อาร์ม ตั้งนิรันดร เรื่อง
ทุกๆ ปี ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จะกล่าวอวยพรปีใหม่แก่ประชาชนจีน โดยถ่ายทอดสดจากห้องทำงานในทำเนียบประธานาธิบดี
สิ่งหนึ่งที่ชาวเน็ตจีนไม่เคยพลาด ก็คือ การขยายภาพชั้นหนังสือด้านหลังโต๊ะทำงานของสีจิ้นผิง เพื่อมาวิเคราะห์กันในโซเชียลมีเดียว่า ท่านประธานสีช่วงนี้อ่านหนังสืออะไรบ้าง?
ผู้นำของจีนมักระมัดระวังการแสดงความคิดเห็นและความชอบส่วนบุคคล ทำให้คนจีนมักต้องคาดเดาหรือวิเคราะห์จากสัญลักษณ์ต่างๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ชั้นหนังสือของท่านผู้นำก็กลายมาเป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวจีนให้ความสนใจ โดยเฉพาะคนจีนที่ชอบอ่านหนังสือ และกำลังหาหนังสือใหม่ๆ อ่านไม่ให้ตกเทรนด์
เรื่องที่คนฮือฮากันมากในปีนี้ ก็คือ บนชั้นหนังสือท่านผู้นำ มีหนังสือเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) อยู่ถึง 2 เล่มด้วยกัน โดยเป็นหนังสือแปลจากภาษาอังกฤษ สะท้อนความมุ่งมั่นของผู้นำจีนที่จะขับเคลื่อนให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกด้านเทคโนโลยี AI ภายในปี ค.ศ. 2025 โดยรัฐบาลจีนทุ่มและส่งเสริมงบวิจัยด้านนี้ไม่อั้น เพราะเชื่อว่าผู้ใดกุมเทคโนโลยี AI ได้ ผู้นั้นกุมอนาคต
หนังสือเล่มแรกชื่อ The Master Algorithm: How the Quest for the Ultimate Learning Machine Will Remake the World ของ Pedro Domingos (พิมพ์ครั้งแรก ปี ค.ศ. 2015) ซึ่งเป็นหนังสือที่ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ AI และผลกระทบต่อธุรกิจและสังคม โดย Bill Gates เองก็เคยแนะนำให้อ่านเล่มนี้
ส่วนอีกเล่มคือ Augmented: Life in the Smart Lane ของ Brett King (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. 2016) เป็นหนังสือที่พยายามฉายภาพอนาคต 25 ปี ต่อจากนี้ ซึ่งผู้เขียนบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่จะพลิกโฉมหน้าโลกยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงในช่วง 250 ปีที่ผ่านมา ผู้เขียนให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี 4 ด้าน ได้แก่ Artificial Intelligence, Experience Design, Smart Infrastructure และ Health Tech
นอกจากนี้ ชั้นหนังสือของสีจิ้นผิง ยังมีหนังสือด้านเศรษฐกิจการเมืองที่น่าสนใจหลายเล่ม โดยเว็บข่าวด้านเศรษฐกิจของจีนได้เลือกมารายงาน 5 เล่ม ทั้งหมดเป็นหนังสือแปลจากต่างประเทศ
เล่มแรก คือ Capital in the Twenty-First Century ของ Thomas Piketty (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. 2014) ซึ่งนับว่าน่าสนใจมากที่เล่มนี้อยู่บนชั้นหนังสือของสีจิ้นผิง เพราะเป็นหนังสือที่พยายามวิเคราะห์ต้นรากปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนที่กว้างมากขึ้นทุกทีในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำก็เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมจีนเช่นกัน
เล่มที่สอง คือ Capital and Collusion: The Political Logic of Global Economic Development ของ Hilton L. Root (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. 2005) ซึ่งเป็นหนังสือที่วิเคราะห์ว่าเหตุใดประเทศกำลังพัฒนาจึงไม่สามารถสะสมทุนได้ดังเช่นประเทศพัฒนาแล้ว โดยเป็นการวิเคราะห์จากมุมมองสถาบันและแรงจูงใจทางการเมือง
เล่มที่สาม คือ Money Changes Everything: How Finance Made Civilization Possible โดย William N. Goetzmann (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. 2016) ซึ่งเป็นหนังสือที่อธิบายประวัติศาสตร์ของระบบการเงินโลก เพื่อตอบคำถามว่าเหตุใดระบบการเงินจึงเป็นกลไกขับเคลื่อนโลกสมัยใหม่
เล่มที่สี่ คือ Theorists of Economic Growth from David Hume to the Present โดย W.W. Rostow (พิมพ์ครั้งแรก ปี ค.ศ. 1992) ชาวเน็ตจีนหลายคนให้ความสนใจกับเล่มนี้เป็นพิเศษ เพราะเป็นเล่มที่หนาที่สุดในชั้น จึงโดดเด่นอย่างชัดเจนในภาพของสีจิ้นผิง เล่มนี้เนื้อหาค่อนข้างหนัก แม้แต่การแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาจีนก็ต้องอาศัยทีมนักวิชาการด้านเศรษฐกิจการเมืองชั้นนำของจีน เรียกได้ว่าเป็นหนังสือคลาสสิกเล่มหนึ่งในวงวิชาการเศรษฐกิจการเมือง
เล่มที่ห้า คือ The Gray Rhino: How to Recognize and Act on the Obvious Dangers We Ignore ของ Michele Wucker (พิมพ์ครั้งแรกปี ค.ศ. 2016) ชาวเน็ตจีนมองว่าท่านผู้นำสีจิ้นผิงคงกลัววิกฤตในจีนจะปะทุโดยไม่ทันตั้งตัว (ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเมืองหรือเศรษฐกิจ) หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับภัยร้ายในสังคมที่คนเราน่าจะคาดเดาได้ แต่กลับทำเป็นหลงลืมหรือมองไม่เห็น จนภัยเงียบค่อยๆ ก่อตัวเป็นวิกฤตลุกลาม เล่มนี้ยังเป็นหนังสือแปลที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของประเทศจีนในปีที่ผ่านมาอีกด้วย
นอกจากหนังสือด้านเทคโนโลยี และด้านเศรษฐกิจแล้ว ชั้นหนังสือของสีจิ้นผิง ยังมีหนังสือคลาสสิกจำนวนมาก หนังสือคลาสสิกภาษาจีน มักเป็นวรรณคดีจีน หนังสือประวัติศาสตร์ ตำราพิชัยสงคราม ส่วนหนังสือคลาสสิกของต่างชาติ (ฉบับแปลจีน) ได้แก่ War and Peace, The Old Man and the Sea, The Odyssey, Les Miserables เป็นต้น
สังคมจีนตั้งแต่โบราณเป็นสังคมที่ยกย่องนักอ่านและนักเรียน ในระบบวัฒนธรรมขงจื๊อ ชนชั้นสูงที่สุดของสังคม คือ ปัญญาชนที่มีการศึกษาและรอบรู้วรรณกรรมคลาสสิก ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมเช่นนี้ เราจึงเห็นคนจีนในปัจจุบันสนใจหนังสือคลาสสิกทั้งของจีนและตะวันตก หนังสือคลาสสิกสำคัญของตะวันตกล้วนมีแปลเป็นภาษาจีน และหาได้ตามร้านหนังสือทั่วไป นอกจากนั้น คนจีนเองก็ยังสนใจหนังสือใหม่ๆ ที่เป็นเทรนด์ความรู้ในโลกยุค 4.0 สอดรับกับสังคมจีนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากชั้นหนังสือของสีจิ้นผิง ก็คือ หนังสือด้านการเมืองเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ในชั้นหนังสือตามภาพ สีจิ้นผิงมีหนังสือคลาสสิก เพื่อแสดงความเป็นปัญญาชน มีหนังสือเกี่ยวกับเทคโนโลยี เพื่อแสดงว่ามีวิสัยทัศน์ และมีหนังสือด้านเศรษฐกิจการเมือง เพื่อแสดงว่าจีนยังจะเดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ต่อไป เพื่อไล่ให้ทันความเจริญของตะวันตก (แถมหนังสือส่วนใหญ่ในเรื่องเหล่านี้ยังเป็นหนังสือแปลเพื่อเรียนรู้ข้อคิดและประสบการณ์จากโลกตะวันตกอีกด้วย) นับว่าจีนเปิดกว้างทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องระบบการเมือง
เรื่องชั้นหนังสือของสีจิ้นผิงนี่ดังไปถึงสหรัฐฯ นะครับ โดยสื่อสหรัฐฯ รายงานข่าวนี้ พร้อมเปรียบเทียบกับห้องทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไม่มีชั้นหนังสือ และโต๊ะทำงานของทรัมป์ที่ไม่มีหนังสือแม้แต่เล่มเดียว มีแต่กองนิตยสารกองใหญ่ โดยทั้งกองก็ล้วนแต่เป็นนิตยสารที่มีทรัมป์ขึ้นปกหรือมีเรื่องของทรัมป์อยู่ด้านใน!!