อุทิศ เหมะมูล เรื่อง
ยืนมองป้ายหน้าบาร์ที่เคยมานั่งดื่มเบียร์ประจำ ว่า ‘ปิดกิจการ’ เลาะเลียบตรอกซอยไปอีกร้านอาหาร ว่า ‘ปิดปรับปรุง’
ตรงนี้เคยเป็นโรงเรียนเปลี่ยนเป็นคอนโด โรงหนังเคยดูก็ถูกเวนคืน พื้นที่เส้นทางเคยย่ำถูกปิดไม่ให้ผ่านชั่วคราว ทรงจำส่วนตัวต่อสถานที่ในเมืองเปลี่ยนเป็นอื่น
เมืองมีเจ้าของ ผู้คนมีเพียงความทรงจำ
They boarded up my favorite bar
The Frenchman lost his restaurant
And the secret alleys were rearranged
I woke one day and it had changed
ยืนดูแสงไฟจัดประดับไว้ตามลาน โรงแรม และจัตุรัสห้างร้านต่างๆ ก่อนเคาน์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ด้วยพลุดอกไม้ไฟตระการ ระเบิดสีสว่างพร่างฟ้า กระซิบบอกคนเคียงข้างว่า “สวัสดีปีใหม่ เริ่มต้นใหม่ และขอให้พบเจอแค่เรื่องราวดีๆ” จากชั่วขณะสั้นๆ นั้น พลุดอกไม้ไฟหมดแสง เหลือไว้เพียงกลุ่มควันอ้อยอิ่ง…
นั่นผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว ตอนผมอายุ 43 ใจหวามระริกสั่น มองประกายในดวงตาคุณ และบอกขอบคุณ คุณให้ชีวิตชีวา ดั่งว่าความเป็นหนุ่มเป็นสาวของคนเรานั้นนิรันดร์ตลอดไป…
แต่ไม่หรอก ผมสูญเสียคุณไป เราต่างสูญเสียบางสิ่งไป
My city’s gone
My city’s gone
I lost another one
…ต่างทบทวนปีที่ผ่านมาและเขียนร่างสิ่งที่อยากทำ อยากเป็น มุ่งหวังจะให้สำเร็จในปีถัดไป
เทศกาลดึงดูดคนมาชุมนุมความสุข รื่นรมย์ชื่นมื่น เอ่ยต่อกันแต่เรื่องดีๆ เป็นมงคล
เมืองมอบความสุข จัดที่ทางให้เสพสุข วาระเริงรื่นชั่วครั้งคราว
อยากจะขอพรให้กับชีวิต เป็นจริง เป็นไป
แต่ที่จริงอยากขอพรให้กับเมืองนี้ ประเทศนี้มากกว่า ถ้าประเทศนี้มีความสุขจริงๆ ชีวิตของคน ชีวิตของเรา คงอบอุ่น ปลอดภัย และมีอนาคตไปกับมันด้วย จริงมั้ย?
My city’s gone
My city’s gone
And I have to go
อยู่ในรัฐทหารมาจะห้าปีมีแต่กีดกัน ผลักไสประชาชนออกไปจากที่ซุกหัวนอน จากบ้าน จากเมือง ให้กลายเป็นคนจรจัด เหมือนเป็นขอทาน แบมือร้องขอเศษสุขจากกลุ่มคนที่ยึดเอามันไป วางระบบ กฎ กติกาทุกอย่างเพื่อพวกตัวเอง คนอยู่ในภาวะถูกข่มเหง รังแก เสียสิทธิและเสรีภาพ หลายเรื่องหลายอย่างเห็นตำตา ก็ยังใช้คำพลิกพลิ้วเบี่ยงความหมายอย่างลอยหน้าลอยตา บ่อนเซาะทำลายความหวัง ความสุข เถลิงทุกอย่างตามปรารถนาของพรรคพวกตน
เดินกลับจากดูพลุดอกไม้ไฟ ผ่านซอยที่ถนนกว้างขึ้น ทางเท้าแคบลง มีพื้นที่ให้เดินเรียงแถวได้เพียงหนึ่งคน ไม่มีที่เหลือสำหรับคนเดินสวนกันด้วยซ้ำ พอเจอเสาไฟ ตู้ชุมสายโทรศัพท์ปักหลักบนทางเท้า (แม้แต่ถังขยะ) คนก็ต้องลงไปเดินบนพื้นถนนเป็นพักๆ และก็คงสร้างความหงุดหงิดรำคาญให้รถยนต์กับมอเตอร์ไซค์ ผลักคนออกจากทางเท้า สร้างห้างสร้างศูนย์การค้ารูปแบบเดียวๆ เดิมๆ ไว้ให้คนไปเดิน กิจกรรมสันทนาการทางวัฒนธรรมรูปแบบอื่นๆ ก็ตกทุกข์ได้ยากตามผู้คนไปด้วย
I still found me back in the mall
I will not decline
Still feeling lost and nothing more
I feel lost in time
Does anybody happen to know, happen to know…
เมืองแห่งแสงไฟ ไล่คนออกไป แล้วล่อคนเข้ามาตามไฟตามงานเทศกาล
ประเทศแห่งปราการและกำแพงกั้น ผลักความต้องการของคนไว้นอกเมือง กระจายเสียงทางเดียวของพวกตนผ่านทุกสื่อ หนวกบื้อใบ้บอดกับเสียงเรียกร้องของผู้คน
เป็นเมืองที่สงบแต่ไม่วางใจ เป็นเมืองที่มีอากาศแต่ไม่มีลมหายใจ ประเทศที่สร้างฝันจากการยึดครองความหวัง
มีใครรู้สึกกันบ้างมั้ย? เจ็บแค้นขมขื่นใจกันมั้ย?
ประเทศที่ผลักความถูกต้อง ยุติธรรม สิทธิอันชอบธรรม ให้เป็นเรื่องความปรารถนาส่วนตน – ของผู้คน – ให้จมลงในทรงจำขมขื่น ให้คิดว่าความผิดเป็นของประชาชน เขียนกฎขึ้นเองแล้วบังคับใช้ จะห้าปีแล้วมั้ย ที่คนกลุ่มนี้ทำอะไรเพื่อผู้คนจริงๆ สักอย่าง ล้างบ้านเมืองล้างประเทศผ่านความทรงจำของประชาชน แล้วทีนี้ก็มายักมาเลื่อนเลือกตั้งอีก
My city’s gone
My city’s gone
ไม่อยากขอพรให้ตัวเอง แต่อยากขอพรให้เมืองและประเทศนี้ ขอให้ความกล้ำกลืนและขื่นขมนี้ปลาสนาการไป ความอุบาทว์ย่อยยับทั้งมวลจงแตกดับยับย่อยไปไม่เหลือชิ้นดี
https://www.youtube.com/watch?v=alrA5WOmwGs
จากเพลง My City’s Gone ของ Francis and the Lights ศิลปินเดี่ยวจากแคลิฟอร์เนียผู้มีพรสวรรค์และความสามารถหลากหลายด้าน นำแนวเพลง R&B มาประยุกต์กับซาวนด์สังเคราะห์ร่วมสมัย โดดเด่นด้วยการออกแบบท่าเต้นแบบ ‘น้อยแต่มาก’ ผ่านมิวสิควิดีโอที่มักเป็นการถ่ายเทคเดียวจบ
เสียงร้องของฟรานซิสและวิธีนำเสนอตัวเองของเขา ทำให้นึกย้อนกลับไปถึง Peter Gabriel อดีตสมาชิกวง Genesis เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่เป็นการสำรวจความทรงจำส่วนตัว ซึ่งคาบเกี่ยวกับการวิพากษ์สังคมร่วมสมัยที่เขาอาศัยอยู่ เพลง Friends จากอัลบั้ม Farewell, Starlite! เป็นเพลงสร้างชื่อที่สุด โดยเพลงนี้ได้ Bon Iver กับ Kanye West มาร่วมฟีเจอริ่งด้วย นับได้ว่าฟรานซิสนำความสดชื่นเก๋ไก๋มาสู่ดนตรีร่วมสมัยยุคปัจจุบันได้เตะหู เตะตา แตะใจอย่างลงตัว