ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์ เรื่อง
ปทิตตา วาสนาส่งชูสกุล ภาพประกอบ
– 1 –
“เธอโทรไปที่เบอร์นี้นะ พี่ๆ เขาชื่อกลุ่ม ‘ทำทาง’ เขาจะคอยบอกว่าเธอต้องทำยังไงต่อ…
“หายใจเข้าลึกๆ นะ เธอจะไม่เป็นไร”
ฉันส่งเสียงอันสงบที่สุดไปตามสายโทรศัพท์ เมื่อพบว่าเพื่อนของฉันท้องไม่พร้อมและทางเลือกของเธอคือการยุติการตั้งครรภ์
บทสนทนาของเราไม่ยืดเยื้อ ไม่ได้ใช้เวลาถกเถียงอะไรกันมาก แม้การตั้งครรภ์จะเป็นประเด็นใหญ่พอดูในชีวิตคนหนึ่งคน แต่ฉันไม่ลังเลที่จะแนะนำบริการการยุติการตั้งครรภ์ให้เพื่อน เพราะนี่เป็นทางเลือกที่ผู้หญิงทุกคนมีสิทธิรู้ มีสิทธิเลือก มีสิทธิได้รับความปลอดภัย และเพราะส่วนหนึ่ง ฉันเห็นตัวเองในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ ฉันที่ยังอยู่ในช่วงชีวิตแบบ ‘เอาตัวเองให้รอดก็ยากแล้ว’ ทั้งยังอาศัยในสังคมที่อลหม่านไปทุกด้าน คงจะเลือกทางเดียวกันหากท้องไม่พร้อมขึ้นมา
แน่นอน เพื่อนของฉันเป็นอันต้องเลิ่กลั่ก เพราะบริการสุขภาพครั้งนี้ไม่ได้เริ่มขั้นตอนด้วยการเดินเข้าโรงพยาบาลใกล้บ้าน ผ่านจุดคัดกรองโรค รับแผ่นพับความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ และรับบริการจากแพทย์ในที่สุด แต่เมื่อเป็นเรื่องการทำแท้งในประเทศไทย ขั้นตอนแรกที่เธอจะได้เจอคือ ‘ความไม่รู้’ ตามด้วยการโทรมาปรึกษาเพื่อนอย่างฉัน ฟังคำแนะนำจากพี่ๆ เครือข่ายที่ทำงานให้คำปรึกษาการยุติการตั้งครรภ์ เมื่อนั้น เธอถึงจะได้เริ่มขั้นตอนที่ควรจะเป็นในสถานพยาบาลที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์ (ซึ่งไม่ใช่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่เธอเลือกได้)
เราเดินทางไปยังคลินิกที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกกฎหมายด้วยกัน แม้ความปลอดภัยจะรออยู่ตรงหน้า แม้แพทย์และพยาบาลที่นั่นจะย้ำว่าเธอจะปลอดภัยและสิ่งที่เธอทำอยู่นั้นไม่ใช่ความผิด แต่สายตาของเธอยังฉายชัดถึงความกังวล
อายุครรภ์ของเธอยังไม่เกิน 12 สัปดาห์ กระบวนการยุติการตั้งครรภ์ของเธอจึงเป็นไปได้สองทางคือ 1.การทำแท้งด้วยยา (Medical Abortion) ที่สามารถทำได้ทั้งในอายุครรภ์ที่ต่ำกว่าและมากกว่า 12 สัปดาห์ 2. การทำแท้งด้วยเครื่องมือทางศัลยกรรม (Surgical Abortion) หรือเครื่องดูดสุญญากาศ ที่สามารถทำได้จนถึงอายุครรภ์ 12-16 สัปดาห์ โดยแพทย์ที่มีความชำนาญเป็นคนทำให้
เธอสารภาพภายหลังว่า บรรดาภาพการทำแท้งที่ละครต่างๆ ชอบนำเสนอ ทำให้เธอรู้สึกกลัวและมีจินตนาการต่อเครื่องดูดสุญญากาศแบบหลอนๆ ซึ่งเป็นจินตนาการที่ผิดจากความเป็นจริงไปมากโข
หลังจากผ่านกระบวนการยุติการตั้งครรภ์ด้วยเครื่องมือศัลยกรรมเรียบร้อยแล้ว เธอออกมาเล่าให้ฟังว่า “เครื่องดูดสุญญากาศก็หน้าตาเหมือนเครื่องมือแพทย์ทั่วๆ ไปเลยแหละเธอ ในห้องก็เปิดไฟสว่าง” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายและย้ำอีกหลายรอบว่า ทุกอย่างสะอาด ปลอดภัย
ในระยะเวลาอันสั้น เธอและฉันกลายเป็นผู้หญิงที่ทำแท้งและผู้หญิงที่พาเพื่อนไปทำแท้ง เราผ่านกระบวนการที่เคย ‘ไม่รู้’ มาด้วยกัน นอกจากความแน่ใจว่านี่คือทางเลือกที่ปลอดภัย เรายังพบอุปสรรคอีกมากมายเกินจะนับได้
ในฐานะผู้หญิง เราต้องการรู้ข้อมูลอย่างครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับการทำแท้ง แต่นอกจากข้อมูลของเครือข่ายรณรงค์การทำแท้งปลอดภัยแล้ว เราไม่ค่อยพบเห็นข้อมูลอื่นๆ ไม่มีข้อมูลจากรัฐ ไม่มีข้อมูลในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลชั้นนำ
“ฉันอ่านเว็บต่างประเทศเยอะมาก เหมือนคนบ้า แต่มันสบายใจกว่าเมื่อมีข้อมูลให้เข้าถึง” เธอกล่าว และฉันยืนยันได้เลยว่า ก่อนกระบวนการยุติการตั้งครรภ์จะเสร็จสิ้น ข้อมูลที่น่าเชื่อถือเหล่านั้นทำหน้าที่ปลอบใจเธอได้ดีกว่าเพื่อนอย่างฉัน
เราสงวนเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะการตีตราการทำแท้งไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย สำหรับคนบางกลุ่ม นี่คือการกระทำที่บาป คือคุณสมบัติอันผิดพลาดของ ‘ผู้หญิงดีๆ’ หลายคนยังมีคำถามเสมอว่า ‘แล้วทำไมปล่อยให้ท้อง’ ราวกับไม่เข้าใจคำว่าพลาด หรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้แม้มีเพศสัมพันธ์แบบป้องกัน
คำถามเหล่านี้ดูจะสำคัญมากกว่าการคำนึงว่า ผู้หญิงท้องไม่พร้อมคือผู้ที่ควรมีทางออกอันปลอดภัย
ยังไม่นับความพยายามที่จะผลักภาระมาที่ผู้หญิงให้เลี้ยงดูทารกในครรภ์ให้เติบโต ไม่ว่าสถานะทางเศรษฐกิจจะไม่พร้อม ไม่ว่าคุณภาพชีวิตของผู้หญิงและเด็กที่เกิดมาอาจย่ำแย่ ไม่ว่าหญิงท้องไม่พร้อมหลายคนจะยังอยู่ในวัยเรียน วัย ‘เอาตัวเองให้รอดก็ยากแล้ว’ ไม่ว่าผู้หญิงบางคนอาจไม่ต้องการมีบุตร – ไม่ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะมีข้อจำกัดอย่างไรในชีวิตอันไม่เคยง่ายนี้
“ส่วนใหญ่คนพูดคือคนที่ไม่ได้เข้าใจคนท้องไม่พร้อม บางคนท้องไม่ได้ด้วยซ้ำ” เพื่อนของฉันพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ – เป็นเสียงหัวเราะที่ขมกว่าทุกครั้ง
– 2 –
เหนืออุปสรรคมากมายที่กล่าวมา อีกสิ่งที่คอยตีตราผู้หญิงทั้งกายและใจคือกฎหมาย
กฎหมายที่ ‘เคย’ และ ‘ยังคง’ ตราความผิดทางอาญาให้ผู้หญิงที่ทำแท้ง
วันที่ 25 มกราคม 2564 ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานทำแท้งได้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภา การแก้กฎหมายดังกล่าวปลดล็อกให้ผู้หญิงที่ทำแท้งโดยมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ไม่มีความผิด และสามารถตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ได้ด้วยตัวเอง
ขณะที่ผู้หญิงที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ยังคงมีความผิดทางอาญาอยู่ โดยยกเว้นให้ผู้หญิงที่อายุครรภ์ไม่เกิน 20 สัปดาห์สามารถทำแท้งได้โดยแพทย์เป็นผู้ทำให้ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องตรวจ-รับคำปรึกษาจากแพทย์ และทำตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา นั่นคือให้ทำแท้งได้ในกรณีที่ครรภ์มีความเสี่ยงต่อสุขภาพกายและใจของผู้หญิง กรณีที่ทารกอาจมีความปกติถึงขนาดทุพพลภาพ และกรณีที่การตั้งครรภ์เกิดจากการกระทำผิดเกี่ยวกับเพศ
ในกระบวนการแก้ไขกฎหมายที่เกิดขึ้น อายุครรภ์ที่ยังถูกตีตราความผิดเป็นเรื่องที่ถูกยกมาถกเถียง และเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง เพราะตามกฎหมายดังกล่าว มีเพียงผู้หญิงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์เท่านั้นที่สามารถทำแท้งได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง ยังมีผู้หญิงที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์อีกจำนวนมากที่ต้องการทำแท้ง ดังเช่นที่ฐานข้อมูลสายด่วน 1663 ที่ให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมระบุว่า จากการส่งต่อบริการยุติการตั้งครรภ์จำนวน 55,308 ราย มีผู้หญิงที่อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ถึงร้อยละ 17.6
หลายคนจึงตั้งคำถามว่า ผู้หญิงเหล่านี้จะต้องผ่านกระบวนการที่เจ้าของร่างกายไม่มีอำนาจตัดสินใจ ทั้งยังยืดเวลาและอายุครรภ์ของพวกเธอออกไปหรือไม่
หากใครได้ฟังการประชุมสภาในวันที่ 20 มกราคม 2564 เหตุผลที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้ถกเถียงเกี่ยวกับอายุครรภ์นั้น นอกจากเรื่องความปลอดภัยของผู้หญิงแล้ว ยังพูดถึงสิทธิและความปลอดภัยของ ‘ตัวอ่อน’ ในครรภ์ และบางส่วนยังอ้างอิงถึงเรื่องศาสนา ฉันจึงต่อสายคุยกับ ‘ตุ๊กตา’ นิศารัตน์ จงวิศาล นักกิจกรรม ผู้ให้คำปรึกษาการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมจากกลุ่ม ‘ทำทาง’ และแอดมินเพจ ‘คุยกับผู้หญิงที่ทำแท้ง จากประสบการณ์การทำงานของเธอ ตุ๊กตาต้องพบเจอกับผู้หญิงที่มีข้อจำกัดหลายแบบ และกลุ่มทำทางยังเป็นตัวละครสำคัญในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการทำแท้งปลอดภัยมาตลอดหลายปี
ในประเด็นเรื่องความปลอดภัยของการทำแท้งเมื่ออายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ ตุ๊กตาอธิบายว่า “อายุครรภ์ที่เกินกว่า 12 สัปดาห์เป็นต้นไป กระบวนการแท้งจะทำด้วยการใช้ยาเป็นหลัก เพื่อให้เกิดการแท้งที่เหมือนกับการแท้งธรรมชาติ เป็นการคลอดเล็กๆ นั่นแหละ ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ การใช้ยาในอายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์ปลอดภัยแน่นอนอยู่แล้ว แต่ถ้าอายุครรภ์เพิ่มขึ้น อัตราการแท้งสำเร็จโดยไม่ต้องไปหาหมอก็ลดลงไปเรื่อยๆ
“องค์การอนามัยโลกระบุว่าการทำแท้งภายในอายุครรภ์ 24 สัปดาห์สามารถทำได้อย่างปลอดภัย และปี 2558-2559 ประเทศไทยทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยาทำแท้ง พบว่ายาใช้ผลได้ดีที่สุดในอายุครรภ์ 0-9 สัปดาห์ คือแท้งครบร้อยละ 95.63, อายุครรภ์ 10-20 สัปดาห์ แท้งครบร้อยละ 86.01, และ 21 สัปดาห์ขึ้นไป แท้งครบร้อยละ 76.47 ไม่ใช่เปอร์เซ็นต์น้อยๆ เลยที่แท้งเสร็จสมบูรณ์ปลอดภัย ประเด็นเรื่องความปลอดภัยจึงมองง่ายมากคือ ถ้าทำในโรงพยาบาล ไม่ว่าอายุครรภ์ไหนก็ยังปลอดภัยกว่าการคลอด”
ในการประชุมแก้กฎหมาย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนให้ความสำคัญกับสิทธิของทารกในครรภ์ บางคนอ้างอิงบนฐานความเชื่อทางศาสนา หลายๆ ครั้งสิทธิของผู้หญิงถูกวางไว้เบื้องหลัง ตุ๊กตาจึงย้ำถึงการบาลานซ์ความสำคัญระหว่างสิทธิของผู้หญิงและของทารกไว้ว่า
“ประเด็นถกเถียงที่ได้ยินคือ ขนาดอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ใหญ่เกินไปในความรู้สึกของพวกเขา เขาอาจกังวลว่าตัวอ่อนจะเป็นตัวเป็นตน เป็นรูปร่างแล้ว เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ขนาดตัวอ่อนที่ใหญ่ที่สุด 24 สัปดาห์จะหนักประมาณ 500-600 กรัม ถามว่าหน้าตาดูเป็นทารกหรือยัง ก็คลับคล้ายคลับคลาแล้ว แต่ประเด็นคือไม่ใช่การคลอดออกมาแล้วหายใจได้ ออกมาแล้วยังไม่รอด”
“การทำแท้งยังไงก็เป็นเรื่องของสิทธิสตรีและสิทธิบนเนื้อตัวร่างกาย ไม่ใช่ว่าเราไม่คำนึงถึงสิทธิตัวอ่อนนะ เราคำนึง แต่คำนึงในจุดที่เรารู้ว่าตัวอ่อนรอดแล้ว เราก็จะไม่สนับสนุนให้ยุติการตั้งครรภ์”
กฎหมายที่ออกมาถือว่าไม่เป็นไปตามที่ตุ๊กตาและกลุ่มเครือข่ายด้านทำแท้งปลอดภัยคาดหวังไว้ ความเสี่ยงที่เธอกังวลว่าจะเกิดขึ้นเมื่อการทำแท้งที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ยังมีความผิดคือ อาจทำให้คนที่รู้ตัวว่าอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ไม่กล้าเข้าหาบริการ เสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากการไปทำแท้งไม่ถูกวิธี และอาจทำให้เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการยุติการตั้งครรภ์เกิดความไม่สบายใจ เพราะแม้จะทำถูกต้องตามข้อยกเว้น แต่กฎหมายก็มีลักษณะแบบตั้งข้อหาไว้ก่อน แล้วยกเว้นทีหลัง
“พอผู้หญิงไม่เข้าหาบริการ ก็กลับสู่อีหรอบเดิม คือการใช้ยาที่ไม่ปลอดภัยหรือทำแท้งเถื่อน บุคลากรทางการแพทย์ก็เสี่ยงจะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เสียเวลา และสร้างความกลัวโดยไม่จำเป็น” ตุ๊กตาว่า
ฉันไม่แน่ใจว่าตุ๊กตารับโทรศัพท์ผู้หญิงท้องไม่พร้อมมากี่ร้อยคน แต่แน่ใจว่าเธอเห็นผลกระทบของสิทธิที่ถูกจำกัดชัดเจน เห็นเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นใบหน้า และน้ำเสียงที่เธอได้สนทนาด้วย แม้เธอจะตอบคำถามของฉันด้วยเสียงที่มั่นคง แต่ภายในก็ปนไปด้วยความโกรธ
“จะไม่โกรธได้ยังไงวะ เราพยายามยืนยันมาตลอดว่าสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของคน เราทำเพราะเราเห็นคนตาย คนได้รับอันตราย เราทำเพราะว่าเราต้องการรักษาชีวิตคน แต่คนในสภาเหล่านั้นกลับเห็นความรู้สึกของตัวเองสำคัญกว่าชีวิตคน เราต้องรู้สึกคับแค้นและโกรธมากๆ อยู่แล้ว” ตุ๊กตาทิ้งท้ายไว้
การแก้กฎหมายผ่านพ้นไปแล้ว อีกไม่นานเราจะต้องอยู่กับความจริงที่กฎหมายรับรองว่า สำหรับผู้หญิงบางคน การทำแท้งไม่ใช่ความผิด และสำหรับผู้หญิงบางคน การทำแท้งจะได้ยกเว้นความผิดตาม ‘เงื่อนไข’ บางอย่าง – ความจริงนี้อาจดูน่ายินดีอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ความโล่งอก
ยังมีอุปสรรคอันนับไม่ถ้วนจากการตีตราในสังคม
ยังมีความผิดทางอาญาที่อาจทำให้ผู้หญิงบางคนตายทั้งเป็น