“เล็กเป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และภรรยาทูตที่ดี ชีวิตของเขามีศูนย์กลางอยู่ที่ผมและลูกๆ”
อานันท์ ปันยารชุน กล่าวอย่างกระชับแต่จับใจถึงชีวิตของ ม.ร.ว.สดศรี ผู้เป็นภริยา
แม้อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยผู้นี้จะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง แต่เรื่องราวชีวิตของสตรีผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จกลับไม่เป็นที่รับรู้กันมากนัก
กำเนิด
ม.ร.ว.สดศรี (หรือ ‘เล็ก’) เป็นลูกคนกลางของ พล.ท. ม.จ.คัสตาวัส จักรพันธุ์ กับ ม.จ.ทิตยาทรงกลด (ราชสกุลเดิม รพีพัฒน์) เกิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2479 เดิมชื่อว่า ‘สดศรีสุริยา’ ที่ตั้งอย่างคล้องจองกันคือ กทลี สดศรีสุริยา ตราจักร
ฝ่ายท่านบิดาเป็นพระโอรสของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอนุวัตน์จาตุรนต์ อดีตประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ซึ่งกรมหมื่นอนุวัตน์ฯ เป็นพระโอรสของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ พระโสทรอนุชาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข้างฝ่ายท่านมารดานั้น เป็นพระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘พระบิดาของกฎหมายไทย’
เมื่อ ม.จ.คัสตาวัสทรงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส ม.ร.ว.สดศรีเข้าเรียนที่โรงเรียนอเมริกัน จึงได้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เล็ก หลังจากนั้นไปเรียนวิชาเลขานุการ ที่ Queen’s College กรุงลอนดอน โดยพำนักอยู่กับครอบครัวของนายโฉลก โกมารกุล ณ นคร ที่ปรึกษาฝ่ายการคลัง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ในขณะนั้น
พบรัก
ณ บ้านของท่านที่ปรึกษาฯ นี้เองที่ ม.ร.ว.สดศรี สุภาพสตรีรูปร่างหน้าตาสดสวย กิริยามารยาทงดงาม และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม ได้เจอกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์นามว่า อานันท์ ปันยารชุน
หลังจากนั้นอีก 2 ปี อานันท์ก็เอาชนะใจ ม.ร.ว.สดศรีได้ เมื่อเรียนจบกลับมาประเทศไทย และเข้าทำงานแล้ว จึงได้สมรสกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2499 และมีธิดา 2 คน คือ นันดา กับดารณี
ในระยะแรกของการสร้างครอบครัว ม.ร.ว.สดศรีทำงานที่ Economic Commission for Asia and the Far East (ECAFE) ได้เงินเดือน 2,500 บาท ส่วนอานันท์แรกบรรจุเป็นข้าราชการชั้นโท เงินเดือน 1,600 บาท แม้รายได้ของทั้งคู่จะไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน แต่อานันท์ก็หาลำไพ่พิเศษด้วยการสอนหนังสือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในอัตราชั่วโมงละ 30 บาท
ชีวิตในต่างแดน
เมื่ออานันท์เจริญก้าวหน้าในราชการ เป็นเอกอัครราชทูตคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ม.ร.ว.สดศรีในวัย 28 ปี นอกจากการดูแลลูกๆ แล้ว เธอยังรับภาระในฐานะภริยานักการทูตอาวุโสด้วย เช่น การรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นต้น
ม.ร.ว.สดศรีสนใจศิลปะ ชอบเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่มีมากมายในนิวยอร์ก และสมัครเรียนหลักสูตรมัณฑนศิลป์ทางไปรษณีย์จนจบ ลูกสาวทั้งสองคนตั้งข้อสังเกตว่า คุณแม่ชอบชีวิตในนิวยอร์กว่ากว่าบรรดาเมืองอื่นๆ ที่เคยไปอยู่มา
หลังจากนั้น อานันท์ได้เป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงออตตาวา ชีวิตของ ม.ร.ว.สดศรี ก็พบความเปลี่ยนแปลง ดังที่นันดา ลูกสาวคนโต เล่าว่า “คุณพ่อยังอยู่ที่นิวยอร์ก เพราะต้องทำงานที่คณะผู้แทนถาวร มาออตตาวาได้ก็ตอนสุดสัปดาห์เท่านั้น…ปลายปีมีการประชุมสมัชชาสหประชาชาติเป็นเวลา 3 เดือน คุณพ่อไม่ค่อยได้มาออตตาวา เพราะติดราชการที่นิวยอร์กมาก คุณแม่ก็ต้องช่วยตัวเองมากขึ้น เรียนขับรถจนไปไหนมาไหนกับลูกๆ ได้ง่าย ถึงแม้จะมีงานภายในบ้าน เช่น การตกแต่ง คุณแม่ก็ไม่มีอะไรทำมาก คุณแม่เริ่มเหงา…แต่เวลาคุณพ่อมาอยู่กับเราที่ออตตาวา คุณแม่จะมีความสุขมาก”
การเมืองกระทบกระเทือน
ต่อมาอานันท์ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ครั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร และครอบครัวเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังสหรัฐอเมริกา กระทรวงการต่างประเทศจึงแจ้งให้เอกอัครราชทูตไปอำนวยความสะดวกแก่อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ได้สมญา ‘จอมทรราช’
เหตุนี้เองทำให้อานันท์ถูกเรียกเป็น ‘สมุนทรราช’ ตามไปด้วยเมื่อหนังสือพิมพ์ลงข่าวการที่ทูตไปรับจอมพล ถนอม และกระทรวงการต่างประเทศก็มิได้มาแก้ข่าวให้แต่อย่างใด คนทั่วไปจึงคิดว่า อานันท์คิดเอง ทำเอง
ลูกสาวคนโตอย่างนันดา กล่าวว่า “เรื่องที่เกี่ยวกับจอมพล ถนอมครั้งนั้น เป็นครั้งแรกที่การเมืองเข้ามากระทบกระเทือนครอบครัวของเรา”
มรสุมชีวิต
หลังอานันท์ย้ายกลับมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ชีวิตก็เจอมรสุมครั้งสำคัญเมื่อเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กล่าวคือ คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีคำสั่งเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ให้พักราชการนายอานันท์ ปันยารชุน เนื่องจาก (1) เปิดเผยความลับทางราชการให้กับศูนย์นิสิตนักศึกษา และ (2) มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ โดยฝักใฝ่และส่งเสริมการเปิดสัมพันธไมตรีกับประเทศคอมมิวนิสต์
แม้จะเป็นคำสั่งที่ทำให้อานันท์ “ท้อแท้ใจที่สุด” แต่ก็ยังพอรับได้ อย่างไรก็ดี “มันไม่ยุติธรรมกับภรรยาและลูกสาวผม เขาไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรแต่เขาต้องมารับเคราะห์กรรมไปด้วย” โดยเฉพาะ ม.ร.ว.สดศรี “ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 4 เดือน ผมต้องไปนอนเฝ้าทุกคืน ปัญหาสุขภาพของภรรยาผมยังติดตัวอยู่จนปัจจุบัน”
อานันท์เล่าถึงความวิตกของภรรยาว่า “เมื่อผมถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ภรรยาผมตกใจแทบสิ้นสติ ใครๆ ก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่เขากุกันขึ้นมา แต่ภรรยาผมเกรงว่ามีการร่วมหัวกันของนายทหารบางคนที่จะ ‘สร้างเรื่อง’ ขึ้นมาเพื่อจะเอาผิดกับผม”
และทุกครั้งที่อานันท์ทำงานเกี่ยวกับ ‘การเมือง’ ม.ร.ว.สดศรีก็จะรู้สึกเรื่องการถูกไล่ล่าจองล้างจองผลาญขึ้นมาอีก ดังที่อานันท์กล่าวว่า “สำหรับเขา (สดศรี) มันเป็นประสบการณ์ที่สะเทือนใจและลืมไม่ได้”
แม้จะพ้นมรสุมทางการเมืองครั้งนี้และอานันท์ออกไปเป็นเอกอัครราชทูต ณ กรุงบอนน์แล้ว แต่ ม.ร.ว.สดศรีก็ยังคงมีแผลในใจ ดังที่ลูกสาวคนเล็ก ดารณีเล่าว่า “คุณแม่ดูจะไม่ enjoy ที่นั่นเลย อาการของคุณแม่ดูจะยิ่งหนักขึ้น คุณแม่ยังคงหวาดกลัว และระแวงสงสัยคนว่าจะมาทำอันตราย”
มากกว่าความรัก
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เคยตรัสถึงเรื่องความรักเอาไว้ว่า “ความรักมันมีสองหน หนแรกมันตื่นเต้น เรียกว่า PASSION คือหลง อยู่ด้วยกันไปมันก็ค่อยๆ จางลงไปทุกที ตอนนี้แหละจะอยู่ด้วยกันยืดไม่ยืด ถ้ากลับรู้ใจเป็นเพื่อนสนิทกันได้แล้ว ความรักจริงจะเกิด และไม่มีแตกกันจนตาย”
หลังจากครองชีวิตคู่มายาวนานกว่าหกทศวรรษ ครั้งหนึ่งอานันท์เคยให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันนี้ว่า “ผมแต่งงานมา 63 ปี ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ ความรักมันเริ่มต้นในชีวิต ตอนหมั้นกัน ตอนจีบกัน ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ พอหลังจากนี้สักสามสิบปีไปแล้วนี่ ความเป็นเพื่อนสำคัญกว่า…พอผ่านไปอีกสิบปี มันไม่ใช่ความเป็นเพื่อนแล้วนะ ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เยื่อใยซึ่งกันและกัน ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน แล้วมันมีองค์ประกอบเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ”
อานันท์ย้ำว่า “การสร้างความเชื่อถือความเชื่อมั่นเป็นรากฐานของชีวิต”
คู่ชีวิต
ลูกสาวทั้งสองคนกล่าวถึงความสำคัญของ ม.ร.ว.สดศรี ที่มีต่อสามีเอาไว้ว่า “คุณแม่เป็นคนที่มี EQ สูง ห่วงความรู้สึกของคนอื่นมาก แต่คุณพ่อไม่เป็นเช่นนั้น คุณพ่อเป็นคนพูดตรงๆ คุณแม่กลัวคนเขาจะไม่พอใจหรือไม่ชอบคุณพ่อ…คุณแม่อยากให้คุณพ่อเป็นที่รักของคนทั่วไป ไม่มีศัตรู”
นันดากล่าวว่า “คุณแม่คอยแนะให้คุณพ่อคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นให้มากขึ้น คุณแม่ไม่ต้องการให้คุณพ่อมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น คุณแม่จะคอยบอกคุณพ่อถึงสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับผู้คนซึ่งคุณพ่ออาจมองข้ามไป”
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นที่สะท้อนความสำคัญของคู่ชีวิตนักการทูต ซึ่งกล่าวถึงภรรยาของเขาว่า “เล็กเป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ และภรรยาทูตที่ดี ชีวิตของเขามีศูนย์กลางอยู่ที่ผมและลูกๆ”
ในมิติของคู่ชีวิต ลูกสาวทั้งสองคนของ ม.ร.ว.สดศรี เห็นว่า “คุณพ่อคงไม่อาจก้าวถึงสุดยอดของชีวิตการทำงานได้ หากไม่ได้รับความเกื้อหนุนอย่างไม่ถดถอยจากคุณแม่ ทั้งในฐานะภรรยาเอกอัครราชทูต และผู้ดูแลครอบครัวตลอดมา”
แม้ประวัติศาสตร์ไทยจะไม่มีทางลืมชื่อ ‘อานันท์ ปันยารชุน’ ไปได้ แต่คู่ชีวิตอย่าง ม.ร.ว.สดศรี คงจะค่อยๆ ถูกลืมเลือนไป หลงเหลือไว้ก็แต่ในความทรงจำของคนที่เธอรักและรักเธอเท่านั้นเอง
บรรณานุกรม
- นรุตม์. ในวังแก้ว หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล. กรุงเทพฯ : แพรวสำนักพิมพ์, 2536.
- พระราชานุกิจ. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลโท หม่อมเจ้าคัสตาวัส จักรพันธุ์ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ 9 เมษายน 2526.
- วิทยา เวชชาชีวะ. “นักสู้ อานันท์”. กรุงเทพฯ : แปลน สารา, 2565.
- สุทธิชัย หยุ่น. จากปากคำประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : บริษัท อาลาดิน ออนไลน์ จำกัด, 2564.