ประเทศอันอุดมสมบูรณ์ด้วย "คณะยอดมนุษย์"

ประเทศอันอุดมสมบูรณ์ด้วย “คณะยอดมนุษย์”

อิสร์กุล อุณหเกตุ เรื่อง

การออกแบบกฎหมายของไทยนั้นประกอบด้วย ‘ขนบ’ หลายประการ  หนึ่งในขนบที่สำคัญคือ การตั้ง ‘คณะกรรมการ’ ซึ่งเราจะพบเห็นได้ในกฎหมายแทบทุกฉบับ ทั้งนี้ กฎหมายไทย (และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก) กำหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ด้วยเชื่อว่า ระบบคณะกรรมการจะสามารถเปิดโอกาสให้มีการระดมความคิดเห็น และสร้างทางเลือกเชิงนโยบาย หรือทางเลือกในการบริหารได้ดีกว่าการให้อำนาจในการตัดสินใจแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงลำพัง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมานั้น กฎหมายไทยมักใช้การตั้งคณะกรรมการ ตลอดจนคณะอนุกรรมการเพื่อเป็นกลไกในการกำหนดนโยบาย การกำกับดูแล ตลอดจนการบริหารจัดการต่างๆ จนมีจำนวนมากมายหลายร้อยคณะ ชนิดที่เรียกได้ว่าสุ่มเปิดกฎหมายฉบับใดก็ต้องเจอ การออกแบบกฎหมายให้มีคณะกรรมการจำนวนมากเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาไม่น้อย

นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี กับบทบาทในคณะกรรมการ

ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหารนั้น นายกรัฐมนตรีควรมีบทบาทในการมอบนโยบาย หรือการตัดสินใจเชิงนโยบาย ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจำนวนไม่น้อยจึงกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง

ในรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ (ทั้งที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายฉบับต่างๆ และที่จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรี) จำนวนรวมทั้งสิ้นมากกว่า 130 คณะ โดย พลเอกประยุทธ์นั่งเป็นประธานกรรมการเอง 32 คณะ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่แทนอีกราว 100 คณะ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการแทนมากที่สุดคือ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (32 คณะ) รองลงมาคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และพลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ (20 คณะ)

จำนวนคณะกรรมการที่มากมายเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลในคณะรัฐมนตรีอย่างยิ่ง  เพราะหากคณะกรรมการแต่ละคณะมีการประชุมเดือนละครั้ง ครั้งละสามชั่วโมง ทั้ง พลเอกประยุทธ์ และพลเอกประวิตร อาจต้องใช้เวลากว่า 100 ชั่วโมง หรือราว 60% ของเวลาราชการสำหรับการเป็นประธานการประชุม

การดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของนายกรัฐมนตรี

รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ 32 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
  • คณะกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
  • คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ
  • คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
  • คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ
  • คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการ 32 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
  • คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
  • คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • คณะกรรมการบรรเทาและป้องกันสาธารณภัยแห่งชาติ
  • คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
  • คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
  • คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการ 20 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
  • คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี
  • คณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
  • คณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ

พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการ 20 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
  • คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ
  • คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
  • คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการ 13 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
  • คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
  • คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ

พลเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการ 9 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
  • คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายตำแหน่งประธานกรรมการ 8 คณะ เช่น

  • คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
  • คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากความรับผิดชอบในประเด็นที่หลากหลาย การออกแบบกฎหมายเช่นนี้จึงเป็นการคาดหวังให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย ต้องมีความรู้ความเข้าใจในประเด็นต่างๆ อย่างกว้างขวางเกินจริง ตัวอย่างเช่น พลเอกประยุทธ์ ต้องมีความรู้ตั้งแต่เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา กระทั่งยางธรรมชาติ ขณะที่ พลเอกประวิตรต้องมีความเข้าใจทั้งในเรื่องการพัฒนาบทบาทสตรี และการคุ้มครองมรดกโลก

ข้าราชการประจำกับบทบาทในคณะกรรมการ

คณะกรรมการคณะต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นนั้น ส่วนใหญ่เป็นคณะกรรมการที่ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน (กล่าวคือจ่ายให้ทุกเดือนหากในเดือนนั้นๆ ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการ) หากนับจำนวนคณะกรรมการประเภทนี้จะพบว่ามีจำนวนรวมทั้งสิ้นถึง 105 คณะ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการมากกว่า 2,000 ตำแหน่ง โดยส่วนใหญ่เป็นกรรมการโดยตำแหน่งที่มาจากภาครัฐ ทั้งที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (178 ตำแหน่ง) เช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และที่เป็นข้าราชการประจำ (1,012 ตำแหน่ง) เช่น ปลัดกระทรวงต่างๆ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ หรือเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ขณะที่กรรมการส่วนที่เหลือเป็นกรรมการโดยตำแหน่งจากภาคเอกชน เช่น จากสภาหอการค้า หรือจากสภาวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทยสภา และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (รวม 844 ตำแหน่ง หากมีการแต่งตั้งครบจำนวนที่กำหนดตามกฎหมาย)

สัดส่วนคณะกรรมการในกฎหมายไทย

สัดส่วนคณะกรรมการในกฎหมายไทย

เนื่องจากการออกแบบระบบคณะกรรมการในกฎหมายของไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องมีส่วนร่วมในคณะกรรมการ  จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีสัดส่วนของข้าราชการประจำถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด วิธีการเช่นนี้ก่อให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับบุคคลในคณะรัฐมนตรี เพราะข้าราชการจำนวนไม่น้อยต้องทำหน้าที่กรรมการมากเกินความจำเป็น

ตัวอย่างเช่น ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณต้องเป็นกรรมการในคณะกรรมการ 37 คณะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต้องเป็นกรรมการในคณะกรรมการ 31 คณะ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องเป็นกรรมการในคณะกรรมการ 19 คณะ เมื่อคำนึงถึงภาระหน้าที่ในตำแหน่งข้าราชการประจำแล้ว การตั้งคณะกรรมการเช่นนี้จึงทำให้กรรมการไม่อาจเข้าร่วมการประชุมได้อย่างครบถ้วน และทำให้ไม่สามารถใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบคณะกรรมการที่เป็นอยู่ต้องการความเป็น ‘ยอดมนุษย์’ จากข้าราชการประจำ เพราะนอกจากจะต้องบริหารเวลาเพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการคณะต่างๆ แล้ว ข้าราชการประจำเหล่านี้ยังต้องสามารถทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ที่ตนเป็นกรรมการได้ด้วย เช่น ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณต้องเข้าใจประเด็นที่หลากหลาย ตั้งแต่เรื่องสิ่งแวดล้อม พลังงาน การศึกษา ผู้สูงอายุ ผังเมือง จนกระทั่งการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์

รายชื่อคณะกรรมการที่ประกอบด้วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ หรือเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

 

รายชื่อคณะกรรมการที่ประกอบด้วยเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ หรือเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา


คณะกรรมการกับเบี้ยประชุม

เมื่อมีจำนวนคณะกรรมการมากจนเฟ้อแล้ว ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในระบบคณะกรรมการก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ประกาศกระทรวงการคลัง[1] ระบุว่า กรรมการในคณะกรรมการที่มีสิทธิรับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนเหล่านี้จะได้รับเบี้ยประชุมรายเดือนแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 5,000-10,000 บาท จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น กรรมการโดยตำแหน่ง เช่น นายกรัฐมนตรี หรือผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ จึงมีสิทธิรับเบี้ยประชุมเพิ่มจากเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งอีกราว 2 แสนบาทต่อเดือน

เพื่อประมาณการเบี้ยประชุมที่ต้องจ่ายให้แก่คณะกรรมการเหล่านี้ ผู้เขียนจึงลองสมมติให้ระบบคณะกรรมการประกอบด้วยประธานคณะกรรมการ 105 ตำแหน่ง และกรรมการอีก 1,500 ตำแหน่ง (หรือราวสองในสามของจำนวนที่กฎหมายกำหนดให้ตั้งได้) เมื่อคูณเข้ากับจำนวนคณะกรรมการทั้งหมดตามที่ประกาศกระทรวงการคลังกำหนดจะพบว่า ในแต่ละปี รัฐอาจต้องใช้งบประมาณสำหรับการจ่ายเบี้ยประชุมแก่กรรมการเหล่านี้เกินกว่าปีละ 140 ล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวอาจน้อยกว่าความจริงไปมาก เพราะเบี้ยประชุมดังกล่าวนั้นยังไม่รวมเบี้ยประชุมของคณะอนุกรรมการที่มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนอีก 101 คณะ (เช่น คณะอนุกรรมการในคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนจำนวน 13 คณะ) ซึ่งอนุกรรมการเหล่านี้จะได้รับเบี้ยประชุมรายเดือนตั้งแต่ 4,000-6,250 บาท รวมถึงยังไม่รวมเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ (หรือคณะอนุกรรมการ) ที่ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งอีกหลายร้อยคณะ ซึ่งกรรมการเหล่านี้จะได้รับเบี้ยประชุมครั้งละ 1,000-2,000 บาท

 

สรุปเบี้ยประชุมคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ

สรุปเบี้ยประชุมคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ

แม้ว่าอาจมีผู้โต้แย้งว่า งบประมาณดังกล่าวอาจไม่สูงนักเมื่อเปรียบเทียบกับหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการ แต่ข้อถกเถียงนี้ก็จะนำไปสู่คำถามต่อๆ ไปว่า การประชุมคณะกรรมการเป็นหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่รัฐพึงปฏิบัติอยู่แล้วหรือไม่ และรัฐควรต้องจ่ายเบี้ยประชุมให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับเงินเดือนหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ ควรจะกล่าวเสริมด้วยว่า เบี้ยประชุมของกรรมการเหล่านี้นั้นได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมาย[2]

มาช้ายังดีกว่าไม่มา?

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเผยแพร่ร่างกฎหมายสำคัญฉบับหนึ่งทางเว็บไซต์ของสำนักงานฯ คือ ร่างพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวต้องการแก้ไขปัญหาในการออกกฎหมายที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาเรื่องระบบคณะกรรมการตามที่กล่าวมาข้างต้น

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เพิ่งผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา และยังคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรก่อนจะมีผลบังคับใช้ แต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหารในปี 2557 นั้นปฏิบัติหน้าที่มาแล้วนานกว่า 4 ปี และออกกฎหมายมาแล้วกว่า 300 ฉบับ

แม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็นความพยายามที่ดีในการแก้ไขปัญหาในกระบวนการร่างกฎหมายต่างๆ รวมถึงการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐใช้ระบบคณะกรรมการเฉพาะกรณีที่จำเป็น แต่ก็ชวนให้เสียดายว่า กฎหมายดังกล่าวอาจมาช้าเกินไป เพราะกฎหมายราว 50 ฉบับจากทั้งหมดกว่า 300 ฉบับที่ผ่านการพิจารณาโดย สนช. นั้นกำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่เดิม กล่าวอีกแบบหนึ่งคือมีคณะกรรมการคณะใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกเดือนตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการควบคุมการขอทาน คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และคณะกรรมการกํากับธุรกิจรักษาความปลอดภัย

น่าสนใจว่า หากร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้ หน่วยงานภาครัฐจะใช้กลไกใดมาแทนที่ระบบคณะกรรมการดังที่เคยชินมานาน และน่าสนใจอย่างยิ่งว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะช่วยรื้อ ‘ขนบ’ การตั้งคณะกรรมการที่เป็นอยู่ได้หรือไม่ อย่างไร.

เชิงอรรถ

[1] ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดรายชื่อคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการที่มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน และอัตราเบี้ยประชุมเป็นรายเดือนและเป็นรายครั้งสำหรับกรรมการอนุกรรมการ เลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ

[2] ประมวลรัษฎากร มาตรา 42(7)

MOST READ

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

Politics

25 Jan 2024

ผู้พิพากษาอาวุโสมีไว้มากมาย… ทำไม

‘ใบตองแห้ง’ ชวนสำรวจเงินเดือนของเหล่าผู้พิพากษาอาวุโส ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี และชวนตั้งคำถามว่า บทบาทหน้าที่ของผู้พิพากษาอาวุโสเหล่านี้คืออะไร สร้างประโยชน์ใดให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทยบ้าง

อธึกกิต แสวงสุข

25 Jan 2024

Law

19 Jun 2024

‘สมรสเท่าเทียม’ ก้าวสำคัญกฎหมายครอบครัวไทย: สาระสำคัญและเรื่องที่ยังไปไม่ถึง

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์ ชวนมองหลักการสำคัญใน ‘พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม’ พร้อมตั้งข้อสังเกตต่อบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่และผลที่อาจตามมา

ไชยพัฒน์ ธรรมชุตินันท์

19 Jun 2024

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save