว่าคาด โดยต้องหวังพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จากชุดทฤษฎีข้างต้น เราก็คงพอจะสามารถทำนายได้ว่า ถ้าคนส่วนใหญ่มองผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาว่าย่ำแย่ ก็มีแนวโน้มอย่างมากที่รัฐบาลจะเปลี่ยนขั้ว
แต่สำหรับประเทศไทยอาจผิดแผกแตกต่างจากทฤษฎีไปสักหน่อย เพราะมีตัวแปรอย่างสมาชิกวุฒิสภา 250 เสียงที่ทุกคนก็คงจะทราบดีว่ามี ‘รสนิยม’ แบบใด
เอกสารประกอบการเขียน
Politics in the Slump: Polarization and Extremism after Financial Crises, 1870-2014
Financial Crises and Political Radicalization: How Failing Banks Paved Hitler’s Path to Power
Economic voting theory: Testing new dimensions
The Economic Vote: How Political and Economic Institutions Condition Election Results