นโยบายสิทธิ ‘UCEP’ ในวันที่เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ (แต่อาจไม่)มีสิทธิรักษาทุกที่?

ucep

ที่ผ่านมา แม้ประเทศไทยจะประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ส่งผลให้ชาวไทยได้รับสิทธิรักษาพยาบาลจากหนึ่งในสามระบบหลักตามสิทธิของตน (สวัสดิการข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ, ระบบประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) แต่สิทธิดังกล่าวผู้ป่วยจะต้องเข้ารับบริการตามสถานพยาบาลของรัฐเท่านั้น จึงนับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งต้องเข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามสิทธิรักษาพยาบาลที่ตนเองมี เกิดเป็นปัญหาค่าใช้จ่ายตามมา

ในปี 2560 รัฐบาลจึงประกาศนโยบาย ‘เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่’ หรือ สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จนพ้นระยะวิกฤตและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ 6 อาการ ประกอบด้วย

1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 

2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง 

3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น 

4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง 

5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด

6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ที่เข้าข่ายภาวะฉุกเฉินวิกฤติ 

แต่ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่นโยบายดังกล่าวถูกประกาศใช้ก็ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าเกณฑ์การวินิจฉัยถึงนิยามของ ‘เจ็บป่วยฉุกเฉิน’ หรือการเรียกเก็บเงินจากการใช้สิทธิ ไปจนถึงการถูกปฏิเสธการรักษา หลายคนจึงเริ่มหันกลับมามองนโยบายสิทธิ UCEP ใหม่และตั้งคำถามว่า หรือในวันที่พวกเขาเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตอาจจะไม่มีสิทธิ(รักษา)ทุกที่?

‘UCEP’ นโยบายดีที่ยังมีอุปสรรคในสนามจริง

ขวัญประชา เชียงไชยสกุลไทย นายแพทย์เชี่ยวชาญ สำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนักวิจัยเรื่อง ‘การศึกษากลไกการจ่ายและการควบคุมอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการ กรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ และผู้ป่วยฉุกเฉินหลังพ้น 72 ชั่วโมง’ มองว่า แม้นโยบายดังกล่าวจะเป็นนโยบายที่ดี แต่ก็ยังพบอุปสรรคมากมายในการปฏิบัติใช้จริง โดยมีปัญหาหลักทั้งหมด 3 ประการ ประกอบด้วย

ประการที่ 1 – ปัญหาการไม่ปฏิบัติตามนโยบาย UCEP และการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรู้สิทธิ์ของตน ที่ผ่านมามีโรงพยาบาลเอกชนหลายที่ไม่พิทักษ์สิทธิของประชาชน กล่าวคือไม่ยอมให้ผู้ป่วยใช้สิทธิ์ และภาครัฐไม่ค่อยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสิทธิ์ ให้ประชาชนได้รับรู้ว่าเมื่อพวกเขาป่วยฉุกเฉินวิกฤตแล้ว สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ ราวกับนโยบาย UCEP เป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

ประการที่ 2 – ปัญหาการควบคุมราคาของการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยในโรงพยาบาลเอกชนต้องจ่ายค่าบริการราคาแพง และมีแนวโน้มว่าในอนาคตค่าบริการจะสูงมากขึ้น โดยที่ภาคประชาชนไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก เพราะสินค้าประเภทบริการด้านสุขภาพนับเป็นสินค้าที่ขึ้นกับผู้ขายหรือผู้ผลิตเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แพทย์จะเป็นผู้บอกว่าผู้ป่วยคนหนึ่งต้องรับบริการอะไรบ้าง ผู้ป่วยหรือในฐานะอีกอย่างหนึ่งคือผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกวิธีการรักษาได้ไม่มากนัก ดังนั้นที่ผ่านมาการควบคุมราคาจึงเป็นไปไม่ได้เลย

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงอัตราการทำกำไร โรงพยาบาลเอกชนทุกประเภทและทุกระดับล้วนทำกำไรได้ทั้งสิ้น โดยมีอัตราการทำกำไรต่ำสุดอยู่ที่ร้อยละ 7 และสูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 50 โดยมีค่าเฉลี่ยการทำกำไรอยู่ร้อยละ 30.06

ประการที่ 3 – ความไม่มั่นใจในระบบและการทำงานของภาครัฐ เมื่อโรงพยาบาลเอกชนต้องทำงานร่วมกับรัฐ เรื่องความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมา ภาคเอกชนหลายแห่งประสบปัญหาขาดความเชื่อมั่นกับภาครัฐ ดังมีตัวอย่างว่าเมื่อโรงพยาบาลเอกชนต้องการเบิกจ่ายค่าบริการในระบบนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่ ภาครัฐกลับจ่ายเงินล่าช้ากว่าระยะเวลาที่ตกลงกัน ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งกังวลว่าจะไม่ได้เงินที่เบิกไป บางที่จึงใช้วิธีให้ผู้ป่วยจ่ายค่ามัดจำไว้ หรือบางที่ก็ไม่อยากเข้าร่วม ปัญหาการดำเนินงานของภาครัฐจึงกลายมาเป็นหนึ่งในปัญหาของระบบด้วย

จากข้อมูลของสภาองค์กรผู้บริโภค พบว่าตั้งแต่ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 ถึง 30 มีนาคม 2566 มีการร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาสิทธิ UCEP ทั้งหมด 232 เรื่องจาก 1,979 เรื่องร้องเรียนทั้งหมด กล่าวคือมีจำนวนมากเป็นอันดับ 3 โดยสามารถแยกกรณีออกเป็น 7 กรณี ประกอบด้วย ได้รับความเสียจากการรักษาพยาบาล 56 เรื่อง, ถูกเรียกเก็บเงินจากการใช้สิทธิฉุกเฉิน 53 เรื่อง, ไม่ได้รับบริการ 42 เรื่อง, ไม่ได้รับความสะดวกตามสมควร 39 เรื่อง, ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานบริการสาธารณสุข 35 เรื่อง, ค่ารักษาพยาบาลแพงเกินจริง 4 เรื่อง และไม่สามารถส่งต่ออีก 3 เรื่อง

ภาพจาก สภาองค์กรของผู้บริโภค

โรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่ของรัฐ จึงไม่อาจควบคุมราคาค่าบริการ?

“UCEP เกิดขึ้นมาไม่ใช่เพราะว่าโรงพยาบาลรัฐมีเทคโนโลยีในการรักษาต่ำกว่าโรงพยาบาลเอกชนแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะโรงพยาบาลของรัฐมีไม่เพียงพอในบางพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่กรุงเทพมหานครมีโรงพยาบาลของรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเพียง 3-4 แห่งเท่านั้นเอง ที่เหลืออยู่ภายใต้สังกัดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) หรือโรงพยาบาลสังกัดสภากาชาดไทย 

“มิหนำซ้ำโรงพยาบาลของรัฐยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีโรงพยาบาลของรัฐ 4-5 แห่งใกล้กัน ขณะที่พื้นที่ลาดพร้าวไม่มีโรงพยาบาลของรัฐแม้แต่แห่งเดียว พูดได้ว่าเมืองขยายออก แต่โรงพยาบาลของรัฐกลับไม่สามารถกระจายออกตามได้ ส่งผลให้เมื่อคนไข้เกิดสภาวะฉุกเฉินวิกฤตและต้องไปถึงโรงพยาบาลในระยะเวลาที่สั้นที่สุด โรงพยาบาลของรัฐกลับมีไม่เพียงพอ” ขวัญประชาอธิบาย

‘โรงพยาบาลของรัฐน้อยและกระจุก’ เป็นคำจำกัดความของจำนวนโรงพยาบาลของประเทศไทยปัจจุบัน เมื่อโจทย์ใหญ่ที่ทำให้เกิด UCEP ขึ้นมา คือการให้คนไทยสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ในภาวะวิกฤติ ภาครัฐจำเป็นต้องจ่ายค่าบริการแก่โรงพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ ‘ค่าบริการ’ จึงเป็นสิ่งที่ต้องมีการสำรวจและเจรจาต่อรองระหว่างภาครัฐและเอกชนอยู่บ่อยครั้ง

“ที่ผ่านมา ภาครัฐต้องเจรจาต่อรองเรื่องค่าบริการกับโรงพยาบาลเอกชนโดยที่ไม่เคยมีข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชนมาก่อนเลย ส่งผลให้ภาครัฐมีข้อจำกัดอย่างมากในการเจรจาต่อรอง ผลที่เกิดขึ้นคือ อัตราค่าบริการในโรงพยาบาลเอกชนจึงมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ประจวบเหมาะกับทางสภาองค์กรของผู้บริโภคต้องการศึกษาเกี่ยวกับอัตราค่าบริการในโรงพยาบาลเอกชน ผมจึงทำงานวิจัยชิ้นนี้เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลเอกชน” ขวัญประชากล่าว

“ท้ายที่สุดแล้ว สำหรับการเบิกจ่ายของ UCEP ภาครัฐต้องคำนวนหาอัตราค่าบริการที่พึงพอใจกับทั้งสองฝ่าย คืออัตราค่าบริการที่โรงพยาบาลเอกชนพึงพอใจสำหรับการให้บริการ ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ต้องไม่กระเป๋าฉีก เพราะภาครัฐเองก็ประเมินแล้วว่าถ้าหากต้องจ่ายตามอัตราค่าบริการที่โรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บโดยไม่มีเพดานราคาอะไรเลย กระเป๋าฉีกแน่ๆ รัฐไม่เคยมีงบประมาณมากขนาดนั้น ดังนั้นจึงต้องมีการเจรจาต่อรองว่าจะทำอย่างไรถึงจะเป็นอัตราที่สามารถไปด้วยกันได้” 

งานวิจัยเรื่อง ‘การศึกษากลไกการจ่ายและการควบคุมอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการ กรณีการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ และผู้ป่วยฉุกเฉินหลังพ้น 72 ชั่วโมง’ จึงเป็นเหมือนการเติมช่องว่างของข้อมูลเหล่านั้น โดยจากข้อมูลการเบิกจ่ายค่าบริการ กรณีผู้ป่วยฉุกเฉิน จากฐานข้อมูลของสํานักงาน หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี พ.ศ.2561-2563 พบว่าหมวดค่าบริการที่มีมูลค่าการเบิกจ่ายสูงสุด คือค่าบริการวิชาชีพ มูลค่าที่เบิกจำนวนทั้งสิ้น 668,624,220 บาท นับเป็นร้อยละ 45.23 ของการเบิกจ่ายทั้งหมด

“ประเทศไทยมีแต่กำหนดค่าแรงขั้นต่ำ แต่เราไม่เคยมีเพดานของค่าแรง ซึ่งที่ผ่านมาอาชีพแพทย์ก็มีการกำหนดค่าแรงขั้นกลางโดยแพทยสภาเพื่อเป็นอัตราค่าธรรมเนียมกลาง เมื่อสำรวจการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับผู้ป่วยก็น่าตกใจ เพราะการตรวจคนไข้หนึ่งคนซึ่งใช้ระยะเวลาเฉลี่ย 2-3 นาทีต่อคน จะได้รับเงินประมาณ 1000-1500 บาท ในขณะที่ชนชั้นแรงงานได้ค่าแรกเพียง 328 – 354 บาทต่อวัน”

สำหรับค่ายาของโรงพยาบาลเอกชนนั้น ในงานวิจัยชิ้นนี้ได้ยกข้อมูลการจัดซื้อยาของโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งส่งข้อมูลแก่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ มาเปรียบเทียบกับข้อมูลการจัดซื้อยาของโรงพยาบาลรัฐ พบว่า ต้นทุนการจัดซื้อยาของโรงพยาบาลเอกชนและโรงพยาบาลของรัฐไม่ได้มีความแตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นหมายความว่าโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันสามารถจัดซื้อยาได้ในราคาเดียวกับโรงพยาบาลของรัฐ แตกต่างจากแนวคิดดั้งเดิมที่มองว่าโรงพยาบาลเอกชนซื้อยาแพงกว่าโรงพยาบาลของรัฐ

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าค่าบริการหมวดยาในการเบิกจ่ายภายใต้นโยบายดังกล่าว สามารถชดเชยให้กับโรงพยาบาลเอกชนได้ และการชดเชยดังกล่าวจะไม่ทำให้โรงพยาบาลเอกชนขาดทุนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำโรงพยาบาลเอกชนก็ยังคงได้รับกำไรอยู่

จากข้อมูลข้างต้น ขวัญประชาจึงมองว่าการควบคุมราคาค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชนมีความเป็นไปได้  และแนวทางดังกล่าวจะเป็นหนทางแก้ปัญหา ทั้งในฝั่งภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน และประชาชน เพราะในเมื่อวันนี้ภาครัฐไม่มีโรงพยาบาลเพียงพอในแต่ละพื้นที่ จึงเป็นหน้าที่ของรัฐในการรับประกันว่าหากประชาชนเกิดอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมากขึ้น พวกเขาทุกคนเข้าถึงบริการที่จำเป็นได้

“การแทรกแซงราคาเป็นเรื่องจำเป็น เพราะผู้บริโภคจะถูกเอาเปรียบได้ง่ายหากไม่มีกลไกเข้ามาควบคุม ทุกคนจึงเห็นได้ว่าเมื่อไม่มีการควบคุมราคา ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยจะสร้างกำไรมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี โรงพยาบาลขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในทางกลับกันกระเป๋าเงินของประชาชนกลับเล็กลงเรื่อยๆ ดังนั้นการแทรกแซงตลาดเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้แก้ปัญหาสังคมไทยได้” ขวัญประชากล่าว

บริการด้านสุขภาพ คือ สินค้าคุณธรรม

“บริการด้านสุขภาพ คือสินค้าคุณธรรม” คือมุมมองของขวัญประชาต่อธุรกิจบริการสุขภาพ ไม่ว่าคนจะยากดีมีจนเพียงใด แพทย์ต้องรักษาชีวิตของเขาไว้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าบริการด้านสุขภาพของบางประเทศ ภาครัฐจะเป็นผู้รับประกันสิทธิทั้งหมด สำหรับประเทศไทยที่ภาครัฐไม่มีงบประมาณมหาศาลเพียงพอในการรับประกันสิทธิของทุกคนอย่างไม่จำกัด นโยบายการควบคุมอัตราค่าบริการเพื่อให้สินค้าคุณธรรมอย่างบริการด้านสุขภาพจึงยังคงต้องมีอยู่

“ผมไม่ปฏิเสธว่าโรงพยาบาลเอกชนยังจำเป็นสำหรับระบบสาธารณสุขของประเทศไทย แต่โรงพยาบาลเอกชนเองก็ต้องไม่ค้ากำไรเกินควรเช่นในปัจจุบัน จนกระทั่งหุ้นของโรงพยาบาลเอกชนกลายเป็นหุ้นที่น่าซื้อของเหล่านักลงทุนทั้งหลาย ซึ่งมันสะท้อนว่าธุรกิจเหล่านี้มีกำไรมหาศาล

“หากวันนี้ประเทศไทยมีโรงพยาบาลรัฐเพียงพอ เราก็ไม่ต้องควบคุมอัตราค่าบริการของโรงพยาบาลเอกชนหรอก เพราะทุกคนสามารถเข้าถึงโรงพยาบาลของรัฐได้ และโรงพยาบาลเอกชนจะกลายเป็นทางเลือก แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น รัฐจึงต้องเข้ามาควบคุมอัตราค่าบริการเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้โดยไม่เป็นภาระทางเศรษฐกิจจนเกินไป”

ขวัญประชาเสริมว่าภาครัฐไม่ควรปล่อยให้ตลาดของบริการสุขภาพกลายเป็นทุนนิยมเสรีเต็มที่ แต่การควบคุมนั้นต้องเป็นการควบคุมที่มีข้อมูล กล่าวคือภาครัฐจำเป็นต้องพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อติดตาม ประเมินผล และกำกับให้กลไกดังกล่าวมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ประชาชนต้องสามารถเข้าถึงระบบข้อมูลทั้งหมด ตรวจสอบข้อมูลได้ โดยการพัฒนาระบบข้อมูลดังกล่าว ประกอบด้วย

1. ข้อมูลทางบัญชีที่สําคัญสําหรับกิจการบริการประเภทโรงพยาบาล เพื่อเอื้อต่อการติดตาม กํากับควบคุม และกําหนดราคาค่าบริการในอนาคตได้

2. ข้อมูลผลงานการให้บริการผู้ป่วย ตลอดจนข้อมูลทรัพยากรบุคคล และเครื่องมือแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชน กล่าวคือมีการปรับปรุงระบบการจัดเก็บให้มีความถูกต้อง และสมบูรณ์ อีกทั้งควรมีการตรวจสอบการจัดส่ง และควบคุมกํากับการจัดส่งให้ตรงตามเวลา อาจพิจารณาให้มีบทลงโทษในกรณีที่ไม่ส่งข้อมูลหรือจัดส่งข้อมูลไม่ครบถ้วน รวมถึงการนําข้อมูลที่มีอยู่ออกเผยแพร่เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลได้

3. ข้อมูลการให้บริการผู้ป่วยรายบุคคล และราคาเรียกเก็บจากผู้ป่วยที่ไปรับบริการที่โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีการจัดเก็บอยู่แล้วในปัจจุบัน สามารถเข้าถึงเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในการควบคุมกํากับ และกําหนดราคา เรียกเก็บของโรงพยาบาลเอกชนได้จริง รวมถึงพิจารณาเพื่อหาทางเก็บรวบรวมข้อมูลลักษณะเดียวกันนี้จากผู้ป่วยประเภทอื่นๆ ของโรพยาบาลเอกชนด้วย

“ถึงที่สุดแล้วนโยบายประกันสิทธิการเข้าถึงการรักษานี้ ก็แก้ปัญหาให้คนไทยหลายคนได้ สิ่งที่กลัวคือนโยบายนี้ถูกยกเลิก หรือโรงพยาบาลเอกชนไม่ยอมรับมัน แต่เมื่อเดินทางมาถึงปัจจุบันคิดว่าคงไม่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ เหมือนกับนโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ที่แม้จะผ่านไปกี่รัฐบาลก็ไม่ถูกยกเลิก ดังนั้นการพัฒนาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล จึงเหลือเพียงว่าทำอย่างไรให้ระบบประกันสิทธิการรักษาของประชาชนมีประสิทธิภาพมากที่สุด” ขวัญประชาทิ้งท้าย


ผลงานชิ้นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรของผู้บริโภค และ The101.world

MOST READ

Social Issues

21 Jan 2025

101 Academy 2025 สมัครเรียนรู้หลักสูตรสื่อ-วิจัย-ครีเอทีฟดีไซน์สไตล์ 101 ได้ที่นี่!

หลักสูตรเรียนรู้การทำสื่อ การทำวิจัยนโยบายสาธารณะ และการทำงานครีเอทีฟดีไซน์ สไตล์ 101

กองบรรณาธิการ

21 Jan 2025

Social Issues

19 Apr 2021

เรื่องเล่าจากเรือนจำหญิง “อยู่ในนี้ เงินหนึ่งบาทก็มีค่า”

ฟังเรื่องเล่าในเรือนจำหญิงจากอดีตผู้ต้องขัง สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ทั้งการกินอยู่ นอนหลับ และกิจกรรมที่ทำระหว่างช่วงวัน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

19 Apr 2021

Social Issues

29 Apr 2024

‘ไม่เรียน ไม่ทำงาน ไม่มีความฝัน(?)’ ชีวิตที่ผ่านพ้นแบบวันต่อวันของเด็ก NEET

101 ชวนสำรวจชีวิตของเด็กนอกระบบการศึกษา นอกตลาดแรงงาน และไม่ได้รับการฝึกอบรม (NEET) ผู้อาศัยในชุมชนใจกลางเมืองกรุงเทพฯ

ภาวรรณ ธนาเลิศสมบูรณ์

29 Apr 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save