ถ้าคุณเป็นหนึ่งในแฟนประจำของซีรีส์ Orange Is the New Black ที่ฉายอยู่บนเน็ตฟลิกซ์ (ซีซั่นใหม่เพิ่งมานะรู้ยัง!) คงรู้กันดีตั้งแต่ซีซั่นแรกๆ ว่าสถานที่หนึ่งที่เหล่านักโทษหญิงแห่งเรือนจำลิทช์ฟิลด์หวาดกลัวและไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปใกล้ที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้น ‘SHU’ ที่ย่อมาจาก Secure Housing Units หรือ ‘แดนมั่นคงสูงสุด’

ดินแดนแห่งฝันร้ายของนักโทษแห่งนี้เป็นแหล่งรวม ‘ห้องขังเดี่ยว’ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่กักกันนักโทษร้ายแรง ด้วยการตัดขาดนักโทษจากโลกภายนอก ภายในห้องขังขนาดประมาณ 6×9 ฟุต แบบ fully-furnished (เตียงนอนพร้อมโถส้วมในตัว – แบบไม่มีประตูกั้น) พวกเขาถูกทิ้งไว้ให้อยู่ตามลำพังกับความเงียบ แสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่เปิดทิ้งไว้ตลอด 24 ชั่วโมงจะเริ่มกัดกร่อนนาฬิกาชีวิต สิ่งที่บอกเวลาได้แบบคร่าวๆ คือจานข้าวจากผู้คุมที่ส่งเข้ามาให้เป็นเวลาเท่านั้น
ภายใต้ความเชื่อที่ว่าการคุมขังนักโทษให้อยู่ในโลกที่เงียบงัน จะบั่นทอนความคิด ความสามารถ และศักยภาพในการคิดจะกระทำผิดซ้ำซาก จนอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ในที่สุด – โลกของการขังเดี่ยวกลายเป็นดินแดนสีเทาที่อยู่ระหว่างแนวคิดการ ‘ดัดสันดาน’ เพื่อสังคมที่ดีขึ้นอย่างสุดโต่ง
ในระดับเดียวกันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกินพอดี
แนวคิดการจับนักโทษเข้าห้องขังเดี่ยวถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 1790 ไม่ช้าไม่นานหลังประกาศอิสรภาพจากจักรวรรดิอังกฤษ โดยเริ่มต้นจากการขยายพื้นที่ของเรือนจำ Walnut Street ที่ตั้งอยู่ในเมืองฟิลาเดลเฟียเพื่อรองรับจำนวนนักโทษที่เพิ่มสูงขึ้นจนเกินรับไหว
การขยับขยายในครั้งนั้นเกิดเป็นพื้นที่แบบใหม่ที่จับเอานักโทษ 16 คนเข้ามาอยู่ในห้องขังเดียว แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือในห้องขังนี้ถูกซอยย่อยออกเป็น 16 ห้อง แต่ละห้องถูกกั้นไว้ไม่ให้ทุกคนได้พูดคุยกันเหมือนห้องขังปกติ ที่สำคัญ สิ่งที่นักโทษผู้ถูกส่งให้มาอยู่ในนี้จะได้รับคือสิทธิพิเศษในการไม่ต้องออกไปทำงานแบบคนอื่น แต่ให้ใช้เวลาได้นั่งคิดทบทวนกับความผิดที่ก่อ จนรู้สึก ‘สำนึกผิด’ (กลายเป็นชื่อเรียกห้องขังแบบนี้ว่า ‘Penitentiary House’ หรือ ‘โรงดัดสันดาน’)

ในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 18 วิธีการลงโทษเหล่านักโทษยังคงใช้วิธีแบบรุนแรงอย่างการเฆี่ยนตี ใส่ขื่อล่ามโซ่ลากไปตามท้องถนนให้อับอายอยู่ โรงดัดสันดานที่เกิดขึ้นเป็นแนวคิดของ สมาคมฟิลาเดลเฟียเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากในเรือนจำ ที่สมาชิกในกลุ่มล้วนแต่เป็นชาวคณะ Quakers หรือคนที่เชื่อในศาสนาคริสต์แบบดั้งเดิมที่ว่าเราสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรงโดยรับรู้จาก ‘แสงสว่าง’ ภายในตัวเอง
ที่ต้องเล่าถึงรายละเอียดความเชื่อ ก็เพราะว่าโดยธรรมดาเวลาสมาชิกกลุ่มเควกเกอร์มาประชุมกัน สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อติดต่อกับพระเจ้าก็คือการนั่งเงียบๆ ให้แสงสว่างจากภายในชี้นำถึงพระเจ้า ดังนั้นด้วยความเชื่อที่ว่าพระเจ้าสามารถนำทางให้มนุษย์กลับตัวกลับใจจากความผิดบาปได้จากการหาแสงสว่างและเสียงในตัวเอง การผลักดันให้เกิดห้องขังเดี่ยวจึงเป็นทางออกที่กลุ่มเห็นว่ามีมนุษยธรรมที่สุดในเวลานั้น
แต่แนวคิดที่เวิร์กในฟิลาเดลเฟีย เมื่อแพร่กระจายไปถึงเรือนจำ Auburn ที่นิวยอร์กในปี 1821 ความจริงเกี่ยวกับผลกระทบที่มีต่อนักโทษก็เริ่มเปิดเผย
การจับขังเดี่ยวไม่ได้ ‘เปลี่ยน’ พฤติกรรม แต่มันกลับ ‘ฆ่า’ เหล่านักโทษทั้งเป็นด้วยอาการทางจิตที่ไม่ปกติหลังถูกคุมขัง จนนิวยอร์กต้องเลิกใช้วิธีนี้หลังเริ่มใช้ไม่นาน
ขณะเดียวกันที่ฟิลาเดลเฟีย ห้องขังเดียวกลับถูกขยับขยายจนขังได้มากกว่าสองร้อยคนในบริเวณเดียว (และดีไซน์ในช่วงนั้นก็สืบทอดรูปแบบมาจนถึงปัจจุบันนี้) ในห้องขังมีแค่คัมภีร์ไบเบิลให้อ่านแก้เบื่อ สิ่งที่ทำได้ในนั้นคือนั่งทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างการทอผ้า ทำรองเท้า ถ้าจะมีเวลาได้ออกมาข้างนอก ก็ยังต้องใส่โม่งคลุมหน้าให้ร่างกายได้สัมผัสโลกภายนอกแค่เพียงดวงตา

ตัดภาพกลับมาที่โลกในศตวรรษที่ 21 แนวคิดห้องขังเดี่ยวไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน แต่มันแพร่กระจายจากฟิลาเดลเฟียไปจนทั่ว 44 รัฐในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศทั่วโลก และถ้านับในประเทศผู้ให้กำเนิดเพียงที่เดียว ก็มีนักโทษกว่า 80,000 ถึง 100,000 คนที่ถูกจองจำอยู่ในความโดดเดี่ยวอันแสนทรมาน
การขังเดี่ยวใน SHU ของเรือนจำทั่วๆ ไป ไปจนถึงในเรือนจำมั่นคงสูงสุดหรือ Supermax Prison (เรือนจำควบคุมพิเศษที่มีไว้ใช้สำหรับนักโทษอุกฉกรรจ์ด้วยวิธีการขังเดี่ยวและใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าควบคุม) ถูกใช้กันหลักๆ ด้วยปัจจัยสามแบบ นั่นคือใช้เพื่อลงโทษนักโทษที่ทำผิดกฎระเบียบของเรือนจำ ใช้เมื่อคำตัดสินของศาลจำแนกให้เป็นนักโทษอันตราย
ที่น่าเศร้าที่สุดคือกลุ่มนักโทษเยาวชน หรือนักโทษเพศทางเลือก ที่ถูกจับมาอยู่ในพื้นที่ขังเดี่ยวแม้ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นหากให้อยู่รวมกับนักโทษคนอื่นๆ (เหตุผลข้อนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ต่างประเทศ เพราะจากรายงานของสำนักข่าวประชาไทเมื่อปี 2012 ก็พบว่ามีนักโทษทรานส์เจนเดอร์ในเรือนจำชายแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครที่ถูกย้ายไปอยู่ในห้องขังเดี่ยว แม้เธอจะไม่ได้ทำผิดมากกว่านักโทษคนอื่นๆ เลย)
และหากคุณคิดว่าการได้อยู่คนเดียวเงียบๆ ลำพังเป็นเรื่องสุดแสนจะโรแมนติกเหมือนอย่างคำคมทวิตเตอร์ การลงโทษด้วยการขังเดี่ยวในห้องแคบๆ คงไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยขนาดนั้น เพราะระยะเวลาที่นักโทษชาวอเมริกันส่วนใหญ่ถูกคุมขังในดินแดนแห่งความโดดเดี่ยวเพียงลำพัง มีไปตั้งแต่ไม่กี่วัน จนถึงระยะเวลาเป็นสิบๆ ปี เช่นในแอริโซน่า ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ปี เท็กซัสที่ 4 ปี นิวยอร์ก (ที่เคยยกเลิกไปเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน) ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3 ปี
…สำหรับนักโทษบางคนในบางรัฐ เขาอาจอาศัยอยู่ในความลำพังนั้นยาวนานได้ถึง 43 ปี!
แล้วอันที่จริง ขีดจำกัดในการ ‘โดดเดี่ยว’ ของมนุษย์มีมากแค่ไหน?
ยังไม่มีทีมนักวิจัยคนไหนที่กล้าพอจะจับมนุษย์มาทดลองด้วยข้อจำกัดด้านมนุษยธรรม (เห็นจะมีก็แต่รายการเรียลิตี้ Solitary เมื่อหลายปีก่อนที่จับเอาผู้แข่งขันมาทดสอบความอดทน แต่ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแบบเป็นจริงเป็นจัง) แต่ย้อนกลับไปช่วงปี 1950 แฮร์รี่ ฮาร์โลว นักจิตวิทยาจาก University of Wisconsin ก็ทำการทดลองที่ใกล้เคียงที่สุด โดยใช้ลิงรีซัสมาขังไว้ตัวเดียวในห้องที่ไม่มีทางปีนหนีออกไปได้
หลังสองสามวันผ่านไป เขาพบว่าลิงที่ถูกขังเดี่ยวนั่งซึมอยู่ที่มุมของห้องอย่างสิ้นหวัง และเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้นเรื่อยๆ มันก็เริ่มไร้สติ นั่งจ้องมองที่เดิมเป็นเวลานานๆ เขย่าขาอย่างไร้จุดหมาย เดินวนไปมา จนกระทั่งเริ่ม ‘ทำร้าย’ ตัวเอง หลังจบการทดลอง ลิงส่วนใหญ่เมื่อออกมาก็สามารถปรับตัวได้ ทว่าลิงที่ถูกขังนานถึงหนึ่งปีก็เหมือนถูกทำลายวิญญาณลงไปอย่างสิ้นซาก
คอนเซ็ปต์การลงโทษด้วยวิธีนี้ยิ่งถูกมองว่าป่าเถื่อนและโหดร้ายยิ่งขึ้น เมื่อมีการศึกษาผลกระทบของการขังเดี่ยวที่มีต่อนักโทษจริงๆ และพบว่ากว่าหนึ่งในสามของกลุ่มตัวอย่างนักโทษกลายเป็นคนป่วยทางจิต มีอาการจิตหลอน หวาดระแวง ความสามารถในการคิดความจำถูกทำลาย ไวต่อสิ่งเร้ารอบตัวจนใช้ชีวิตลำบาก ผู้สำรวจเล่าว่าหนึ่งในกลุ่มตัวอย่างกลายเป็นคนไร้ความสามารถในการรับรู้ว่าร่างกายตัวเองเป็นอย่างไร ด้วยอาการที่ยืนอยู่หน้าโถส้วมเพื่อพยายามปัสสาวะอย่างไร้จุดหมายตลอด 24 ชั่วโมง
ที่สำคัญที่สุด หากเราเชื่อกันว่าการขังเดี่ยวจะทำให้นักโทษได้สติและกลับมาเป็นคนดีสู่สังคม เรื่องจริงอาจจะกลายเป็นว่าพวกเขาคงไม่มีทางได้ออกมา เพราะหลังจากผ่านการขังเดี่ยว หลายต่อหลายคนกลายเป็นผู้เสพติดการทำร้ายตัวเองและพยายามฆ่าตัวตาย มีผู้สำรวจพบว่ากว่าครึ่งของกลุ่มนักโทษในเรือนจำแคลิฟอร์เนียตั้งแต่ปี 1999 จนถึง 2004 ล้วนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั้งสิ้น
ในระดับสากล เมื่อปี 1987 คณะกรรมการต่อต้านการทรมาน (Committee Against Torture) ผู้ตรวจตราการปรับใช้อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (United Nations Convention against Torture) ได้กำหนดไว้ว่าการลงโทษด้วยวิธีการขังเดี่ยวควรเป็นการกระทำที่รัฐสมควรยกเลิก เช่นเดียวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่ประกาศว่าการยืดระยะเวลาคุมขังเดี่ยวอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนสากล
ไม่ได้มีแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ร่วมลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาที่ว่า แต่ประเทศไทยเราเองก็เข้าร่วมอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ นี้ไว้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว
หลังจากพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ของไทยไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กฎหมายการทำงานของเจ้าพนักงานเรือนจำเพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่ แต่สิ่งเดิมที่ยังคงอยู่คือการลงโทษด้วยการขังเดี่ยว เพียงแต่ลดลงจากขังเดี่ยวไม่เกินสามเดือนในเวอร์ชั่นออริจินอลเมื่อปีพุทธศักราช 2479 มาเป็นไม่เกินหนึ่งเดือนในปีนี้
และเมื่อไม่นานมานี้ กรมราชทัณฑ์เองก็เพิ่งพาสื่อมวลชนเดินทัวร์เรือนจำมั่นคงสูงสุดแห่งใหม่ล่าสุดในจังหวัดราชบุรีที่สุดจะไฮเทคเหมือนหลุดมาจากในซีรีส์ต่างประเทศ ควบคุมด้วยระบบอัตโนมัติ ภายในมีเรือนจำห้องขังเดี่ยวสำหรับนักโทษตัวบิ๊กอยู่ถึง 60 ห้อง เห็นแล้วไม่ใช่แค่ผู้ต้องขังที่โอ้โหกับความแน่นหนา แต่ผู้ชมทางบ้างอย่างเราเมื่อเห็นรายการข่าวทำโมเดลสามมิติพาทัวร์ และคุณฐปนีย์ลงทุนเข้าไปลองใช้ชีวิตในห้องขังเดี่ยว ก็โอ้โหตามไปไม่แพ้กัน

แต่ไม่ใช่แค่ในห้องขังเดี่ยวแสนไฮเทคที่มีไว้ลงโทษ ข้างนอกคุกไทยยังมีสิ่งที่ทรมานมากกว่านั้น
ในชีวิตจริงของผู้ต้องขัง ตามรายงานสภาพเรือนจำไทยภายหลังรัฐประหารของสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) ที่เผยแพร่เมื่อช่วงต้นปี ทำให้เรารู้ว่า สภาพความเป็นอยู่ที่รัฐจัดหาให้ไม่ได้สอดคล้องกับมาตรฐานเรือนจำสากล สุขอนามัยเข้าขั้นย่ำแย่ การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ไม่ทั่วถึง ไม่มีการเคารพสิทธิผู้ต้องขัง และเกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในห้องขังอยู่เรื่อยๆ ด้วยการใช้โซ่ตรวนมากเกินกว่าเหตุ และการถูกจำกัดบริเวณที่นานเกินควร
ยังไม่รวมถึงการใช้พื้นที่และเรือนจำภายในค่ายทหารเป็นสถานที่ควบคุมพลเรือนตั้งแต่หลังการรัฐประหาร ที่ไม่มีการคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกควบคุมตัว และขาดการตรวจสอบจากองค์กรภายนอก ที่รัฐบาลไทยเลือกที่จะเพิกเฉยต่อข้อเสนอแนะของนานาชาติให้เลิกใช้พื้นที่ทหารเป็นที่คุมขัง
ประวัติศาสตร์ของการขังเดี่ยวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันบอกให้เรารู้ว่าความโดดเดี่ยวอาจเป็นเรื่องน่ากลัวกว่าที่คิด แต่ที่น่าสยดสยองมากไปกว่านั้น คือสภาพความเป็นอยู่ของคนในเรือนจำภายนอก ที่โดดเดี่ยวกับความเป็นมนุษย์อันถูกรัฐปล่อยเว้นทิ้งร้างไร้การเหลียวแล
เพราะนี่ไม่ใช่ซีรี่ส์เน็ตฟลิกซ์ที่ถ่ายให้เราดูชีวิตในห้องขังเดี่ยวหรือขังรวมบนหน้าจอ
แต่มันคือโลกความจริง ที่หลายคนไม่อยากเข้าไปพบเจอ
[/et_pb_text][et_pb_text background_layout=”light” text_orientation=”left” admin_label=”box” background_color=”#eaeaea” use_border_color=”off” border_color=”#969696″ border_style=”solid” custom_margin=”|10px||10px” custom_padding=”10px|10px|10px|10px” disabled=”off”]
แอปพลิเคชั่น 6×9 จากหนังสือพิมพ์ The Guardian คือแอปที่จำลองโลกของการอยู่ในห้องขังเดี่ยวเอาไว้ให้เราได้ดูทั้งในแบบ AR และ VR (ถ้ามีอุปกรณ์) บรรยากาศอาจเหมือนหนังผี แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ลองมาทดสอบว่าคุณจะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมอันโดดเดี่ยวนี้ได้นานแค่ไหนได้ที่ลิงก์นี้เลย
[/et_pb_text][et_pb_text background_layout=”light” text_orientation=”left” admin_label=”Text” use_border_color=”off” border_style=”solid” disabled=”off”]
อ่านเพิ่มเติม
[/et_pb_text][/et_pb_column][/et_pb_row][/et_pb_section]