อุทิศ เหมะมูล เรื่อง
เราต้องการความสงบเมื่ออยู่ในสภาพวุ่นวาย แต่เมื่ออยู่ในสภาพสงบนิ่งเรากลับต้องการความเคลื่อนไหว หรือว่าไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอะไรเราก็มองหาสภาพความสงบสุขหนึ่งๆ – ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง – เพื่อหล่อเลี้ยงความว้าวุ่นในตัวเรา
มีความอื้ออึงในเงียบและนิ่ง ที่เรามักสดับยินเสียงและความเคลื่อนไหว; สายลมพรูมาเป็นระลอก แดดเคลื่อนลามเงียบเชียบผ่านพื้นและผนังระเบียงระเหิดไอร้อนเป็นคลื่นก้อนอากาศบิดเบี้ยว แท่งทึบของความกดอากาศต่ำผลักผ่านจนหายใจลำบากและเหนอะหนะ เสียงอื้ออึงของมอเตอร์ในพัดลม ในคอมเพรสเซอร์ ในระบบกลไกฝังตามผนัง ในท่อ ข้างบน ข้างใต้ ตำแหน่งซึ่งอึงอลวุ่นวายถูกซ่อนซุกไว้ล้อมรอบห้องที่สงบเงียบ ราบรื่น ห้องที่เราสัมผัสได้ถึงเสียงซ่อนของความสงบ
I’m waiting for the night to fall*
I know that it will save us all
When everything’s dark
Keeps us from the stark reality
อนุภาคของเสียงและคลื่น แสงและสีที่สังเคราะห์ สรรค์สร้าง ส่งกลับความสงบเพื่อชุบชูจิตใจที่ว้าวุ่น
สังเคราะห์และเรียบเรียงความเงียบผ่านเสียงดนตรี เพื่อจะพูดถึงความสงบ จากการประกอบของหลากเสียงที่อื้ออึง
สังเคราะห์แสงและสีและปริมาตรผ่านงานศิลปะ ผ่านการทับซ้อนและชั้นเรียงของสี การเพิ่มและทอนลงของรูปทรงให้เป็นรูปฟอร์มหนึ่ง เพื่อสัมผัสถึงเชิงชั้นหนึ่ง อีกมิติหนึ่ง เพื่อเชื่อมโยงถึงความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ความสะดวกสบายของตัวมันซึ่งก่อร่างขึ้นมาจากความไม่สะดวกสบาย และอุปสรรคนานา
ใช้งานเส้นทางสื่อสารทั้งออฟไลน์ ออนไลน์อย่างหนัก อื้ออึงในพาดทับ ข้ามไขว้ เหว่ว้าวุ่นวายใจ ดิ้นรนเพื่อดำรงตนอยู่ให้ได้ หาทางต่อติดในโลกที่กำลังบังคับให้ขาดการติดต่อ ระยะห่างที่คนกลุ่มหนึ่งเอาไปบริหารจัดการ ล้มเหลวและเสียเวลา ถ้าเราได้ทีมบริหารทำงานมีประสิทธิภาพกว่านี้ ระยะห่างและเวลาก็คงได้รับประโยชน์กับเรามากกว่านี้ แต่เราเหมือนถูกบังคับ ขู่กรรโชกให้ ‘เสียสละ’ เสียจนไม่มีอะไรจะเสีย บริจาคจนไม่มีอะไรจะให้บริจาค ไม่แตะต้องบางงบประมาณมากมีมหาศาล – ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาด้วยการออกคำสั่ง – ปล่อยให้ชาวประชาอดอยากขาดแคลนแล้วยังต้องเสียสละ แม้กระทั่งความตาย
There is a sound in the calm
Someone is coming to harm
I press my hands to my ears
It’s easier here just to forget fear
โรคระบาดเสมอหน้า ถูกทำให้มีชนชั้นและไม่เท่าเทียม คนร่ำรวย ผู้มีอำนาจไม่อยู่ในฐานระบบตัวเลข งำเงียบ รักษา จัดลำดับภาพคนหาเช้ากินค่ำ ความอลหม่านไม่เชื่องฟัง แหกกฎเคอร์ฟิวไปสังสรรค์รวมกลุ่ม ลุกลี้ลุกลนหาห้องหาบ้าน หาที่พัก หาโรงพยาบาล หาวัด คนจร ไร้บ้าน กำลังเดินทางกลับบ้าน ภาพของความวุ่นวาย ง่ายดายต่อการสัมผัสติดเชื้อ ผู้คน ‘ปากกัดตีนถีบ’ ไม่ใช่ผู้คน ‘นั่งกินนอนกิน’ แพร่ภาพตัวระบาดร้าย ตัวไม่มีจิตสำนึกร่วมสังคม เพื่อให้ผู้คนกล่าวโทษรังเกียจกันเอง ทั้งที่ศักยภาพทางการตรวจ อุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ งบประมาณเร่งด่วน และแผนดำเนินการระยะใกล้ – ไกล ยังคงไม่มีคำตอบ ยังคงต้องรอไป กักตุนเร้นลับยักย้าย อำนวยความสะดวกให้กลุ่มคนมีอำนาจ คนร่ำรวย และพวกพ้องก่อนอย่างลับๆ เงียบๆ ระหว่างนี้ก็หันชี้ให้ดูประชาชนทะเลาะกัน แตกแยกแบ่งฝักฝ่าย ไม่รู้รักสมัครสมานกัน รอจังหวะเข้าสวมรอยรัฐประหารเงียบๆ หาประโยชน์จากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด
ตรวจตรา ตรึงกำลัง ตั้งมั่นไว้แล้ว ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว ค่อยๆ ร่นเวลาเคอร์ฟิวให้สั้นเข้าแน่นเข้า ใช้ช่วงเวลาค่ำคืนอันเงียบสงัด อำนวยความสะดวกในยามวิกาล บริหารจัดการความเงียบ ปล่อยกวีรำพึงถึงค่ำคืนแสนงาม ปล่อยคนมีงานให้ตกงาน ไร้ที่พึ่ง ให้ผู้คนกระวนกระวายในเหว่ว้า ผลักภาระการช่วยเหลือบริจาคให้ผู้คน ทั้งดารา เซเลปฯ ภาคธุรกิจรายย่อย ล่องหนและประเสริฐอยู่ได้ด้วยม็อตโต้ แคมเปญ แล้วกำกับด้วยกฎข้อบังคับ ออกคำสั่งแล้วลอยตัว ปล่อยให้ผู้คนสาละวนทำตามคำสั่งกันวายวุ่น
‘ขอความร่วมมือ’ คือ ‘ต้องทำ’ ความหมายมันเปลี่ยนมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่แค่ต้องทำ แต่มีข้อบังคับ กฎหมายตามมากำกับสมทบด้วยถ้าไม่ให้ความร่วมมือ
รัฐปล่อยให้พวกเราไร้ความหวัง เดียวดายและว้าวุ่นเช่นนี้
I’m waiting for the night to fall
When everything is bearable
And there in the still
All that you feel is tranquillity
ห่วงใยกันต้องตัดขาด รักกันต้องห่าง สัมผัสคือไม่สัมพันธ์ เราทุกคนคือพาหะนำโรคติดต่อ ระยะห่างมีคุณค่าและความหมายต่อการปรับวิธี วิถี รวมถึงทัศนคติของการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน ใช่เพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทิศทาง การปรับเปลี่ยนของคนเราที่จะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในอนาคต
แยกขาด ปุปปับ จากกันไวเหลือเกิน ห่างไม่ได้หมายความว่าไม่ห่วง ร้างราหากแต่ยังรัก เมื่อคนในบ้านจากไปยังไม่ทันได้แสดงความอาวรณ์ พิธีกรรมให้เหมาะสมกับคนเป็นที่รัก ถูกพรากไว เผาไว ในบรรยากาศหน่วงหนักของความหวั่นระแวง แสดงความเดียดฉันท์ เราเรียนรู้ที่จะไม่อ้อยอิ่ง ตั้งมั่น เข็มแข็งให้ไว ไม่มีเวลาอาลัยในแบบเดิมๆ
กลับมาเป็นเหมือนเดิมเพียงภายในใจ วนเวียนซ้ำใจ ในขณะที่โลกภายนอกหมุนไว พรุ่งนี้เราอาจถูกห่างเหิน มีระยะ ถูกลืม อาจโชคดีที่ไม่ไปทำให้ใครเขารังเกียจ หวั่นกลัว
There is a star in the sky
Guiding my way with its light
And in the glow of the moon
Know my deliverance will come soon
ในวันเวลาเช่นนี้ เผลอใจเดียวดายไม่ได้เลย เพราะรัฐไม่ทำให้เราไว้ใจ ให้ปลอดภัยพอจะปลดใจเหว่ว้า เพราะราคาทางอารมณ์มันสูงเหลือเกิน เราเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ลำพัง
โปรดจงระวังหัวใจกันและกัน ประคองไว้ แลดูกันในระยะ อย่ารังเกียจชิงชังกันใกล้เกินไป ไม่งั้นหัวใจเราคงติดโรคที่ร้ายกาจกว่า เป็นพาหะยิ่งกว่า…
*จากเนื้อร้องเพลง Waiting for The Night ของวง Depeche Mode ศิลปินจากอังกฤษ ในยุค 1980 ในยุคแรกๆ ภาคดนตรีเป็นซินธ์ป๊อบสดใส ต่อมาเน้นเสียงสังเคราะห์ที่หม่นมืด ให้มิติทางสภาวะภายในจิตใจมากขึ้น เพลง Waiting for The Night บรรจุอยู่ในอัลบั้ม Violator (ปี 1990) นับเป็นอัลบั้มกึ่งกลางของการเปลี่ยนผ่านทางแนวดนตรีและเสียงสังเคราะห์ที่มีความมืดมนมากยิ่งขึ้น Depeche Mode นับเป็นวงสำคัญที่พลิกหน้าประวัติศาสตร์ทางดนตรี เป็นต้นแบบและส่งแรงบันดาลใจให้กับวงดนตรียุคต่อๆ มาอีกมากมาย