กองบรรณาธิการ เรียบเรียง
24 มิถุนายน 2563 ครบรอบ 88 ปี ‘การอภิวัฒน์สยาม 2475’ ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นจากการรวมตัวกันของประชาชนเพื่อร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่เวลาย่ำรุ่ง จุดเริ่มต้นของระบอบประชาธิปไตยจากกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ‘คณะราษฎร’ ซึ่งครั้งหนึ่งเกือบเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ไทย มาในวันนี้กลับมีแนวโน้มได้รับความสนใจจากสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่เรื่องราวภายหลังการยึดอำนาจมิได้จบลงแต่เพียงเท่านั้น ยังมีการต่อสู้ทางการเมืองอีกมากมายที่รอคอยให้ยุวชนคนรุ่นหลังเข้าไปค้นหา
101 สนทนากับ ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในรายการ 101 One-on-One Ep.156 | “2475: ประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต”
:: สายลมสะพัดของกระแสการเปลี่ยนแปลง ::
ตอนนั้นกรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์รวมของกองทหารขนาดใหญ่ ดังนั้นเมื่อพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 ประชุมที่หัวหินในเที่ยงคืนของวันนั้น ก็ต้องไปนั่งคุยว่า ในบรรดาทหารกองพันที่คุมกรมต่างๆ ใครนะจะยังจงรักภักดีต่อเรา และใครที่น่าจะเปลี่ยนใจบ้าง พอฝ่ายทหารบอกว่าเราสู้ได้ เชียร์ให้พระองค์สู้และให้ยึดอำนาจกลับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้ากลับถามว่า จริงหรือที่จะชนะ? สิ่งหนึ่งที่เป็นความคิดของพระองค์ คือ ราษฎรจะยังจงรักภักดีต่อระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือไม่ และอีกความคิดหนึ่งคือ วันใดวันหนึ่งประเทศเราก็ต้องเล่นเกมประชาธิปไตยใช่หรือไม่
รัฐธรรมนูญอเมริกาถูกนำมาเผยแพร่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 โดยหมอบรัดเลย์ ด้วยการเอามาพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของตนเอง คนกลุ่มแรกที่ได้อ่านคือชนชั้นนำไทยในสมัยนั้นเพราะจะเป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์ ต่อมาพอได้ไปเรียนต่อในอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ก็จะได้อ่านประวัติศาสตร์ของยุโรป เรื่องราวเหล่านี้มันชี้ให้เห็นว่ากระแสประชาธิปไตยมันพัด โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ที่อเมริกาในยุคของ อับราฮัม ลินคอล์น มีสงครามกลางเมือง ฆ่ากันเป็นล้านคนเพื่อคำถามคำเดียวว่า คนเท่ากันไหม เพราะฉะนั้นกระแสก็มาถึงไทยและนำไปสู่การยกเลิกระบบไพร่ทาส เราได้อิทธิพลมาจากอเมริกาทั้งนั้นเลย ทั้งคนเท่ากัน ประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญ
เมื่อถึงรัชกาลที่ 5 สิ่งที่พระองค์ประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือให้ยกเลิกการหมอบคลาน ให้ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ เพราะจีนหรือญี่ปุ่นได้ยกเลิกวิธีการหมอบคลานหมดแล้ว มันเป็นเรื่องของความศิวิไลซ์ ไม่ใช่เรื่องของการกดขี่ข่มเหง ดังนั้นชนชั้นปกครองไทย ไม่ว่าจะเป็นรัชกาลที่ 5 6 7 ปัญหาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือคำถามว่า “เกมประชาธิปไตยมันต้องเล่นไหม?”
แม้ว่าจะมีฝ่ายข้าราชการและขุนนางกลุ่มหนึ่งบอกว่าเราเล่นเกมประชาธิปไตย แบบญี่ปุ่นดีกว่า แต่รัชกาลที่ 5 เลือกที่จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งแนวคิดนี้ก็มาจากตะวันตกเหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจเส้นทางของแนวคิดทางการเมืองและการเติบโต เราก็จะเห็นว่า ทั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์และประชาธิปไตย ล้วนเป็นระบอบที่มาจากตะวันตกเหมือนกัน เพียงแต่ว่ารัชกาลที่ 5 ไม่ได้เลือกประชาธิปไตย
คำถามต่อมาที่เกิดขึ้นคือ เราควรจะมีประชาธิปไตยเมื่อไหร่ อย่างไร พอมารัชกาลที่ 6 จึงเกิดดุสิตธานี พอมารัชกาลที่ 7 ก็ต้องเริ่มคิดมากขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศที่เป็นอาณานิคมเรียกร้องเอกราชทางการเมือง และเมื่อได้เอกราชทุกคนก็เลือกที่จะเป็นประชาธิปไตย จึงยิ่งเป็นการสั่นและท้าทายอธิปไตยของรัชกาลที่ 7 มาก แต่เมื่อคิดจะเล่นเกมประชาธิปไตยแล้วอำนาจก็ต้องเป็นของประชาชน พระองค์คิดเพียงแต่ว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง มีสภาจากการแต่งตั้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับคณะราษฎรว่าต้องมีสภาและการเลือกตั้ง ประชาธิปไตยไม่มีการเลือกตั้งไม่ได้ การเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของประชาธิปไตย
:: คณะราษฎร กับ ‘ยุทธวิธี’ ในการยึดอำนาจ ::
คณะราษฎรยึดอำนาจสำเร็จไม่ใช่เพราะมีกำลังกล้าแข็ง แต่เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มันมีปัญหาทั้งระบอบ ทั้งตัวแสดงต่างๆ ระบบโครงสร้าง ปัญหาภายใน วิธีการทางอำนาจ มันสิ้นสุดภายในตัวเอง เพียงแต่คณะราษฎรมาถึงแล้วแตะเบาๆ ก็ล้มครืนไปทั้งระบบ
คณะราษฎรมีคนอยู่ 102 คน สามารถที่จะยึดอำนาจประเทศนี้ได้โดยที่ไม่มีกองกำลังทหารในมือ เพราะระบอบเดิมมันมีปัญหา มันกลวง เหมือนส้มหยุด พอบอกให้หยุดมันก็หยุด คณะราษฎรแค่มาพร้อมกับยุทธวิธี ทำให้การบังคับบัญชาหยุดได้แค่นั้นเอง
พระบาทสมเด็จพระปกครองเกล้าหลังจากฉลองพระนคร 150 ปีแล้วก็ทรงเสด็จไปประทับที่วังไกลกังวล และผู้ที่เป็นตัวแทนในการดูแลกรุงเทพคือกรมพระนครสวรรค์วรพินิต ในวันเสาร์-อาทิตย์จะไปล่องเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่กลับขึ้นฝั่ง คณะราษฎรจึงเลือกวันก่อการเป็นวันศุกร์ ส่วนที่ต้องเป็นวันที่ 24 เพราะก่อนหน้านั้นสองวันเสนาบดีกลาโหมและรองเสนาบดีกลาโหมไปต่างจังหวัดแล้วเอาแม่ทัพภาคที่ 1 ซึ่งคุมกรุงเทพฯ และภาคกลางติดไปด้วย พูดได้ว่าทหารสำคัญ 3 คนไม่อยู่ และยุทธวิธีของคณะราษฎรคือการตัดสายโทรศัพท์และโทรเลข การสื่อสารจึงหยุดทั้งประเทศ
จากกลุ่มที่ไม่มีทหารอยู่ในมือ กลายเป็นกลุ่มที่สามารถรวบรวมกลุ่มทหารได้ส่วนใหญ่ กลยุทธ์หนึ่งคือพระประศาสตร์พิทยายุทธ ซึ่งมีฐานะเป็นอาจารย์ของกลุ่มทหารโรงเรียนนายร้อยทหารบก เช้าวันนั้นมีกองทหารกลุ่มหนึ่งออกมาฝึกทหารกันที่สนามหลวง พระประศาสตร์ฯ ก็ลงจากรถมาไล่ให้ไปรวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้าโดยหลอกว่ามีการซ้อมอาวุธ จึงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของทหารที่เป็นกำลัง แต่ส่วนสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยจริงๆมาจากนักเรียนนายร้อยทหารบก มีทั้งนักเรียนนายดาบ และทหารเรือ 200 คน รวมทั้งทหารช่างที่กำลังฝึกก็ถูกไล่ให้ขึ้นรถไปรวมเป็นการ์ด เป็นกลยุทธ์ของฝ่ายที่ไม่มีกำลังเป็นของตัวเองซึ่งต้องผ่านการวางแผนและใจสู้มาก
ถามว่าลักไก่ไหม เรียกว่าเป็นยุทธวิธีที่ทำยังไงให้เรามีกำลังมากกว่าฝ่ายชนชั้นผู้ปกครอง สิ่งหนึ่งที่ทหารมีปัญหาคือกำลังทหารที่เป็นพวกนายสิบเขาต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังนั้นก็จับนายทหารบังคับบัญชานายร้อยนายพันไปอยู่อีกที่หนึ่ง ทหารที่เหลือก็กลายเป็นกำลังของเราแล้ว
:: 2475 สำเร็จหรือล้มเหลว ปัจจุบันเราเดินถึงไหนกันแล้ว ::
การต่อสู้ของทุกฝ่าย แม้แต่การรัฐประหารเองก็ทำเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ ดังนั้นชุดคำอธิบายคือ ต้องทำให้คนยอมรับการที่เขาจะดำรงอยู่ให้ได้ และต้องสร้างความทรงจำที่ทำให้เห็นพวกเขาเป็นพระเอก เห็นอีกสิ่งหนึ่งเป็นผู้ร้าย ถามว่าเขาทำสำเร็จไหม สำเร็จแล้ว คณะราษฎรกลายเป็นผู้ร้ายแบบสุดๆ หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์เลย แต่เขาไม่ได้ทำสำเร็จอย่างต่อเนื่องเพราะมันฟื้นกลับมา ไม่ใช่แค่เรื่องการไปวางหมุดที่ระลึก แต่มันเดินทางไปสู่ความฝันอันสูงสุดของคณะราษฎร คือรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 ที่ทำให้มีการจัดตั้งอบต.ทั้งประเทศ
ความใฝ่ฝันของคณะราษฎรคือการสร้างท้องถิ่นให้เป็นเทศบาลทุกตำบล และมีการเลือกตั้งท้องถิ่น รัฐธรรมนูญ 40 มันทำให้เกิดการเลือกนายกโดยตรง นายก อบจ. นายกเทศมนตรี นายกพัทยา ผู้ว่ากรุงเทพฯ เลือกโดยตรงหมดเลย พัฒนาไปถึงการเลือกนายกรัฐมนตรี และวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง นี่คือสิ่งที่คณะราษฎรต้องการทำ ดังนั้นการต่อสู้ของคณะราษฎรที่ส่งผลมาถึงเราได้เกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่ว่า พอส่งผลแล้วกลุ่มอำนาจเดิมหรืออนุรักษ์นิยมชะงักงัน
ผลของรัฐธรรมนูญ 40 คือการเกิดพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปีสามารถเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของประเทศได้เลย ในขณะที่รัฐประหารอยู่มา 6 ปีแล้วได้อะไร นั่นคือความสำเร็จอันมโหฬารที่ชี้ให้เห็นว่า ระบอบทางการเมืองที่ให้เกิดเสถียรภาพทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ และเป็นสิ่งที่คณะรัฐประหารไม่สามารถกลืนหินก้อนนี้เข้าไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจะทำให้ได้รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ แต่รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมันออกแบบมาเพื่อให้แย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีกัน ดังนั้นเราอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบบคณะราษฎรและการปฏิวัติ 2475 มาโดยตลอด เราไม่ต้องคิดว่าเราถึงไหน เราถึงแล้ว คนที่ทำไม่สำเร็จคือคนที่รัฐประหารตั้ง 13 ครั้ง ไม่สำเร็จเลยต้องยึดคืนไปอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้เราไม่ได้แย่กว่าเดิม เรามาไกลจากที่คณะราษฎรสร้างไว้ให้มาก เพราะไม่อย่างนั้นความคิดของเราจะไม่เสรีขนาดนี้ เรามัวแต่ไปคิดว่าคณะราษฎรไม่ได้ทำอะไรให้เราเลย นั่นเพราะเราไม่รู้ว่าเขาทำอะไรให้กับเราบ้างต่างหาก ที่เราได้เรียนสูงขึ้นก็เพราะแนวคิดของคณะราษฎร ที่มีมหาวิทยาลัยเติบโตอย่างมากมายเพราะคณะราษฎรทั้งนั้น ดังนั้นหากถามว่าสำเร็จไหม ขอยกตัวอย่างว่า ทำไมพวกคณะรัฐประหาร พอรัฐประหารแล้วยังต้องบอกว่า “เราจะสร้างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” นั่นเป็นเพราะคณะราษฎรได้ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตย คณะรัฐประหารจึงต้องบอกว่าเราจะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ถึงแม้จะออกมาแล้วก็เป็นแบบเดิม แต่มันกลายเป็นน้ำยาบ้วนปากที่คุณจะต้องพูด เมื่อไหร่ที่คุณพูดแสดงว่าคณะราษฎรยังเป็นปิศาจอยู่กับคุณ
คณะราษฎรได้จุดประกายความหวัง ความฝัน ให้กับสังคม และมันยังไม่มอดไหม้นะ เพราะเวลาเรามีปัญหาในปัจจุบันแล้วมองกลับไปจะเห็นว่า เขาทำแล้ว ชี้นำแล้ว เพียงแต่มีบุคคลที่พยายามรักษาผลประโยชน์และอำนาจของตนเองที่ยื้อแย่งไว้
:: ว่าด้วยการสร้างวาทกรรมทางการเมืองของชนชั้นนำ ::
คนอายุน้อยกว่า 70 ปีลงมาจะได้รับการบ่มเพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของการปฏิวัติ 2475 และคณะราษฎรน้อยมาก เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมลองเปิดหนังสือประวัติศาสตร์ ป.6 ว่าได้เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง เชื่อไหมแม้แต่คำว่าคณะราษฎรยังไม่อยู่ในหนังสือเลย เรื่องราวมันถูกทำให้หายไป 60-70 ปีมาแล้ว ถ้าใครเติบโตมาในรุ่นหลัง 2490 ในช่วงสมัยของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประวัติศาสตร์ของคณะราษฎรจะหายไปตั้งแต่ตอนนั้น เรียกว่าลบได้เกือบเกลี้ยง คนในสมัยนั้นก็จะโตมากับสี่แผ่นดิน เรื่องมันตลกตรงที่สี่แผ่นดินมีคณะราษฎรเป็นผู้ร้าย บ้านของแม่พลอยลูกต้องทะเลาะกันเพราะการเมืองของคณะราษฎรที่สร้างประชาธิปไตย ก่อให้เกิดการแบ่งแยกฝักฝ่าย ด้านหนึ่งพยายามบอกว่าเรื่องของระบอบเก่ามันเป็นความงดงาม แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองนำไปสู่การสู้รบบ้านแตกสาแหรกขาด
วาทกรรมอันหนึ่ง เราจะเห็นการด่าพ่อล้อแม่นักการเมืองทุกรูปแบบ มันถูกวางแผนให้โดนถล่มภายใต้เกมประชาธิปไตย แล้วบางทีเราก็ตกไปอยู่ในกระแสนั้นด้วย แต่พอเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารหรือสืบทอดอำนาจกลับเงียบเฉยเลย ทำอะไรก็เงียบ นี่คือการสร้างวัฒนธรรมให้ด่าแต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง เขาสร้างมาตลอด เพลงโฆษณาของนักการเมืองก็ออกมาในยุคที่จอมพลสฤษดิ์เตรียมรัฐประหาร จริงๆ กลุ่มรัฐประหารมันซื้อเสียงทั้งนั้น แต่ภาพลักษณ์ของนักการเมืองและการเลือกตั้งกลับกลายเป็นความชั่วร้าย ใครขึ้นมาเราด่าหมดเลย นี่คือการทำลายประชาธิปไตย มันทำให้เราไม่อดทนกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ทนได้กับอำนาจรัฐประหาร ตรงนี้เองที่เรามองไม่เห็น
ถ้าเราต้องการประชาธิปไตยเราต้องเลือกตั้งอย่างเดียว ไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น และต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง ยอมให้เขาบริหารประเทศแล้วค่อยเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เลือกตั้ง 2 ปีแล้วรัฐประหาร 6 ปี ประชาธิปไตยที่ไหนจะเติบโตได้ ผมก็เพิ่งเข้าใจว่าที่ออกไปชุมนุมประท้วงไล่เขา ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำลายประชาธิปไตยโดยไม่รู้ตัว เราถูกทำให้ไม่อดทนกับนักการเมืองมากพอ ถ้าไม่ไปพรุ่งนี้เราต้องตายแน่ๆ ที่ไหนได้เราไม่ตาย แต่ประชาธิปไตยมันตาย
:: ท้ายที่สุดแล้ว การต่อสู้ทางการเมืองก็ไม่มีใครเป็นคนดี 100% ::
เรื่องกบฏพระยาทรงสุรเดช คณะราษฎรมีนายทหารอาวุโสอยู่ 4 คนเป็นเพื่อนกัน แต่ภายในปีแรก พระยาพหลฯ และพระยาทรงสุรเดชก็แตกกัน เหมือนการตั้งบริษัท เมื่อเชื่อว่าแนวทางของตนเองนั้นดีกว่าอีกฝ่ายจึงนำไปสู่การแตกร้าว คนที่เป็นกลุ่มอำนาจเดิมและกลุ่มอนุรักษ์นิยมพยายามที่จะดึง 2 คนนี้ให้มาเป็นพวก
อย่าไปเชื่อว่าระบอบเก่าไม่ต้องการอำนาจ ทุกคนพอล้มแล้วก็ต้องมองหาช่องทางเอาคืน คนไทยจะเชื่อว่าการปฏิวัติ 2475 ไม่นองเลือด เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบสมูธมาก แต่ถ้าไปอ่านงานวิทยานิพนธ์ของผมจะเห็นว่า มันนองเลือด มันฆ่ากัน เพียงแต่ไม่ได้เกิดขึ้นวันนั้น มันทอดยาวมาอีก 1 ปี กลายเป็นปัญหาต่อเนื่อง
ผมจะเรียกกบฏพระยาทรงฯ ว่า ‘กบฏ 2482’ ที่มีการประหารชีวิต 18 คน และติดคุกอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นชนชั้นนำของระบอบเก่า ช่วงสงครามโลกจะถูกย้ายไปเกาะตะรุเตา พอหลังสงครามโลก นักโทษทางการเมืองก็จะกลับมาและเขียนเรื่องราวอธิบายว่านี่คือยุคทมิฬ ถ้าเป็นละครแบบน้ำเน่าก็จะบอกว่า นี่คือยุคดำมืด ยุคที่คณะราษฎรบอกว่าจะสร้างประชาธิปไตยแล้วไม่เป็นจริง แต่ต้องอย่าลืมว่าฝ่ายต่อต้านใช้กำลังอาวุธ และที่จริงแล้วยุคนั้นคือบทสรุปการต่อสู้ทางการเมืองของ 2475
มันเหมือนการมองด้านเดียว อ่านหนังสือกันบ้าง ซื้อหนังสือกันบ้าง อย่าไปอ่านอะไรซี้ซั้ว เพราะเดี๋ยวนี้ใน google ใครเขียนจะอะไรก็ได้ แต่ถ้าท่านไปอ่านหนังสือจะพบว่า ในการต่อสู้ทางการเมืองไม่มีใครเป็นผู้ดี คนดี บริสุทธิ์ผุดผ่อง ส่วนคุณจะเชื่ออย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ต้องไปอ่าน
เราถกเถียงกันได้ตามความคิด แต่คุณต้องกลับไปที่เอกสารด้วย ไม่ใช่เถียงกันอย่างพร่ำเพ้อจนไม่รู้จุดจบ แล้วอย่างนี้จะรู้ความจริงได้อย่างไร หากจะถกเถียง หากจะเรียนประวัติศาสตร์ อย่ามโน อย่าไปฟุ้งเฟ้อ ไม่งั้นไปไม่ถึงโลกถึงดาวอังคารหรอก