ยุติธรรมอำนาจนิยม

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำนาจนิยมที่เป็นใหญ่อยู่ในขณะนี้

เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในแวดวงของผู้ที่ร่ำเรียนด้านกฎหมายในสังคมไทยว่า การจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมเฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งอัยการและผู้พิพากษา บุคคลที่จะสามารถผ่านการทดสอบเข้าไปได้ต้องมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายเป็นอย่างดี คนจำนวนไม่น้อยเองก็ยังมีความเข้าใจว่ากลุ่มคนในองค์กรเหล่านี้ถือเป็นบุคคลชั้นยอดในแวดวงด้านกฎหมาย และในส่วนของกระบวนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งที่กล่าวมาก็ดูราวกับว่าการใช้เส้นสายหรือเครือข่ายอุปถัมภ์นั้นเป็นไปได้อย่างยากยิ่ง แตกต่างไปจากการเข้าสู่ตำแหน่งหน้าทางราชการด้านอื่นๆ  

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงย่อมเป็นที่คาดหวังของผู้คนในสังคมว่า บุคคลเหล่านี้จะสามารถใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ยิ่งกระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนสำคัญต่อการระงับข้อขัดแย้งในหลากหลายมิติ การทำหน้าที่ซึ่งตรงไปตรงมาตามหลักวิชาก็ยิ่งเป็นส่วนที่ความสำคัญมากเป็นเงาตามตัวขึ้นไป

แต่ในห้วงเวลานับตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2557 เฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ พ.ศ. 2563 การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งในส่วนของอัยการและศาลก็ล้วนต้องเผชิญกับคำถามอย่างหนักหน่วง ในหลายคำถามได้ตั้งคำถามถึงการปฏิบัติหน้าที่และความถูกต้องในการใช้กฎหมายว่าเป็นสิ่งที่มิได้สอดคล้องกับหลักวิชาด้านกฎหมาย

เหตุการณ์เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางและถูกมองว่าไม่มีความเป็นธรรม นับตั้งแต่การสั่งฟ้องคดีในข้อกล่าวหาที่เกินไปจากข้อเท็จจริง, การไม่คุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในขั้นตอนทางกฎหมาย, การปฏิเสธสิทธิในการประกันตัวด้วยเหตุผลที่ชวนให้ตั้งคำถาม เป็นต้น มีตัวอย่างจำนวนมากที่หากแสดงให้เห็นออกมาอย่างละเอียดก็คงต้องใช้เนื้อที่และระยะเวลาเป็นจำนวนไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม สำหรับในที่นี้ไม่ได้ต้องการจะถกเถียงถึงรายละเอียดในแต่ละกรณี ประเด็นสำคัญที่ต้องการทำความเข้าใจก็คือว่าอะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้องค์กรในกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งเคยได้รับการยกย่องถึงความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างมาก แต่บัดนี้กลับถูกมองอย่างกว้างขวางว่าได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งที่คอยปกป้องระบอบอำนาจนิยมอย่างเข้มแข็ง

ความเห็นส่วนหนึ่งเสนอว่าเป็นเพราะความบกพร่องของระบบการศึกษากฎหมายในสังคมไทยที่ไม่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจถึงหลักวิชาได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้น เมื่อเข้าไปอยู่ในกระบวนการยุติธรรมจึงไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องได้ตรงกับเจตนารมณ์อันแท้จริงของกฎหมาย การบังคับใช้และการตีความกฎหมายจึงบิดเบี้ยวไปอย่างที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่

การโยนปัญหาของกระบวนการยุติธรรมในขณะนี้ให้กับระบบการศึกษากฎหมายเพียงอย่างเดียว อาจชวนให้ตั้งคำถามได้ถึงคุณภาพของโรงเรียนกฎหมายในสังคมไทยว่ามันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยใช่หรือไม่ บุคคลที่สอบผ่านเข้าไปสู่ตำแหน่งอัยการ ผู้พิพากษา ส่วนใหญ่ก็ล้วนมาแต่สถาบันอันเก่าแก่หรือที่เป็นเสาหลักของแผ่นดินทั้งนั้น ถ้าสถาบัน ‘ขาใหญ่’ ยังมีคุณภาพต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ก็คงไม่ต้องพูดถึงโรงเรียนกฎหมายใหม่ๆ ที่เพิ่งตั้งขึ้นว่าจะไร้คุณภาพเพียงใด

สำหรับผู้เขียนแล้ว แม้ระบบการศึกษาอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นิติศาสตร์ไทยกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำนาจนิยมอย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่มีปัจจัยอื่นๆ ที่ควรต้องถูกให้ความสำคัญด้วยเช่นกัน

หากพิจารณาในเชิงโครงสร้างขององค์กรจะพบว่า โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมไม่ว่าจะอัยการหรือศาลยุติธรรมล้วนแต่ห่างไกลจากการถูกตรวจสอบจากสาธารณะ ระบบการตรวจสอบที่เป็น ‘ระบบปิด’ อันหมายถึงมีองค์กรที่ประกอบด้วยผู้คนภายในวิชาชีพเดียวกันทำหน้าที่ให้คุณให้โทษ แม้ว่าจะมีกล่าวอ้างกันถึงข้อดีว่าทำให้ไม่มีการแทรกแซงจากภายนอก แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดข้อสงสัยได้เช่นเดียวกันว่าจะสามารถเชื่อมั่นการตรวจสอบของพวกเดียวกันเองได้อย่างไร ความเป็นผู้บังคับบัญชา สายสัมพันธ์ ความเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน วัฒนธรรมขององค์กร หรืออื่นๆ

ผมเคยตั้งคำถามกับคนที่เคยมีเพื่อนซึ่งเป็นอัยการว่าถ้าสมมติว่าในปีนั้นสั่งฟ้องคดีไป 100 คดี แล้วถูกยกฟ้องไป 99 คดี การปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะนี้จะส่งผลกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าในอาชีพของเขาหรือไม่ คำตอบที่ได้รับก็คือว่า “เฮ้ย คงไม่มีอัยการคนไหนแพ้คดีเยอะขนาดนั้นหรอก”

หรือกับกรณีสิทธิในการประกันตัวซึ่งเคยมีนักเรียนกฎหมายเป็นจำนวนมากได้ร่วมลงชื่อโดยมีความเห็นว่าการประกันตัวเป็นสิทธิพื้นฐานที่บุคคลทุกคนควรได้รับ รวมทั้งชี้ให้เห็นว่าในหลายคำสั่งของศาลขัดกับหลักการเรื่องการประกันตัวอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตราบจนกระทั่งระหว่างเขียนบทความชิ้นนี้ แนวทางการไม่ให้ประกันตัวก็ยังคงเดินทางไปในแนวทางแบบเดิม

ความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมจึงนำมาซึ่งสภาวะที่หลุดลอยออกไปจากการตรวจสอบของสังคมอย่างสิ้นเชิง

หากพิจารณาประกอบกับอุดมการณ์หลักที่ครอบงำอยู่ในกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งมุ่งเน้นการทำหน้าที่ของตนเองในฐานะที่เป็นตัวแทนของสถาบันจารีต โดยที่แทบไม่เห็นความยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชนแม้แต่น้อย ก็ยิ่งทำให้กระบวนการยุติธรรมมีแนวโน้มในการสนับสนุนต่อระบอบอำนาจนิยมได้ง่ายยิ่งขึ้น

กล่าวให้ชัดเจนมากยิ่งกระบวนการยุติธรรมของไทยแทบไม่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประชาชนเลย ในตอนเริ่มการปรับเปลี่ยนกระบวนการยุติธรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 แรงผลักดันสำคัญก็คือการสร้างความศิวิไลซ์ให้ทัดเทียมกับตะวันตก แม้จะมีการประกาศใช้กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากฎหมายจะกลายเป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง การบังคับใช้กฎหมายระหว่างสามัญชนกับชนชั้นสูงยังมีความแตกต่างกัน (นักกฎหมายบางคนยังตีความเลยเถิดออกไปว่ากฎหมายฉบับนี้ได้ทำให้เกิด ‘ระบบกฎหมายสมัยใหม่’ ขึ้นในสังคมไทย) สถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงเป็นศูนย์กลางอำนาจที่สูงสุดเฉกเช่นเดิม

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อาจมีความพยายามในการทำให้กระบวนการยุติธรรมอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ความพยายามดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อคณะราษฎรต้องพบจุดจบในทางการเมือง ฝ่ายตุลาการก็ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวให้มีความเป็นอิสระจากอำนาจทางการเมืองพร้อมกับการแปรสภาพไปเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันกษัตริย์เชิงเครือข่าย (network monarchy) อันปรากฏให้เห็นอย่างน้อยก็นับจากทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา ไม่เป็นที่ประหลาดใจแต่อย่างใดที่ผู้พิพากษาในยุคหลังจะสามารถป่าวประกาศออกมาว่าในสมัยเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั้น คือช่วงเวลาที่ฝ่ายตุลาการได้รับการปรับปรุงให้มีความมั่นคงและมีความอิสระเพิ่มมากขึ้น

ทั้งปัจจัยในเชิงโครงสร้างและอุดมการณ์ที่ดำรงอยู่ในองค์กรของกระบวนการยุติธรรมเฉพาะอย่างยิ่งกับฝ่ายตุลาการ นับเป็นเงื่อนสำคัญที่ทำให้ระบบความรู้ทางด้านนิติศาสตร์ของไทยไม่ได้ตระหนักว่าการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนคือหัวใจสำคัญของระบบกฎหมายสมัยใหม่

การปฏิบัติหน้าที่ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าไม่เป็นไปตามหลักการของกฎหมายนั้นเอาเข้าจริงกลับเป็นสิ่งที่ตอบสนองต่อสถาบันของกระบวนการยุติธรรมทั้งในเชิงโครงสร้างและอุดมการณ์ที่มุ่งเน้นถึงเป้าประสงค์ที่แตกต่างไปจากความคาดหวังของผู้คนในสังคม แม้อาจจะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่พยายามทำหน้าที่ให้สอดคล้องกับหลักวิชา แต่ในท้ายที่สุด กลไกและอำนาจครอบงำของสถาบันก็จะผลักให้บุคคลดังกล่าวต้องกลับไปอยู่ ‘กับร่องกับรอย’ ขององค์กรเช่นเดิม หากไม่สามารถปรับตัวได้ก็คงต้องเผชิญกับจุดจบเช่นเดียวกับผู้พิพากษาคณากร เพียรชนะ

ดังนั้น การคาดหวังว่าถึงความเปลี่ยนแปลงอันอย่างกว้างขวางจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการปฏิรูปโครงสร้างและอุดมการณ์ที่ครอบงำอยู่ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นิติศาสตร์เพื่อราษฎรและความเป็นธรรมจึงจะมีโอกาสหยั่งรากและงอกงามขึ้นได้ในสังคมแห่งนี้  

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save