3 ข้อชวนคิด ก่อน “ช็อปช่วยชาติ”

3 ข้อชวนคิด ก่อน “ช็อปช่วยชาติ”

อธิภัทร มุทิตาเจริญ เรื่อง

 

มาตรการช็อปช่วยชาติกลับมาอีกแล้วครับ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน  หลายๆท่านเห็นโครงการแล้วอาจจะดีใจที่ได้ส่วนลดไปช็อปปิ้งปลายปีอีกแล้ว แต่อย่าเพิ่งรีบออกตัวไปซื้อของครับ เรื่องนี้มีนัยยะสำคัญทั้งต่อตัวพวกเราเอง และต่อประเทศชาติ

ในบทความนี้ ผมขอชวนคุยว่าเราควรคิดอะไรก่อนที่จะออกไปช็อปปิ้ง และในฐานะพลเมืองเจ้าของประเทศ เราจะดูอย่างไรว่ามาตรการนี้คุ้มค่าหรือเปล่า และมันสะท้อนภาพใหญ่ของประเทศอย่างไร

 

1. ทบทวนส่วนลดภาษีที่แท้จริงของเรา

 

ผู้อ่านหลายท่านเห็นมาตรการแล้วอาจคิดเร็วๆ ว่า ส่วนลดภาษีที่เราได้รับจะเท่ากับขั้นบันไดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของตัวเอง แต่จริงๆแล้ว ส่วนลดภาษีที่แท้จริงของท่านอาจจะน้อยกว่านั้นมาก เนื่องจากตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ท่านอาจจะได้ซื้อ หรือวางแผนที่จะซื้อ LTF RMF ประกันชีวิต หรือบริจาคเงินต่างๆ ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ไปพอสมควรแล้ว

ในงานวิจัยของผมที่ได้รับความกรุณาจากกรมสรรพากรให้ใช้ข้อมูลผู้เสียภาษีในการศึกษา พบว่า มีเพียงแค่ประมาณ 7% ของผู้ยื่นแบบภาษีเท่านั้นที่เข้าข่ายจะได้รับส่วนลดภาษี 20% ขึ้นไปจากมาตรการช็อปช่วยชาติ  ดังนั้นก่อนจะออกไปซื้อของ ผมขอให้ท่านผู้อ่านลองกดเครื่องคิดเลขคำนวณเงินได้สุทธิ และส่วนลดภาษีที่แท้จริงของเราก่อน อย่าเพิ่งรีบใช้สิทธิโดยที่ตัวเองยังไม่รู้ว่าจะได้ส่วนลดเท่าไหร่

 

รูปที่ 1 สัดส่วนของผู้ยื่นแบบภาษี ตามส่วนลดภาษีที่จะได้รับหากเข้าร่วมมาตรการช็อปช่วยชาติ (2560)

 

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดถ้าท่านมีเงินเหลือและยังไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรดี แต่อยากได้ส่วนลดภาษี การเอาเงินนั้นไปออมหรือลงทุน เช่น ซื้อหน่วยลงทุนพวก RMF และ LTF น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ โดยรวมสัดส่วนของผู้เสียภาษีไทยที่ได้ลดหย่อนภาษีผ่าน RMF หรือ LTF มีเพียงแค่ไม่ถึง 10% เท่านั้น และเมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง สัดส่วนนี้ยิ่งน้อยลงไปอีกอยู่ในระดับต่ำกว่า 5% นอกจากนี้สัดส่วนของการหักลดหย่อนต่อรายได้ของหน่วยลงทุนทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนรายได้ปลายกลาง

 

รูปที่ 2 สัดส่วนผู้ที่ใช้สิทธิ์หักลดหย่อน และสัดส่วนหักลดหย่อนต่อรายได้ของ RMF และ LTF (2555)

2. ตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าของมาตรการ

 

ในฐานะประชาชนคนไทย เราต้องไม่ลืมว่าต้นทุนของมาตรการนี้คือเม็ดเงินภาษีของเราเอง ดังนั้นคำถามสำคัญที่พวกเราต้องช่วยกันถามดังๆ ก็คือ มาตรการช็อบช่วยชาตินี้จะคุ้มค่ามากน้อยขนาดไหน

เมื่อเป้าหมายหลักของมาตรการคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาคเอกชน คำว่า “คุ้มค่า” จึงหมายความว่า เม็ดเงินทุก 1 บาทที่รัฐเสียไปจากการเก็บภาษีได้น้อยลง ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจมากกว่า 1 บาทหรือเปล่า

กุญแจของความคุ้มค่านี้จึงมีอย่างน้อย 2 ดอกด้วยกัน

กุญแจดอกแรก คือ การสร้างอุปสงค์ใหม่ ไม่ใช่แค่การเลื่อนการใช้จ่าย ตัวอย่างคือ คนที่คาดการณ์ว่าจะมีมาตรการนี้ช่วงปลายปี เนื่องจากเห็นว่ามีมาแล้ว 2 ปีติดต่อกัน พอเข้าครึ่งปีหลังเป็นต้นมา ก็ชะลออั้นการซื้อโทรทัศน์ ตู้เย็น โทรศัพท์ไว้ รอมาใช้ช่วงที่มีส่วนลดจากโปรโมชั่นช็อปช่วยชาติ

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือการเลื่อนอุปสงค์มาจากอนาคต อาจจะวางแผนซื้อของไว้ช่วงต้นปีหน้า ก็เลื่อนมาซื้อก่อนล่วงหน้าในช่วงนี้ หรือซื้อของตุนเอาไว้ใช้ในอีกครึ่งปีข้างหน้า

กุญแจดอกที่สอง คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ถ้าคนเอาเงินไปซื้อสินค้าที่มีส่วนประกอบของการนำเข้า (Import content) สูง เช่น ไอโฟน ซัมซุง และสินค้าแบรนด์ต่างประเทศอื่นๆ เม็ดเงินภาษีที่เราใช้ตรงนี้ ก็จะมีประโยชน์น้อยมากในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นั่นหมายความว่า ถ้าจะให้คุ้มค่า มาตรการลักษณะนี้ต้องทำในรูปแบบที่คนไม่ได้คาดการณ์ไว้ก่อน ต้องเป็นการซื้อบริการ หรือสินค้าที่ไม่คงทน เก็บไว้นานๆไม่ได้ และต้องมีการจำกัดส่วนประกอบของการนำเข้า

จะเห็นได้ว่ามาตรการช็อปช่วยชาติ ซึ่งได้ทำมาสามปีติดต่อกันแล้ว แทบจะไม่เข้าข่ายความคุ้มค่าตามที่ได้กล่าวมานี้เลย

กระทรวงการคลังบอกว่า ต้นทุนภาษีของมาตรการนี้อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท และจะช่วยกระตุ้น GDP ได้ 0.05% แต่น่าสงสัยว่า GDP ที่กระตุ้นได้นี้มีมากน้อยขนาดไหนที่เป็นอุปสงค์ใหม่ คำถามที่น่าสนใจคือ หลังจากดำเนินมาตรการนี้มาแล้ว 2 ปี รัฐบาลมีการศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกอย่างไรบ้างถึงความคุ้มค่านี้ ผลประโยชน์ตกอยู่กับใคร ทั้งในมุมประชาชนผู้ได้รับการลดหย่อนภาษี และมุมกลุ่มธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการ

การเปิดเผยผลการศึกษานี้จะทำให้สังคมคลายกังวลขึ้นได้ว่า มาตรการเหล่านี้มีความคุ้มค่าอย่างแท้จริง ไม่ได้มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มธุรกิจใดอย่างที่หลายคนสงสัยกัน การอ้างถึงผลดีแค่เพียงตัวเลขการกระตุ้น GDP 0.05% ไม่น่าจะเพียงพอครับ

 

3. ตระหนักถึงต้นทุนซ่อนเร้นของโครงการต่างๆ ของรัฐบาล

 

ภาพใหญ่ของเรื่องนี้ คือ การให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านระบบภาษี ได้สร้างต้นทุนซ่อนเร้นที่สำคัญให้แก่ภาคการคลังของประเทศ (Hidden fiscal cost) ดังที่ผมเคยเขียนถึงมาแล้ว สาธารณชนแทบจะไม่ทราบว่าต้นทุนของสิทธิประโยชน์เหล่านี้มีมากน้อยขนาดไหน และใครบ้างเป็นผู้ได้รับประโยชน์

งานวิจัยของผมได้ประมาณการว่า รายได้ของรัฐที่ลดลงเนื่องจากการให้สิทธิการลดหย่อนต่างๆในระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มีมูลค่ามากถึง 1 ใน 3 ของรายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งหมดในปี 2560 นอกจากนี้ ต้นทุนของการลดหย่อนภาษีส่วนใหญ่ยังจะกระจุกตัวอยู่ที่คนรวย โดย 27% ของเม็ดเงินต้นทุนการลดหย่อนภาษีนี้ จะเป็นของผู้ที่มีรายได้สูงสุด Top 5%

 

รูปที่ 3 รายจ่ายภาษีภายใต้กฎหมายปัจจุบันและองค์ประกอบสำคัญ (2560)

รูปที่ 4 การกระจายของรายจ่ายภาษีตามกลุ่ม Quintile รายได้ของผู้เสียภาษี (2560)

 

 

ในมุมของผม สิ่งที่คุ้มค่าที่สุดจากมาตรการช็อปช่วยชาตินี้คือ การทำให้คนไทยได้ตระหนัก ถึงต้นทุนซ่อนเร้นทางการคลังจากมาตรการในลักษณะนี้ มาช่วยกันถามคำถามเรื่องนี้ดังๆ ถึงรัฐบาลกันครับ ผมเชื่อว่าประชาชน รวมถึงข้าราชการหลายท่าน ก็ไม่แน่ใจต่อความคุ้มค่าของมาตรการ การตั้งคำถามของพวกเราจะทำให้ผู้กำหนดนโยบายต้องคำนึงถึงวินัยทางการคลังมากขึ้นเวลาคิดและทำมาตรการเช่นนี้

วินัยทางการคลังของรัฐบาลจะดีขึ้นได้ ถ้าพวกเราช่วยกันครับ

 

อ้างอิง

อธิภัทร มุทิตาเจริญ, 2560, “การวิเคราะห์รายจ่ายภาษีสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา,” ชุดโครงการแนวทางการปฏิรูปภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและวิเคราะห์การกระจายรายได้ของผู้มีเงินได้พึงประเมิน (หัวหน้าโครงการ: ศ.ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตร) สนับสนุนโดยสกว.

MOST READ

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

29 Nov 2023

ถอดบัญญัติธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ ไม่มีวิกฤตใดที่ฝ่าไปไม่ได้ : ทศ จิราธิวัฒน์

สำรวจธรรมนูญ ‘จิราธิวัฒน์’ 76 ปีของอาณาจักรเซ็นทรัลในฐานะหลอดเลือดใหญ่ของภาคธุรกิจไทย 101 สนทนากับ ทศ จิราธิวัฒน์ ทายาทรุ่นที่สามของตระกูล ผู้มุ่งหมายอยากพาเซ็นทรัลและประเทศไทยไปเฉิดฉายบนเวทีโลก

กองบรรณาธิการ

29 Nov 2023

Economy

31 Jul 2023

เปิดเหลี่ยมมุม ‘service charge’ และ ‘ราคาบวกๆ’ เมื่อผู้บริโภคต้องจ่ายค่าบริการที่ไม่ได้บริการ(?)

ราคาบวกๆ มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในความเป็นจริงนั้นเรามีสิทธิไม่จ่ายค่า service charge หรือไม่ หาคำตอบได้ในบทความนี้

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

31 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save